อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 41 สรุปจะถือหางให้ใครกันแน่
หากเป็นหยุนหว่านหนิงเมื่อก่อน เขาดีกับนางเพียงนิด ก็จะรีบพุ่งเข้ามาหาแล้ว
แทบอยากจะห่อตัวเองใส่พานขึ้นเตียงเขาทันที
แต่บัดนี้ สตรีน้อยเบื้องหน้ากลับมีสายตาลนลานเล็กน้อย ราวกับไม่คุ้นชินกับกิริยาสนิทสนมเยี่ยงนี้ มือเล็กของนางขวางกั้นระหว่างทั้งคู่ อยากจะผลักโม่เยว่ออก
“โม่เยว่ ท่านจะพูดจาดีๆได้หรือไม่?”
เธอกัดฟัน “ข้ากำลังขอร้องท่านน่ะมิผิด แต่ข้าก็ช่วยท่านไม่น้อย!”
“สำหรับท่านแล้ว นี่เป็นเรื่องเล็กน้อยมาก แค่เรื่องเล็กน้อยตามสะดวกเท่านั้นเอง!” เวลานี้มารู้จักลนลานแล้วรึ?
พอย้อนคิดถึงหลายวันนี้ ความบังอาจ เหิมเกริมต่อหน้าเขาของนาง โม่เยว่กลับรู้สึกว่านางในตอนนี้ดูน่าสนใจยิ่งกว่า
นางดูราวเป็นคนละคนกับก่อนหน้านี้
สตรีผู้นี้มันยังไงกัน?
นางคือหยุนหว่านหนิงจริงๆรึ?
เดิมคิดอยากอาศัยเรื่องนี้มาเลียบเคียงถามนาง แต่กลับพบว่า ตนเองกลับไม่เข้าใจนางมากยิ่งกว่าเดิม…
โม่เยว่ค่อยๆปล่อยนางออก “พรุ่งนี้ข้ากับเจ้าเข้าวังพร้อมกัน ในเมื่อมิเป็นอะไร ข้าจะออกไปข้างนอกละ กลางคืนมิต้องรอข้ากลับมาทานอาหารด้วย”
“ใครรอท่านกัน…”
หยุนหว่านหนิงแค่นเสียงเบา
เขาเดินมาถึงหน้าประตู พอได้ยินคำพูดนี้ก็หมุนตัวมองมา
เห็นสายตาคมปลาบของเขา กลัวเขาเปลี่ยนใจ ไม่เข้าวังกับเธอวันพรุ่งนี้แล้ว
หยุนหว่านหนิงรีบเปลี่ยนคำพูด “เพคะท่านอ๋อง! ท่านไปเถอะ ระวังตัวด้วย”
โม่เยว่ “…..ยังไม่รีบไปจัดการอีก คนไม่รู้จะคิดว่าพระชายาของข้าเป็นขอทานเสียอีก! ใช่ได้ที่ไหนกัน?!”
ขอทาน?!
ผู้ชายปากหมานี่ ปากเสียจริงๆ!
หยุนหว่านหนิงรักษารอยยิ้มตามมารยาท
ขอทานหยุน “ใช่ หม่อมฉันน้อมรับคำสั่งท่านอ๋อง”
เธอย่อตัวลง ทำท่าทางประพฤติดีงาม
โม่เยว่ถึงเดินออกไปอย่างพอใจ
วันต่อมา
โม่เยว่เสร็จจากราชการเช้า ตั้งใจกลับมารับหยุนหว่านหนิงเข้าวังด้วยกัน ขันทีตำหนักเว่ยหยางเห็นว่านางมาอีกแล้ว ก็แอบร้องบ่นในใจ
พระชายาหมิงผู้นี้ เป็นผู้ไม่ละความพยายามจริงๆ!
รู้ทั้งรู้ว่าองค์หญิงมิต้องการพบนาง เมื่อวานยังโกรธจนเป็นลมไปเพราะโกรธจัดแทงหัวใจ….
วันนี้ ทำไมมาอีกแล้วล่ะ?!
แค่นางมา ทั่วทั้งตำหนักเว่ยหยางก็อยู่ไม่เป็นสุขเลย ทำเอาเหล่าขันทีโดนหางเลขไปด้วย
พอโม่เฟยเฟยเห็นหยุนหว่านหนิงก็โกรธจัด ความโกรธของนางทำเอาทั่วทั้งตำหนักเว่ยหยางตัวสั่นเทาไปตามๆกัน ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นเหล่าขันทีที่บริสุทธิ์เหล่านี้?
เมื่อวาน ขนาดนี้พี่โม่ลี่ยังโดนลงโทษเลย!
ขันทีมีสีหน้าเหมือนจะร้องไห้ “พระชายา เหตุใดท่านมาอีกแล้วเล่า?”
เสียงเขามีแววร้องไห้
หยุนหว่านหนิง “…ข้าน่ากลัวขนาดนี้เลยรึ? ทำไมเจ้าเจอข้าแล้วจะร้องไห้ล่ะ?”
ทำไมร้องไห้ นางไม่รู้ตัวเลยรึ?
ขันทีร้องไห้ในใจ ฝืนยิ้มออกมาว่า “พระชายา องค์หญิงของข้ายังมิตื่นบรรทมเลย! เมื่อวานหลังท่านกลับไป องค์หญิงโกรธอาละวาดยกใหญ่อีก โกรธจนพูดว่าปวดใจ”
“ขนาดเหงือกยังแดงเลย! หมอหลวงมาดูอาการแล้ว บอกว่าร้อนใน”
“บอกให้องค์หญิงอยู่ให้ห่างสิ่งที่ทำให้ขุ่นเคืองใจ ดังนั้น…”
“สิ่งที่ทำให้ขุ่นเคืองใจ”นี่ นอกจากพระชายาหมิงผู้อยู่เบื้องหน้านี้ ยังจะมีใครอีก?!
ดังนั้นขันทีเลยไม่กล้าปล่อยนางเข้าไป
ถึงโม่เยว่จะเข้าวังมาพร้อมกับหยุนหว่านหนิง
แต่เวลานี้กลับยืนอยู่ใต้ขอบกำแพงด้านหลังนาง ขันทียืนอยู่ประตูด้านในไม่ได้ออกมา ดังนั้นจากมุมนี้เลยมองไม่เห็นโม่เยว่
พอได้ยินคำพูดขันที เขาเลิกคิ้วน้อยๆ
ไม่คิดเลยจริงๆว่า “อานุภาพสังหาร”ของสตรีผู้นี้จะมีมากมายเพียงนี้
ปกติ คนที่อารมณ์ร้ายที่สุดก็คือเฟยเฟย
ที่ผ่านมามีแต่นางทำให้คนอื่นโกรธ
ครั้งนี้กลับโดนหยุนหว่านหนิงทำให้โกรธจนเป็นอย่างนี้?
ก็มิแปลกที่หยุนหว่านหนิงจะขอร้องให้เขามาตำหนักเว่ยหยางด้วยกัน… โม่เยว่เดินออกมาจากใต้ขอบกำแพง และมายืนข้างหยุนหว่านหนิงด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
พอขันทีเห็น ก็รีบคุกเข่าลงถวายบังคม “ข้าน้อยถวายบังคมท่านอ๋อง”
โม่เยว่ไม่ได้พูดอะไร เดินเข้าไปเลยทันที
เดินไปสองก้าว เห็นหยุนหว่านหนิงยังยืนอยู่นอกประตู ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ว่า “ยืนอึ้งทำอะไรอยู่?”
“จะยืนเป็นหมาเฝ้าประตูรึ?!”
หยุนหว่านหนิงถึงได้สติกลับมา
นี่เธอ โดนผู้ชายปากหมาคนนี้ด่าอีกแล้ว?!
จะไว้หน้าเธอต่อหน้าขันทีสักหน่อยไม่ได้หรือไง?!
ช่วยไม่ได้ ขอร้องคนอื่นก็ต้องยอมลงให้
เธอรับปาก รีบเดินข้ามธรณีประตูตามเขาเข้าไป ขันทีด้านหลังถึงยืนขึ้นมา และปิดประตูอย่างระมัดระวัง ไม่กล้าเข้าไปขัดขวาง
มีโม่เยว่นำทาง หยุนหว่านหนิงเดินเข้าไปในตำหนักบรรทมของโม่เฟยเฟยอย่างราบรื่น
เมื่อวานโม่ลี่โดนตบปาก วันนี้แก้มทั้งแดงทั้งบวม
แต่เมื่อวานหยุนหว่านหนิงช่วยพูดแทนนางแล้ว ตนเลยมิได้แค้นเคืองนาง
พอเห็นนางเดินเข้ามา ก็เข้าไปรับหน้าด้วยใบหน้าตื่นเต้น และทำท่าทางบอกให้ “ออกไปคุยข้างนอก”
“พระชายา ทำไมท่านมาอีกแล้วเล่า? องค์หญิงโกรธมาก บอกว่า หากท่านกล้ามาตำหนักเว่ยหยางอีก นางจะทำให้ท่าน…”
หลังจากเห็นโม่เยว่ที่นั่งอยู่ด้านนอก โม่ลี่รีบกลืนคำที่มาถึงริมฝีปากลงไป
โม่เยว่ถามเสียงเย็นว่า “จะทำยังไงกับนาง?”
“จะจับพระชายามาห้าม้าแยกร่าง สับให้เละเอาไปเลี้ยงหมา”
โม่ลี่ย่นคอ บอกอย่างระมัดระวัง
“นางเก่งเสียจริง! กล้าพูดอย่างนี้กับพี่สะใภ้”
สีหน้าโม่เยว่ไม่มีรอยยิ้มเลยแม้แต่นิดเดียว คำพูดนี้ฟังแล้วเหมือนกำลังต่อว่าโม่เฟยเฟย แต่ฟังดีๆจะสามารถฟังได้ว่า ในน้ำเสียงนั้นมีแววรักใคร่และขบขัน
หยุนหว่านหนิงไม่ยอม
นี่เขามาเข้าข้างใครกันแน่?!
เธอถลึงตาใส่เขาอย่างโกรธเคือง “ท่านอ๋อง ชาของตำหนักเว่ยหยางอร่อยรึ?”
เห็นนางไม่พอใจ โม่เยว่ถึงวางถ้วยชาลง สั่งความกับโม่ลี่ว่า “ไปเรียกองค์หญิงออกมา ข้ามีความจะพูดกับนาง”
คำพูดของเขา โม่ลี่ไม่กล้าขัดขืน
ครู่หนึ่ง โม่เฟยเฟยเดินหน้าตึงออกมา
นางทำราวกับมองไม่เห็นหยุนหว่านหนิง เดินไปนั่งลงตรงข้ามโม่เยว่ทันที “พี่ชายเจ็ดท่านมาได้อย่างไรกัน? ได้ยินว่าบัดนี้ท่านดูแลค่ายเสินจี มิใช่ควรจะงานการมากมายและ ยุ่งมากรึ?”
“ยุ่งแค่ไหน ข้าก็มีเวลามาเยี่ยมเจ้า”
โม่เยว่พูดเสียงเรียบว่า “ได้ยินว่าเมื่อวานนี้พี่สะใภ้เจ็ดของเจ้าทำเจ้าโกรธจนเป็นลมรึ?”
“ใช่!”
พอโม่เฟยเฟยได้ยินคำนี้ ก็โกรธขึ้นมาอีก ถลึงตาใส่หยุนหว่านหนิงอย่างเคียดแค้น “พี่ชายเจ็ดไม่รู้รึว่า หยุนหว่านหนิงเหิมเกริมนัก! เมื่อวานกล้ามาบุกรุกตำหนักเว่ยหยางของข้าน่ะ!”
“ทำไมพี่ชายเจ็ดต้องยกเลิกการกักบริเวณของนางด้วย?”
“นางเคยทำร้ายข้ามาครั้งหนึ่ง ไม่แน่ว่าจะทำร้ายครั้งที่สองก็ได้! พี่ชายเจ็ดต้องช่วยจัดการให้ข้านะ!” โม่เฟยเฟยเริ่มต้นฟ้องอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง
มองดูใบหน้าแดงหูแดงเพราะความโกรธของนางแล้ว อดเหล่โม่เยว่ไม่ได้
หมอนี่ สรุปมา “โน้มน้าวให้ปรองดอง” หรือมา “เติมน้ำมันลงกองไฟ” กันแน่?!
“องค์หญิงเก้า ข้ามาเพราะอยากบอกท่านว่า เรื่องเมื่อสี่ปีก่อน…”
ยังพูดไม่ทันจบ ก็โดนโม่เฟยเฟยแทรกเสียงแหลมปรี๊ดว่า “ไม่ฟัง! ข้าไม่ฟัง! เจ้าไสหัออกไป!”
พอเห็นอย่างนี้ โม่เยว่สายตาเคร่งขรึม
เขาพูดอย่างไม่พอใจว่า “เฟยเฟย ฟังนางพูดให้จบ!”
แค่คำเดียว ทำโม่เฟยเฟยเชื่อฟังในทันที
ถึงนางจะถลึงตาใส่หยุนหว่านหนิงอย่างเคียดแค้น แต่ก็สงบลงอย่างว่าง่าย
หยุนหว่านหนิงผ่อนลมหายใจแผ่วเบา ตะโกนไปด้านนอกว่า “หรูยี่ พามันเข้ามา!”