อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 15 ข้าไร้ความสามารถ
“ทำไม”
หยุนหว่านหนิงเลิกคิ้ว ไม่รับรู้อะไรเลยสักนิด ว่าในคำพูดของตนเองเมื่อครู่ได้เปิดเผยอะไรออกไปบ้าง
“เจ้าบอกว่า หลอกอะไรนะ”
โม่เยว่ก้าวเท้าไปข้างหน้า จ้องมองนางอย่างไม่เชื่อสายตา คว้ามือของนางเอาไว้ทันที สายตาของเขาดุดัน ถามด้วยเสียงดุว่า “หยุนหว่านหนิง ทางที่ดีเจ้าควรจะบอกความจริงข้ามาซะ”
เห็นเขามีปฏิกิริยาเช่นนี้ ม่านตาของหยุนหว่านหนิงก็หดเล็กลง
นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆเฮือกหนึ่ง ยิ้มและกล่อมหยวนเป่าให้ไปรอในห้องนอน
ในห้องครัวเล็กๆ จึงเหลือแค่พวกเขาสองคนเท่านั้น
“ท่านอ๋อง หรือว่าท่านไม่เคยได้ยินคำว่าหลอกพ่อมาก่อน มันก็แค่คำเปรียบเปรยเท่านั้น ทำไมท่านต้องตื่นเต้นขนาดนี้ด้วย”
หยุนหว่านหนิงแสร้งทำเป็นนิ่งไม่เป็นอะไร
“จริงหรือ ข้าได้ยินเป็นครั้งแรกเลย คำว่าหลอกพ่อที่เจ้าพูด”
โม่เยว่พูดยิ้มๆ “เจ้าบอกข้ามาซะดีๆ หยวนเป่าเป็นลูกใครกันแน่”
หลายวันมานี้ประโยคสนทนาของหรูยี่กับหรูโม่ รวมไปถึงการที่เขาเห็นใบหน้าของหยวนเป่าด้วยตาตนเอง และรู้สึกชอบเขาอย่างไร้เหตุผล ล้วนทำให้เขาเกิดความสงสัยขึ้นมา
อดที่จะคาดเดาไม่ได้ว่า หยวนเป่าเป็นลูกของเขาใช่หรือไม่
แต่ถ้าหากเป็นลูกเขา ทำไมหลายปีมานี้หยุนหว่านหนิงจึงต้องปิดบังเขาไม่ยอมบอกด้วยเล่า
ถ้าหากให้กำเนิดลูกของเขา เขาก็คงไม่กักบริเวณนาง ความแค้นที่มีต่อกันก็สามารถเลิกแล้วต่อกันได้ และคงไม่ปล่อยให้ลูกของเขา ใช้ชีวิตอยู่เช่นนี้
หยุนหว่านหนิงจะปล่อยโอกาสดีๆเช่นนี้ไปได้อย่างไร
เสียดาย บ่าวรับใช้คนนั้นเมื่อสี่ปีก่อน ได้ถูกเขาลงโทษโบยจนตายไปแล้ว
ความจริงทั้งหมด เกรงว่าจะมีเพียงหยุนหว่านหนิงเท่านั้นที่รู้
“ท่านอ๋อง คงไม่ได้คิดว่าหยวนเป่าเป็นลูกของท่านหรอกกระมัง”
หยุนหว่านหนิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “ท่านลองก้มดูตนเองซิ จะให้กำเนิดเด็กที่น่ารักขนาดนั้นได้หรือ”
โม่เยว่“……เจ้าอย่ามาท้าทายกับความอดทนของข้า”
เขาใช้แรง บีบคอของนางเอาไว้ ดันนางติดกับเตาไฟ ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำ ราวกับมีเลือดพุ่งขึ้นมา จ้องมองนางอย่างดุดันโหดเหี้ยม
สะโพกด้านหลังถูกดันไปติดกับเตาไฟ หยุนหว่านหนิงเจ็บปวดจนต้องขมวดคิ้วแน่น
เมื่อเห็นว่าโม่เยว่เหมือนจะไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะแล้ว เดิมทีน่างอยากจะยกตะหลิวขึ้นมาตีหน้าเขา
โม่เยว่กลับเร็วกว่าหนึ่งก้าว ปล่อยคอของนางและจับมือข้างขวาของนางเอาไว้
เมื่อเป็นเช่นนี้ สองมือได้ถูกเขาจับไว้จนแน่น กดนางลงไปบนเตาไฟ
เขามองนางจากด้านบน
เพราะร่างของทั้งสองแนบชิดกันมาก ใบหน้าสวยของหญิงสาวใต้แสงไฟ ผิวพรรณขาวเนียน รวมไปถึงเอวคอดที่สามารถกอดไว้ได้ด้วยมือข้างเดียว ดึงดูดเขาจนไม่อาจละสายตาได้
โม่เยว่รีบหลับตาลง
เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง แววตาก็เต็มไปด้วยความเฉยเมย “เจ้ารู้หรือไม่ วันนี้ข้าถูกท่านพ่อลงโทษมา”
“รู้หรือไม่ ว่าทั้งหมดนี้เป็นเพราะเจ้า”
“เพราะข้าหรือ คำพูดของท่านอ๋องช่างน่าสนใจจริงๆ นี่ไม่ได้เป็นเพราะ อ๋องหยิงอยากจะขึ้นครองราชย์ ฉะนั้นจึงต้องการจะกำจัดพวกนอกคอก รวมไปถึงท่านอ๋องหรอกหรือ”
ในเมื่อถูกเขาจับกดเอาไว้ ไร้ซึ่งทางต่อต้านได้
หยุนหว่านหนิงก็เลยพูดออกไปตรงๆ “โม่เยว่ ท่านแน่จริงก็ไปแก้แค้นกับอ๋องหยิงซิ”
“ท่านมาหาเรื่องผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างข้า จะมีประโยชน์อะไร”
โม่เยว่ถูกทำให้โมโหจนปากสั่น
สุดท้าย เขาก็โกรธจนหัวเราะออกมา “นี่ข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า เจ้าจะมีปากคอเราะรายเช่นนี้”
ท่าทีปากร้ายเช่นนี้ ร้ายกาจกว่าสี่ปีก่อนมากทีเดียว
เขาไม่รู้ ว่าสี่ปีที่ผ่านมาหยุนหว่านหนิงต้องเจอกับเรื่องอะไรมาบ้าง ก็แค่ถูกกักบริเวณมิใช่หรือ ทำไมจึงสามารถทำให้นิสัยของคนคนหนึ่งเปลี่ยนไปมาก ราวกับเป็นคนละคนเลย
แต่ว่า ไม่อาจไม่ยอมรับว่า หยุนหว่านหนิงที่เป็นเช่นนี้มีความดึงดูดใจมากกว่า
โม่เยว่สูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง ปล่อยนางออก “เจ้าว่าข้าไม่แน่จริงหรือ ข้าจะทำให้เจ้าเห็น ว่าอะไรที่เรียกว่าผู้ชายที่มีความสามารถ”
เขาจ้องมองนางด้วยสายตานิ่งๆ ทำเสียงเย็นขึ้นจมูกและสะบัดแขนเสื้อจากไป
เมื่อครู่ถูกเขาบีบคอเอาไว้แน่น ตอนนี้ที่ลำคอมีรอยแดงทิ้งเอาไว้
รู้สึกเผ็ดร้อนและเจ็บที่คอด้วย
หยุนหว่านหนิงเหมือนหนีจากความตาย กุมลำคอเอาไว้หอบหายใจแรงมาก
ผู้ชายคนนี้ โหดเหี้ยมจริงๆ
แต่ว่า เมื่อครู่ตอนที่เขาจากไป และพูดทิ้งท้ายไว้ว่า “เจ้าว่าข้าไม่แน่จริงหรือ ข้าจะทำให้เจ้าเห็น ว่าอะไรที่เรียกว่าผู้ชายที่มีความสามารถ”
ผู้ชายสารเลวคนนี้ อยากจะทำอะไรกันแน่
ไม่ช้า หยุนหว่านหนิงก็รู้แล้ว
โม่เยว่ไม่มีความคิดที่อยากจะได้ตำแหน่งฮ่องเต้ ไม่หวังจะเป็นรัชทายาท เขาอยากจะเป็นแค่ท่านอ๋องที่เอ้อระเหยทำตัวสบายๆเท่านั้น
เพราะฉะนั้น จึงไม่ได้มีอำนาจอะไรอย่างแท้จริงในราชสำนัก
กลับกันอ๋องหยิงโม่หุยเฟิง ได้ครองอำนาจในของค่ายห้ากองพลของเมืองหลวง มีภาระหนักอึ้ง อำนาจในมือที่มีอยู่เหนือกว่าแม่ทัพใหญ่ของแผ่นดินด้วยซ้ำ
ได้ยินมาว่า ในระยะเวลาอันใกล้นี้ฮ่องเต้จะสร้างค่ายเสินจีขึ้นมา
ค่ายเสินจีที่ว่านี้ ควบคุมอาวุธทั้งหมดของกองทัพ
แต่ค่ายเสินจีที่ว่านี้ยังไม่มีข้อสรุปชัดเจนโม่จงหรานอยากจะให้หนึ่งในบรรดาลูกชายทั้งหมด เลือกมาคุมค่ายเสินจีนี้ ช่วงนี้ ท่านอ๋องทั้งสี่จึงแย่งชิงโอกาสนั้นกันอย่างดุเดือด
แม้แต่โม่จงหรานที่ควบคุมค่ายห้ากองพลของเมืองหลวง ก็ไม่ยอมแพ้
มีเพียงโม่เยว่ ที่ยังคงไร้ซึ่งจิตใจจะต่อสู้แย่งชิง
แต่ว่าวันนี้ ข่าวที่ทำให้รู้สึกตกตะลึง ได้ส่งมาถึงหูของหยุนหว่านหนิง
ฮ่องเต้ได้มอบหมายค่ายเสินจี ให้โม่เยว่เป็นคนดูแล
ตอนที่ได้ยินเรื่องนี้ หยุนหว่านหนิงยังคงศึกษากำไลข้อมือของนางอยู่
วันนั้นแม่นมจางมาทวงหนี้ถึงบ้าน แต่ไม่รู้ว่าหยวนเป่าไปเอาเงินสิบตำลึงมาจากไหนมาคืนให้นางไป จึงไล่แม่นมกลับไปได้
เพราะฉะนั้นหลายวันมานี้ ชีวิตของสองแม่ลูก สามารถพูดได้ว่ายากจนอย่างแท้จริง
ในสี่ปีนี้ เป็นครั้งแรกที่หยุนหว่านหนิงต้องใช้ชีวิตด้วยการกินผักกาด กับโจ๊กเปล่า
เดิมทีกำลังคิดหาวิธีแก้ไข ไหนเลยจะคิดว่าจะได้ยินข่าวนี้
“โม่เยว่คนนี้ ใช้ได้นี่นา เห็นเงียบเชียบไม่ทำอะไร แต่กลับได้คุมค่ายเสินจี”
นางกะพริบตา สีหน้าตกตะลึง
ในเมืองหลวงได้มีข่าวลือแพร่ไปทั่วแล้ว ว่าฮ่องเต้ยกค่ายเสินจีให้ใครดูแล นั่นหมายความว่าจะแต่งตั้งคนนั้นเป็นองค์รัชทายาท เพราะว่า ค่ายเสินจีนั้นดูแลเรื่องยุทโธปกรณ์ทั้งหมด
อย่าว่าแต่โม่หุยเฟิงที่คุมค่ายห้ากองพลเลย
หากไม่มีอาวุธ ก็เป็นแค่ทหารมือเปล่าที่กระจัดกระจายอยู่ตามที่ต่างๆเท่านั้น จะสร้างคลื่นลมอะไรได้
ทันใดนั้น ในสายตาของทุกคน ต่างก็จ้องมองมาที่จวนอ๋องหมิงอย่างพร้อมเพรียงกัน
โม่เยว่เดินเข้ามาในเรือนชิงหยิ่งด้วยท่าทีองอาจกล้าหาญ ราวกับหมาป่าที่ต้องการโอ้อวดตนเอง
หลังจากคืนนั้น ที่เขาได้ทะเลาะกับหยุนหว่านหนิงอย่างรุนแรง นี่เป็นครั้งแรกที่เขามาที่นี่
มองดูสองแม่ลูกที่ดูซูบผอมลง เหมือนกับดอกไม้จีนอย่างไรอย่างนั้น โม่เยว่รู้สึกได้ใจ “ตอนนี้ ขาคงทำให้เจ้าเห็นแล้ว ว่าอะไรคือผู้ชายที่มีความสามารถ”
“คงทำให้เจ้ากินไม่ได้ นอนไม่หลับเลยสินะ”
หยุนหว่านหนิงขี้เกียจจะทะเลาะกับเขา ค้อนให้เขาหนึ่งที จากนั้นก็สอนหยวนเป่าเขียนหนังสือต่อ
เมื่อการโอ้อวดสูญเปล่า โม่เยว่จึงได้แต่เก็บอาการกลับไป นั่งลงตรงข้ามนาง “หยุนหว่านหนิง เจ้าลืมไปแล้วหรือ ก่อนหน้านี้เจ้าเคยพูดอะไรกับข้า”
“ท่านอ๋องความจำดีขนาดนี้ มีพลังต่อสู้อย่างแรงกล้าเช่นนี้ ทำไมไม่ไปใช้ในเรื่องที่เป็นประโยชน์เล่า”
เมื่อเผชิญทำท้าทายของเขา ใบหน้าของ หยุนหว่านหนิงเต็มไปด้วยความรังเกียจ
ผู้ชายคนนี้ เหมือนกับเด็กสามขวบ ที่จงใจมาโอ้อวดโดยเฉพาะ
ยังรู้ความสู้หยวนเป่าไม่ได้เลย
“แม้ว่าข้าจะเป็นแค่ผู้หญิงที่อยู่หลังบ้าน แต่ก็รู้ว่าค่ายเสินจียังจัดตั้งไม่สมบูรณ์ ภาระหนักอึ้งนี้ตกมาอยู่ที่มือท่านอ๋อง แต่ท่านกลับยังมีใจมาหาเรื่องข้าถึงที่อีกหรือ”
หยุนหว่านหนิงยิ้มขัน
นางเคยอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ และเข้าใจความเป็นมาของค่ายเสินจีด้วย
“อ๋องหยิงมีใจอยากจะแย่งชิงอำนาจ ตอนนี้ค่ายห้ากองพลของเขาถูกท่านบีบให้ส่งมอบอาวุธ เขาคงไม่ยอมรามือง่ายๆแน่”
“ค่ายเสินจีของท่าน จะสร้างอาวุธที่แข็งแกร่งกว่าได้อย่างไร จะระดมผู้ที่มีความสามารถมากกว่า หรือจะควบคุมดูแลอย่างไรเป็นต้น ท่านก็คงยังคิดไม่ออกซินะ”
“ตอนนี้ท่านเอาแต่มุดหัวอยู่คิดว่าคนอื่นจะไม่รู้ไม่เห็นหรืออย่างไร ยังจะมาทำท่าได้ใจกับข้าที่นี่มันมีประโยชน์อะไร”
ถูกตั้งคำถามรัวๆ ทำเอาสีหน้าของโม่เยว่คล้ำลงไปทันที
และตอนนี้เอง หรูโม่ก็เข้ามารายงานอย่างรีบร้อนว่า ได้มีเบาะแสเกี่ยวกับนักฆ่า ที่เข้ามาทำการลอบสังหารเมื่อหลายวันก่อนแล้ว