ตอนที่ 208 แม่สื่อ
“ไม่ได้!”
แม่นางเฉินพูดยังไม่ทันจบ หยุนเชวี่ยก็เลิกม่านขึ้น “เซียงเอ๋อกับเหอยาโถวหรือ… อาสะใภ้สาม ท่านไม่ได้ล้อเล่นใช่หรือไม่? หรืออยากได้สินสอดจนตัวสั่นเล่า?”
“ข้าไม่ได้ล้อเล่น เด็กอย่างเจ้าจะไปรู้อันใด?” แม่นางเฉินเบ้ปากพลางกล่าวอย่างไม่ถือสา “เซียงเอ๋อเป็นเด็กสาวแล้ว การที่นางไปเรือนตระกูลเหอทุกวันอาจถูกชาวบ้านติฉินนินทาได้! ข้าให้นางตบแต่งเข้าตระกูลเหอนั้นไม่สมควรหรอกหรือ?”
หยุนเชวี่ยกลอกตาด้วยความโกรธเคือง
เหตุใดหยุนเซียงถึงไปที่เรือนของตระกูลเหอทุกวัน? มิใช่เพราะว่ามารดาของนางคอยชักใยอยู่เบื้องหลังหรอกหรือ เสียแรงที่ป้าสะใภ้เหอเอ็นดูเซียงเอ๋อเพราะเห็นเป็นเด็กน้อย ไม่เพียงแต่ไม่ขับไล่ นางยังแบ่งขนมให้กินทุกวันซึ่งนับว่าเป็นเรื่องดี แล้วนี่คือสิ่งตอบแทนผู้มีพระคุณรึ
“ปีนี้เหอยาโถวอายุสิบสี่ปีแล้ว ส่วนเซียงเอ๋ออายุเพียงเก้าขวบ คงจะไม่เหมาะสมกระมัง” แม่นางเหลียนเกลี้ยกล่อม
ไม่ใช่เพราะทั้งสองคนอายุห่างกันห้าปี แต่เซียงเอ๋อยังเยาว์มาก ในอดีตเมื่อหญิงสาวถึงวัยออกเรือน เหล่าพ่อแม่ยังต้องขอความเต็มใจจากนาง ทว่าขณะนี้เซียงเอ๋อยังเป็นเพียงเด็กหญิงเท่านั้น
“มีอะไร? เหอเหล่าซานบอกว่าก็ยังไม่มีคู่หมั้นคู่หมายไม่ใช่หรอกหรือ?!” ตูดอวบอ้วนของแม่นางเฉินขยับเล็กน้อยขณะเปลี่ยนท่าเป็นนั่งไขว่ห้าง ต้นขาอวบอัดเบียดเสียดกัน ร่างกายของนางบิดเป็นเกลียวพลางกล่าว “พี่สะใภ้รองท่านสนิทสนมกับตระกูลเหอมิใช่หรือ ท่านช่วยเปรยเรื่องนี้ให้พวกเขาฟังหน่อยสิ”
แม่นางเหลียนเผยท่าทีลำบากใจ “เอ่อ… ข้าเกรงว่าพี่สะใภ้เหอคงไม่เต็มใจ”
หากไปพูดทาบทามให้หยุนเยว่ นางคงไม่ลำบากใจเช่นนี้ ทว่าสำหรับหยุนเซียง… แม่นางเหลียนคิดว่ามันออกจะไร้สาระไปเสียหน่อย แม้ทั้งสองตระกูลจะมีความสัมพันธ์อันดี ทว่าเรื่องแต่งงานนั้นไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถพูดมั่วซั่วได้
“ท่านลองไปพูดก่อนเถิด ถือว่าช่วยหลานสาวแท้ ๆ ของท่าน หากตระกูลเหอไม่เห็นด้วยเราค่อยมาปรึกษากันอีกทีก็ได้” แม่นางเฉินจับมือแม่นางเหลียนอย่างสนิทสนม “พี่สะใภ้รอง ชีวิตทั้งชีวิตของเซียงเอ๋อฝากไว้ในมือท่านแล้ว หากท่านเกลี้ยกล่อมตระกูลเหอสำเร็จ ข้าต้องแบ่งสินสอดทองหมั้นให้แม่สื่อเช่นท่านแน่นอน”
แม่นางเหลียนไม่รู้จะกล่าวตอบอย่างไรจึงดึงมือกลับด้วยท่าทีกระอักกระอ่วน
“พี่สะใภ้รอง ถ้าเช่นนั้นข้าถือว่าท่านตอบตกลง! วันนี้ดึกแล้ว ท่านไปพรุ่งนี้เถิด! พรุ่งนี้เช้าท่านไปที่เรือนตระกูลเหอ ส่วนข้าจะรอฟังเรื่องมงคลอยู่ที่บ้าน!” แม่นางเฉินล้วงมือเข้าไปในเสื้อและเการักแร้
หยุนเชวี่ยขมวดคิ้วแน่นพร้อมมองแม่นางเฉินด้วยสายตาขุ่นเคือง ในขณะที่หยุนลี่เต๋อเดินออกจากบ้านโดยไม่กล่าวคำใด ไม่นานเสียงผ่าฟืนก็ดังมาจากด้านหลังบ้าน
หลังจากดื่มน้ำชาไปสามถ้วย แม่นางเฉินก็ไม่ขยับเขยื้อนไปที่ใดราวกับก้นถูกตอกตะปูลงบนเก้าอี้ก่อนเริ่มบ่นเรื่องชีวิตของตนอย่างน่าสมเพช “พี่สะใภ้รอง ครอบครัวของท่านแบ่งหน้าที่กันทำงานช่างดีเหลือเกิน ท่านไม่รู้หรอกว่าวันหนึ่งข้าต้องทำอะไรบ้าง… ข้าต้องทำงานบ้านทุกอย่าง หากกินข้าวเพิ่มอีกคำสองคำก็โดนด่า…”
“ชีวิตของข้าลำบากยิ่งนัก ไม่เหมือนพี่สะใภ้รองที่สะดวกสบายเพราะลูกสาว หยุนเชวี่ยมีความสามารถไม่น้อย เงินที่นางหามาได้ไม่มีทางใช้หมดแน่ หากข้ามีวาสนาเพียงครึ่งหนึ่งของท่านก็คงดี…”
“พี่สะใภ้รอง ข้าอยากขอร้องท่านอีกครั้ง ท่านต้องช่วยข้านะ อย่าปฏิเสธเลย ครอบครัวท่านสุขสบายแล้วก็ช่วยข้าด้วยเถิด…”
แม่นางเหลียน…
“ท่านอาสะใภ้สามพูดเรื่องอันใดกัน ในภายภาคหน้าท่านลุงใหญ่ก็เป็นขุนนาง พวกท่านทุกคนจะย้ายไปใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในเมืองมิใช่หรือเจ้าคะ” หยุนเชวี่ยกล่าวเสียดสี “หากเป็นเช่นนั้น ในอนาคตเซียงเอ๋อก็จะสามารถพบเจอกับคนที่มาจากตระกูลดี ๆ เช่นหยุนเยว่เอ๋อและหยุนชิ่วเอ๋อได้มิใช่หรือ?”
“คนในเมืองก็ใช่ว่าจะรวยกว่าตระกูลเหอเสมอไป ลูกสาวของตระกูลเหอมีความสามารถมาก สองปีมานี้พวกนางช่วยเสริมบารมีให้แก่ตระกูลได้ไม่น้อย นอกจากนี้ตระกูลเหอยังมีลูกชายเพียงคนเดียว สมบัติเหล่านั้นจะตกเป็นของใครได้” ปกติแล้วในสมองของแม่นางเฉินมักมีแต่เรื่องกิน ทว่าเรื่องนี้กลับฉลาดแกมโกงไม่น้อย
แม่นางเฉินนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนกล่าวต่อ “ยังมีพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ใหญ่ที่มักพูดดูถูกข้าอีก หากรอเขาเป็นขุนนาง… ข้าเกรงว่าทุกคนคงจะอดตายเสียก่อน!”
หยุนเชวี่ยเงยหน้ามองแม่นางเฉิน “ท่านอาสะใภ้สามวางแผนไว้มากมายเสียจริง”
แม่นางเฉินเข้าใจผิดคิดว่าหลานสาวเอ่ยปากชื่นชมจึงยกยิ้มอย่างลำพองใจ “ข้าไม่ใช่คนโง่ และอีกอย่างพี่สะใภ้ใหญ่ก็เป็นคนเจ้าเล่ห์ ข้าจึงต้องระวังนางไว้ก่อน”
หลังจากพูดจบ นางก็เอื้อมมือไปหยิบกาน้ำชามารินใส่ถ้วยชาของตน
แม่นางเฉินมีรูปร่างอวบอ้วน แม้แต่นั่งอยู่เฉย ๆ เหงื่อยังคงไหลท่วมกาย ใบหน้ามันเยิ้ม นางจึงดื่มชาไปพลาง ปาดเหงื่อไปพลาง
“ท่านอาสะใภ้สาม ตอนนี้ฟ้ามืดแล้ว ท่านดื่มน้ำมากเช่นนี้ไม่เกรงว่าตัวจะบวมหรือเจ้าคะ”
“ไม่เป็นไรหรอก ข้าเป็นคนเหงื่อออกง่าย ดังนั้นข้าไม่กลัว”
“ข้าหมายถึงว่าตอนนี้ได้เวลาเข้านอนแล้ว ท่านควรกลับบ้านไปล้างตัวแล้วเข้านอนเสียที” หยุนเชวี่ยกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
ไม่รู้ว่าคนแซ่เฉินหน้าหนาหรือโง่จริง ๆ หากไม่พูดอย่างตรงไปตรงมา นางคงไม่เข้าใจความหมายที่ต้องการสื่อ หรือบางครั้งต่อให้กล่าวตำหนิ นางก็ยังคงลอยหน้าลอยตาทำทีราวกับไม่ได้ทำอะไรผิด ซึ่งกล่าวง่าย ๆ คือนางไม่เคยรู้สึกอับอายเลย
หลังจากไล่แม่นางเฉินออกจากบ้าน หยุนเชวี่ยจึงแลบลิ้นออกมาก่อนตะโกนไปทางหลังบ้าน “ท่านพ่อ อย่ามัวแต่ทำงานเลย กลับมาพักผ่อนเถิดเจ้าค่ะ!”
“เจ้าว่าอาสะใภ้สามของเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ ยัดเยียดเซียงเอ๋อให้แต่งงานกับเหอยาโถว มันไม่เหลวไหลไปหน่อยหรือ?” แม่นางเหลียนที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงส่ายศีรษะ “แล้วจะให้ข้าไปพูดคุยกับผู้อื่นได้อย่างไร?”
“ไม่ต้องเอ่ยถามให้มากความ เหอยาโถวไม่พอใจเป็นแน่ นางคงฝันกลางวัน” หยุนเชวี่ยยืดเอวขึ้น “ปกติแล้วท่านอาสะใภ้สามคงคิดเรื่องนี้เองไม่ได้ ต้องมีใครยุยงนางแน่นอน”
“แม่เห็นด้วย” แม่นางเหลียนพยักหน้า “หลายวันก่อนนางยังโวยวายว่าต้องการไปอาศัยอยู่กับพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่ที่เรือนในเมืองอยู่เลย แต่เหตุใดวันนี้ถึงกลับคำและบอกว่าพวกเขาพึ่งพาไม่ได้เล่า…”
“ท่านแม่ ท่านคงไม่เห็นแก่เงินที่แม่สื่อจะได้รับใช่หรือไม่เจ้าคะ?” หยุนเชวี่ยที่นอนคว่ำหน้าอยู่ข้างเตียงเอ่ยถาม
“แม่จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร หากแม่ยัดเยียดเซียงเอ๋อให้ตระกูลเหอ แม่ก็คงใจไม้ไส้ระกำเกินไป” แม่นางเฉินไม่สามารถเอ่ยปากเรื่องเหลวไหลเช่นนี้กับผู้อื่นได้ เนื่องจากนางลำบากใจที่ต้องทำสิ่งน่าอาย “พรุ่งนี้อาสะใภ้สามของเจ้าต้องมาถามแม่อีกครั้งแน่ แม่ต้องบอกกับนางว่าอย่างไรดี?”
“เพียงแค่ตอบว่าตระกูลเหอไม่เห็นด้วย นางยังจะถามต่ออีกหรือไม่?” หยุนเชวี่ยอ้าปากหาว “พรุ่งนี้ข้าจะเอาเรื่องนี้ไปบอกเหอยาโถว เขาจะต้องอัดอั้นตันใจจนหน้าคล้ำเป็นมะเขือม่วงแน่นอน ฮ่าฮ่าฮ่า…”
เมื่อนึกถึงใบหน้าของเหอยาโถว หยุนเชวี่ยก็ระเบิดหัวเราะเสียงดัง
เมื่อเห็นรอยยิ้มของน้องสาว หยุนเยี่ยนที่นอนอยู่ข้าง ๆ จึงพลอยหัวเราะตามไปด้วย “ถ้าไม่ใช่เพราะอาสะใภ้สามพูดถึงเรื่องนี้ ข้ายังคงคิดว่าเหอยาโถวเป็นคุณหนู…”
หยุนลี่เต๋อเปิดประตูเข้าบ้านพลางดับไฟในตะเกียงน้ำมันก่อนเดินไปยังเตียงนอนท่ามกลางความมืด หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งเขาจึงกล่าวคำเบา “น้องสะใภ้สามพูดจาเหลวไหล เจ้าอย่าเก็บไปคิดมากเลย เรื่องครอบครัวพวกเขา เราจะไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยว”
ดึกสงัด ปีกตะวันตกของบ้านเงียบงันมีเพียงเสียงลมหายใจสม่ำเสมอ
เวลารุ่งอรุณในวันถัดมา แม่นางเหลียนยังไม่ทันก่อฟืนทำอาหารเช้า แม่นางเฉินก็เร่งเร้าให้นางออกไปข้างนอก
“ยังเช้าอยู่ ทุกคนเพิ่งจะตื่นนอน…” แม่นางเหลียนปฏิเสธ
“เรื่องมงคลเช่นนี้ต้องรีบเร่งหน่อยพี่สะใภ้รอง…” แม่นางเฉินแทบจะลากแม่นางเหลียนออกไปนอกประตูบ้าน
แม่นางเหลียน…
“โอ้ เช้าตรู่เช่นนี้พวกเจ้าทั้งสองคนกำลังพูดคุยอะไรกันอยู่หรือ?” แม่นางจ้าวเดินออกมาจากห้องประวันออกพลางยิ้มอย่างมีนัย