บทที่ 491 ตัดสินความเป็นความตาย
หลังจากฟังเรื่องอาการป่วยของซือเยี่ยหานจบ ผู้อาวุโสแทบทุกคนล้วนแนะนำให้ผ่าตัดเปลี่ยนถ่ายอวัยวะ
ในตระกูลใหญ่อย่างตระกูลซือ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเปลี่ยนอวัยวะชิ้นสองชิ้นหรอก ต่อให้ต้องใช้อวัยวะทดแทนไปตลอดชีวิต ก็ไม่ใช่ปัญหา
ทุกคนล้วนจมดิ่งอยู่ในความหวาดหวั่นที่หัวหน้าตระกูลป่วยหนัก คิดเพียงแต่ว่าหากซือเยี่ยหานล้มพับไป ตระกูลล่มสลาย ผลประโยชน์ของพวกเขาจะถูกคุกคามมากแค่ไหน คิดเพียงแต่จะยื้อชีวิตซือเยี่ยหานอย่างไร
แต่กลับไม่มีใครคิดเลยว่าร่างกายของซือเยี่ยหานจะทนรับการผ่าตัดบ่อยครั้งเช่นนี้ไหวหรือไม่ และราคาที่ต้องจ่ายนี้ ฝืนแบกร่างกายป่วยๆ ที่อ่อนแออยู่แล้วไปรับการต่อชีวิตไม่กี่ปี เขาจะต้องทนกับความเจ็บปวดมากขนาดไหน
ในชาติอดีตที่สุดท้ายตระกูลซือวุ่นวายจนเป็นแบบนั้น คงเป็นเพราะถึงช่วงหลัง ซือเยี่ยหานไม่มีแรงมากพอที่จะต่อกรกับสิ่งเหล่านั้นอีกแล้ว…
“คุณหญิงใหญ่ ลุงหรง รีบหาอวัยวะที่เหมาะสมให้หัวหน้าตระกูลกันดีกว่าครับ!”
“นั่นน่ะสิ! ไม่อย่างนั้นจากสภาพร่างกายของหัวหน้าตระกูลตอนนี้ อาจจะเกิดเรื่องขึ้นได้ตลอดเวลา ถึงตอนนั้นตระกูลซือจะต้องโกลาหลแน่!”
“พวกตระกูลและอำนาจพวกนั้นที่คอยจ้องพวกเราตระกูลซืออยู่คงจะได้ข่าวกันหมดแล้ว!”
ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมาย ซือหมิงหรงถอนหายใจยาวเหยียดเอ่ยว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ คุณติดสินใจอย่างไร?”
มือที่ถือลูกประคำของคุณหญิงใหญ่สั่นเล็กน้อย ลืมตาขึ้นช้าๆ
ถ้าหากไม่ผ่าตัด เจ้าเก้าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกเพียงครึ่งปี รวมทั้งการเสื่อมถอยของอวัยวะ อาจทำให้ถึงความตายได้ทุกเมื่อ
แต่ว่า ถ้าผ่าตัด เจ้าเก้าจะสามารถฝืนอยู่ต่อไปได้อีกไม่กี่ปี ในช่วงเวลาหลายปีนี้ อาจจะต้องเจอกับความเจ็บปวดจากการผ่าตัดหลายต่อหลายครั้ง หลังการผ่าตัดอาจจะเกิดปฏิกิริยาปฏิเสธอวัยวะปลูกถ่ายและโรคสืบเนื่องอีก รวมถึงการเผาผลาญร่างกายจากการผ่าตัด…
เธอไม่อาจตัดสินใจได้จริงๆ แต่กลับไร้ซึ่งทางเลือก
เธออยากให้เจ้าเก้ามีชีวิตอยู่ต่อไป ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม ต่อให้จะอยู่ต่อไปได้อีกไม่กี่วัน…
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน ในที่สุดคุณหญิงย่าก็ลืมตาขึ้น เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้าอย่างที่สุด “เอาตามที่…ทุกคนพูดก็แล้วกัน…”
ซือหมิงหรงเองเหมือนจะเดาคำตอบของคุณหญิงย่าไว้อยู่แล้ว เขาถอนหายใจยาวไม่พูดสิ่งใด
ทุกคนต่างก็เห็นดีด้วย “ถ้าอย่างนั้นรีบจัดการเรื่องการผ่าตัดเถอะ! อย่าช้าอยู่เลย!”
แววตาซือหมิงหลี่เป็นประกายวาบเอ่ยว่า “ในช่วงที่หัวหน้าตระกูลผ่านตัด เรื่องที่บริษัทกับตระกูลมีพี่รองกับพวกเราผู้อาวุโสคอยดูอยู่ หัวหน้าตระกูลสบายใจได้! พักรักษาตัวให้ดีนะ!”
เฮอะ สบายใจได้งั้นเหรอ?
ก็คนพวกนี้นี่แหละ ฉวยโอกาสที่ซือเยี่ยหานป่วยหนัก สรรหาผลประโยชน์ให้ตัวเองอย่างหนัก
ที่มุมหนึ่ง เยี่ยหวันหวั่นมองซือเยี่ยหานในตำแหน่งประธาน ตลอดตั้งแต่ต้นจนจบซือเยี่ยหานพูดเพียงแค่ไม่กี่ประโยคนั้น แล้วปล่อยให้ผู้อาวุโสเหล่านั้นตัดสินความเป็นความตาย ชะตาชีวิตของเขา
เธอรู้ว่า ตัวซือเยี่ยหานเองก็เห็นด้วยกับการรักษาโดยการผ่าตัด
ในชาติก่อนเขาจึงเลือกผ่าตัด
ดังนั้น คงจะคาดหวังให้ซือเยี่ยหานปฏิเสธข้อเสนอแนะของผู้อาวุโสพวกนั้นไม่ได้แล้ว
เมื่อผลการตัดสินใจออกมา ซือเยี่ยหานก็จะเดินซ้ำรอยกับชาติที่แล้วทุกอย่าง…
ร่างกายของซือเยี่ยหานไม่ปกติอยู่แล้วเป็นทุนเดิม จึงเกิดปฏิกิริยาปฏิเสธอวัยวะอย่างรุนแรง
ภายใต้สถานการณ์ที่ผ่าตัดอย่างต่อเนื่องและปฏิกิริยาปฏิเสธอวัยวะ ต่อให้เธอจะพยายามมากแค่ไหน ก็คงจะไม่สามารถปรับสมดุลร่างกายของเขาให้กลับเป็นปกติได้
รักษาชีวิตของเขาเอาไว้ได้ แต่ว่า กลับอยู่ได้แค่ไม่กี่ปี…
หลังจากคุณหญิงใหญ่พยักหน้า และซือเยี่ยหานไม่พูดอะไร ทุกคนก็เริ่มหารือเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการผ่าตัดทันที
ซือหมิงหรงลุกขึ้นยืน เอ่ยว่า “ในเมื่อไม่มีใครคัดค้าน ถ้างั้นเรื่องการผ่าตัดของหัวหน้าตระกูล เป็นอันตกลงตามนี้ ต่อไป…”
พริบตาที่ซือหมิงหรงลุกขึ้นพูด ก็มีเสียงขึงขังทรงพลังลอยมาจากมุมหนึ่ง “ฉันขอคัดค้าน!”
………………………………………………………
บทที่ 492 ขอเวลาสามเดือน
ตามหลังเสียงที่ดังขึ้นมาอย่างกะทันหันนี้ ทุกคนล้วนหันมองไปทางเยี่ยหวันหวั่น
ห้องประชุมที่มีเสียงพูดคุยพลันเงียบสงัด
ยัยผู้หญิงคนนี้อีกแล้ว!
ดวงตาของซือหมิงหลี่ฉายวาบด้วยความมาดร้าย
ซือหมิงหรงกับผู้อาวุโสคนอื่นๆ เห็นเยี่ยหวันหวั่นพูดทะลุขึ้นกลางปล้องในเวลาแบบนี้ ต่างก็มีสีหน้าไม่พอใจอยู่บ้าง
แววตาลึกล้ำของซือเยี่ยหานวูบไหวเล็กน้อยทันทีที่หญิงสาวเอ่ยขึ้น สายตามองไปทางเยี่ยหวันหวั่น
เฝิงอี้ผิงใช้ฝาถ้วยปาดใบชา พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจราวกับมีหมาแมวที่ไหนโผล่เข้ามา “เฮอะ เธอคัดค้านงั้นเหรอ? เธอมีสิทธิอะไรมาคัดค้าน!”
เยี่ยหวันหวั่นมองเฝิงอี้ผิงด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง “เหมือนว่าประธานเฝิงจะขี้หลงขี้ลืมเหมือนลูกสาวเลยนะคะ นี่นับว่าเป็นโรคที่ถ่ายทอดตามกรรมพันธ์หรือเปล่า?”
“เธอ…” เดิมทีเฝิงอี้ผิงอยากจะต่อว่า แต่เมื่อเหลือบเห็นซือเยี่ยหานตรงตำแหน่งประธาน พลันไม่กล้าพูดอะไรอีก
ในเมื่อผู้หญิงคนนี้ยังมีฐานะเป็นว่าที่นายหญิงในอนาคต
เยี่ยหวันหวั่นไม่สนใจเฝิงอี้ผิงอีก ลุกขึ้นยืน ไม่สนใจคำด่า เหน็บแนม สายตาดูถูก เอ่ยขึ้นว่า “ถ้าหากการปลูกถ่ายอวัยวะจะทำให้คุณเก้ามีชีวิตต่อไปอย่างดี ฉันก็ไม่มีปัญหาอะไร! แต่ว่า การปลูกถ่ายอวัยวะเป็นการรักษาที่ปลายเหตุ ไม่ใช่ต้นเหตุ อย่างมากก็ต่อชีวิตได้อีกแค่ไม่กี่ปี แน่นอนว่านี่ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุด!”
ซือหมิงหลี่ได้ยินดังนั้นก็หัวเราะเยาะ “เด็กอย่างเธอจะไปเข้าใจอะไร มาพล่ามไร้สาระอยู่ที่นี่! หมอซุนก็พูดแล้วว่า หัวหน้าตระกูลเหลือเวลาอีกแค่ครึ่งปี ถ้าไม่ผ่าตัดก็มีแต่ต้องรอความตาย ในเวลาแบบนี้ เธอกลับออกมาคัดค้านการผ่าตัด มีแผนการอะไรในใจกันแน่?”
ซือหมิงหลี่พูดจบ ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างเห็นด้วยกับคำพูดของเขา
เผชิญกับการต่อว่าของทุกคน แววตาของเยี่ยหวันหวั่นกลับไม่มีความเกรงกลัวแม้แต่น้อย “ร่างกายของคุณเก้า ขอเพียงบำรุงรักษาให้ดี ให้ความร่วมมือกับการฝังเข็มและทานยาของหมอซุน ยังสามารถรักษาให้หายดีได้ ก่อนหน้านี้ฉันได้ช่วยคุณเก้าดูแลร่างกายมาเป็นเวลาครึ่งเดือน ตอนนี้ร่างกายของเขามีสัญญาณการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี ข้อนี้หมอซุนเป็นพยานได้”
ซุนไป๋เฉ่าพยักหน้า “เป็นเรื่องจริง เพียงแต่…ความเร็วในการบำรุงรักษาตามความเร็วของการถดถอยของร่างกายคุณชายเก้าไม่ทัน ผมถึงได้เสนอให้ทำการผ่าตัด แน่นอนว่า หากสามารถรักษาให้หายดีได้ เป็นวิธีที่ดีที่สุด กรณีนี้อายุขัยของคุณชายเก้าก็จะเหมือนกับคนปกติทั่วไป…”
เยี่ยหวันหวั่นได้ยินดังนั้น สายตาวาววาบแฝงด้วยไอดุดัน กวาดตามองทุกคนในที่ประชุม “ดังนั้น ฉันขอเวลาสามเดือน เพื่อช่วยคุณเก้าดูแลร่างกายต่อไป ถ้าหากถึงเวลานั้นแล้วหมอซุนยังวินิจฉัยว่าอาการของคุณเก้าจำเป็นต้องผ่าตัด ฉันก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก”
ทันทีที่เยี่ยหวันหวั่นพูดจบ ผู้อาวุโสทุกคนในที่ประชุมต่างพากันคัดค้าน…
“ตลก! ให้เวลาเธอสามเดือนงั้นเหรอ? เธอรู้ไหมว่าสามเดือนนี้อันตรายกับหัวหน้าตระกูลขนาดไหน?”
“ฉันว่าถ้าเธอไม่ได้โง่เขลาเบาปัญญา ก็จะต้องคิดร้ายกับหัวหน้าตระกูลแน่ๆ! หัวหน้าตระกูลมีหมอเก่งๆ มากมายอยู่รอบตัว หมอเทวดาซุนก็อยู่ที่นี่ ถ้ามันรักษาได้ ก็คงรักษาหายไปนานแล้ว จะต้องให้เธอมาชี้มือชี้ไม้ตรงนี้หรือไง!”
“ไม่ได้เด็ดขาด จะส่งชีวิตของหัวหน้าตระกูลไว้ในมือผู้หญิงที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวคนนี้ได้ยังไง เหลวไหลสิ้นดี! ถ้าในสามเดือนนี้หัวหน้าตระกูลเป็นอะไรขึ้นมา เธอรับผิดชอบไหวเหรอ?”
…
“เขารับผิดชอบไม่ไหวหรอก…”
ขณะที่ที่ประชุมกำลังโต้เถียงกันอย่างรุนแรง น้ำเสียงเย็นยะเยือกพลันลอยมาจากตำแหน่งประธาน
เสียงแหบทุ้มของชายหนุ่มไม่ดังนัก แต่กลับทำให้ทุกคนเงียบเสียงลง มองไปทางซือเยี่ยหานอย่างพร้อมเพรียงกัน
ใบหน้าของซือเยี่ยหานซีดเล็กน้อย แต่ความกดดันทางแววตากลับไม่น้อยลงแม้แต่นิดเดียว แผ่ซ่านครอบคลุมไปทั่วทั้งห้องโถง
ผ่านไปครู่หนึ่ง ท่านกลางบรรยากาศเงียบสงัด ซือเยี่ยหานเอ่ยต่อไปว่า “เพราะฉะนั้น ผมจะรับผิดชอบเอง”
………………………………………………………………