อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 77 ร่วมหมอนนอนเตียง
เมื่อหันกลับไปดูจึงพบว่าโม่เยว่พุ่งตรงเข้ามาด้วยความโมโห
เขาเดินตรงก้าวมาแย่งหยวนเป่าไปโดยมิกล่าวสิ่งใด และอุ้มเจ้าหนูน้อยไว้ในอ้อมกอดอย่างทะนุถนอมราวกับสมบัติ “เหตุใดเจ้าจึงได้ใจจืดใจดำตีได้ลงคอ?”
เมื่อเห็นท่าทีของเขาราวกับจะกินคนเข้าไปทั้งตัว……
หยุนหว่านหนิงก็รู้สึกสนุกขึ้นมาทันใด
“ท่านอ๋อง ข้าสั่งสอนลูกชายของข้า เกี่ยวอะไรกับท่านกัน?”
นางเลิกคิ้วจ้องมอง จงใจยั่วโมโหเขา “นี่คือลูกชายข้า มิใช่ลูกชายเจ้า!”
จู่ๆ โม่เยว่พูดมิออก
แต่เมื่อเห็นหยวนเป่าดวงตากลมโตไร้เดียงสาคู่นั้น เขาก็กล่าวอย่างแข็งขันว่า “ลูกเจ้าแล้วอย่างไร ลูกยังเล็กเช่นนี้เจ้าตีเขาได้อย่างไร?”
“ก่อนหน้านี้ใครกันที่บอกข้าว่า ลูกจะดีได้นั้นล้วนออกมาจากไม้เรียว”
หยุนหว่านหนิงจับไปที่ใบหูของตนแล้วมองเขาด้วยความสนอกสนใจ “ท่านอ๋องกล่าวเองมิใช่หรือว่าตั้งแต่เล็กจนโตท่านถูกเสด็จพ่อคอยเฆี่ยนตี และเด็กๆ ควรจะถูกตีจึงจะโดดเด่นมิใช่หรือ”
โม่เยว่ “……อย่างไรก็ตาม คืนนี้หากข้าอยู่ที่นี่ เจ้าอย่าคิดจะได้แตะต้องเขาอีก!”
หยุนหว่านหนิงหัวเราะขึ้น
นางชี้นิ้วไปที่กำแพง “ท่านอ๋องมองดูเถิด”
“ที่กำแพงนี้ ถูกเจ้าหนูนี่ขุดจนเป็นรูเป็นอุโมงค์ หากยังขุดต่อไปกำแพงคงจะทลายพังพอดี”
“นี่คืออาณาเขตของข้า ต่อให้เขาขุดกำแพงจนมันพังล้มลง ข้าก็มิว่ากระไร”
“แล้วดูเนื้อตัวอันสกปรกของเขาเข้าสิ ราวกับขอทาน!”
“ประเดี๋ยวข้าสั่งให้คนไปอาบน้ำให้เขาก็พอ”
หยุนหว่านหนิง “……”
ชายผู้นี้หลงลูกเข้าไปทุกวัน มิดูเหตุผลเลย
หยุนหว่านหนิงทำได้เพียงจำใจยอมแล้วไปต้มน้ำให้แก่หยวนเป่าอาบด้วยตนเอง ทุกเรื่องของลูกคนนี้ ตลอดสามปีที่ผ่านมานางเป็นคนทำเองทั้งหมด มิให้คนอื่นเข้ามายุ่งเกี่ยว
แต่ในค่ำคืนนี้ ผู้ที่อาบน้ำให้หยวนเป่าเพิ่มเข้ามาคนหนึ่ง
โม่เยว่นั่นเอง
เขามิยอมจากไปก็ยังมิเท่าไร แต่ยืนกรานที่จะเข้าไปในห้องน้ำอาบน้ำให้กับหยวนเป่าด้วย
หยวนเป่ายินดียิ่งนัก
เขาเปลื้องผ้าล่อนจ้อนราวกับปลาตัวสีขาวแล้วกระโดดลงไปในอ่างน้ำด้วยตนเอง ทั้งยังกวักมือเรียกโม่เยว่ว่า “พี่ชาย มาอาบน้ำด้วยกันเถอะ”
ใบหน้าของโม่เยว่แดงเรื่อ
เจ้าเด็กนี่ เขาสอนกี่ครั้งกี่หนแล้วว่าให้เรียกเขาว่าท่านพ่อ……แต่ก็มิยอมฟัง
แน่นอนว่าโม่เยว่สั่งสอนเรื่องนี้เป็นการส่วนตัว
หากสอนเขาต่อหน้าหยุนหว่านหนิง ผู้หญิงคนนี้คงจะต้องห้ามอย่างแน่นอน
มิว่าหยวนเป่าจะเป็นลูกใครก็ตาม แต่เขาน่ารักเพียงนี้ โม่เยว่จึงเห็นเขาเป็นลูกชายของตน
เขาเรียกหยุนหว่านหนิงว่าแม่ เรียกตนว่าพี่ชาย เหตุได้ฟังแล้วดูขัดหูนัก
ดูเหมือนกับว่าเขาถูกหยุนหว่านหนิงเอาเปรียบอยู่
หยวนเป่าอาบน้ำอย่างสนุกสนาน
หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้วเขาก็ยืนกรานที่จะลากโม่เยว่ไปนอนด้วย ทั้งสองคนตะแคงหูฟังหยุนหว่านหนิงเล่านิทาน ก่อนจะกล่อมหยวนเป่าหลับไป
หยุนหว่านหนิงยังคงเล่านิทานต่อไปว่า “หนูน้อยหมวกแดงถูกเจ้าหมาป่าใจร้ายกินเข้าไป”
เมื่อมองผ่านกลับไปพบว่าโม่เยว่ก็หลับแล้ว
เตียงช่างใหญ่โตแต่นางกลับถูกเบียดมานอนขอบเตียง นางดึงผ้าห่มคลุมแล้วปิดไฟ
……
เช้าวันรุ่งขึ้น กู้ป๋อจ้งได้เดินทางมายังจวนอ๋อง
หลังจากส่งเสี่ยวเป่าให้ไปเรียนหนังสือแล้ว หยุนหว่านหนิงก็เดินทางเข้าวังไปพร้อมกับโม่เยว่
“เจ้าจะเข้าวังไปทำอะไร?”
โม่เยว่ขมวดคิ้วมองนาง
บางทีอาจเป็นเพราะเมื่อคืนนี้ทั้งสองร่วมหมอนนอนเตียงเดียวกัน ในวันนี้จึงนับว่าสามารถอยู่ร่วมกันอย่างสงบได้ อย่างน้อยก็มิได้ทะเลาะเบาะแว้งกันทันทีที่เจอหน้า
“ข้าจะเข้าไปจับชีพจรให้เสด็จพ่อสักหน่อย”
หยุนหว่านหนิงกล่าวขึ้นด้วยท่าทางจริงจังว่า “มีเพียงเจ้าเท่านั้นหรือที่เดินทางเข้าหวังได้ ข้าเข้าไปมิได้?”
“ถึงอย่างไรเจ้าก็เข้าวังอยู่แล้ว พวกเรานั่งรถม้าคันเดียวกันมิสะดวกกว่าหรือ”
คาดมิถึงวันนางจะเข้าหวังจริงๆ
โม่เยว่ชำเลืองมองนาง “……ตามแต่เจ้า”
หลังจากเข้าวังไปแล้ว โม่เยว่ก็ได้เดินทางตรงไปตำหนักฉินเจิ้งเพื่อร่วมประชุมราชวงศ์เช้า
เมื่อรู้ว่าหยุนหว่านหนิงก็เดินทางเข้าวังมาเช่นกัน โม่จงหรานจึงกำชับให้หัวหน้าขันทีซูปิ่งซ่านพานางไปที่ห้องทรงพระอักษร ทั้งยังอนุญาตให้นางเข้าออกห้องทรงพระอักษรได้ตามอิสระ
สามารถเข้าออกห้องทรงพระอักษรได้ตามอิสระ……
นี่เป็นพระกรุณาอย่างล้นพ้น
แม้แต่องค์ชายทั้งหลายก็ยังมิได้รับเกียรตินี้
หยุนหว่านหนิงตรงเข้าไปในห้องพระอักษรแล้วหยิบหนังสือสองสามเล่มออกมาอ่าน
ขณะเดียวกัน ความโกลาหลเกิดขึ้นในราชสำนัก
เนื่องจากคำสั่งของโม่จงหราน ให้โจวเวยและโม่หุยเฟิงออกเดินทางในอีกมิกี่วันเพื่อไปยังชายแดนป้องกันการรุกรานจากซีจวิ้น
ส่วนเรื่องค่ายห้ากองพลของโม่หุยเฟิง ปล่อยให้โม่เยว่และโม่หุยเหยียนเป็นคนดูแล
เมื่อประโยคนี้ถูกกล่าวออกไป ในท้องพระโรงก็ดูครึกครื้นขึ้นทันที
โม่เยว่มิได้รู้สึกแปลกใจเลยสักน้อย
เมื่อวานนี้ภรรยาของเขาได้เอ่ยเตือนเอาไว้แล้วล่วงหน้า และเรื่องนี้หยุนหว่านหนิงเป็นคนให้คำแนะนำต่อโม่จงหรานเอง
เขารู้สึกเห็นด้วยกับแผนการของนางนี้
ที่จริงในใจรู้สึกประหลาดเล็กน้อย ที่นางสามารถคิดกลยุทธ์อันยอดเยี่ยมเช่นนี้ออกมาได้
แต่โม่หุยเฟิงและคนอื่นๆ มิรู้เรื่องนี้ด้วย
ข่าวนี้สำหรับพวกเขาราวกับสายฟ้าฟาด
ท่ามกลางความตกตะลึง โม่หุยเฟิงลุกขึ้นยืนโดยมิลังเล “เสด็จพ่อทำเช่นนี้มิได้พ่ะย่ะค่ะ!”
โม่จงหรานมองไปที่เขาอย่างลึกล้ำ “คราวนี้ที่ข้าส่งเจ้าออกไปที่ชายแดน ค่ายห้ากองพลได้ส่งมอบให้กับหุยเหยียนกับเจ้าเจ็ดอย่างสมบูรณ์”
“รอให้เจ้ากลับมาพร้อมกับความสำเร็จแล้วข้าก็จะคืนให้เจ้า”
“แต่ว่าเสด็จพ่อ……”
โม่หุยเฟิงมิยอมแพ้ เขายังคงยืนกรานต่อไปว่า
“ทำไมหรือ เจ้ามิพอใจกับคำสั่งของข้า?”
โม่จงหรานน้ำเสียงดูมืดมนลงเล็กน้อย
เมื่อสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงอันมิพึงพอใจ โม่หุยเฟิงก็ไร้ซึ่งปัญญา และทำได้เพียงข่มความรู้สึกนั้นไว้ในใจ “ลูกมิกล้าขอรับ ลูกพร้อมน้อมรับคำสั่งของเสด็จพ่อ”
“เช่นนั้นก็ดี”
โม่จงหรานชำเลืองมองเขา จากนั้นก็มองไปทางอื่น
หางตาของโม่หุยเฟิงราวกับเข็มอาบยาพิษ พุ่งเป้าไปที่โม่เยว่
แน่นอนว่าเขาจะมิโกรธแค้นโม่หุยเหยียน
เนื่องจากเขาและโม่หุยเหยียนล้วนเป็นโอรสที่เกิดมาจากฮองเฮาจ้าว มีความสนิทสัมพันธ์ใกล้ชิดกันกว่าพี่น้องคนอื่น
หากว่าโม่หุยเหยียนจะเข้ามาช่วยดูแลค่ายห้ากองพลของเขา โม่หุยเฟิงก็โล่งใจยิ่งนัก
แต่ว่าโม่เยว่……
เขาอยากจะหักหน้าเจ้าหมอนี่มาเนิ่นนานแล้ว
ในครั้งนี้ที่เขาเดินทางออกจากเมืองหลวงคงจะคิดหาทุกวิถีทางนำค่ายห้ากองพลของเขาไป
พระราชกฤษฎีกาอันกะทันหันของโม่จงหรานนี้ ทำให้โอกาสของโม่หุยเฟิงหายไปจนสิ้น แต่ก็ทำได้เพียงยอมรับคำสั่ง ในใจของเขากำลังครุ่นคิดอย่างรวดเร็วว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรดี
หากเขาเดินทางออกจากเมืองหลวง……
ความหวังทุกอย่างคงต้องฝากฝังเอาไว้ที่โม่หุยเหยียนกับฉินซื่อเสวียแล้ว
เมื่อโม่จงหรานเดินทางมายังห้องทรงพระอักษร ก็พบกับหยุนหว่านหนิงกำลังอ่านหนังสือ《ชานไห่จือ》ด้วยความสนอกสนใจ
แม้กระทั่งตอนเขาเดินตรงเข้ามานางก็มิรู้สึกตัว
จนกระทั่งโม่จงหรานนั่งลงตรงข้างโต๊ะแล้วเอ่ยถามว่านางอ่านอะไรอยู่นางจึงได้รู้ตัว
หยุนหว่านหนิงวางหนังสือในมือลง สีหน้าของนางดูพอใจยิ่งนัก “เสด็จพ่อเพคะ ลูกกำลังอ่าน《ชานไห่จือ》น่าสนใจยิ่งนัก”
“เจ้ารู้สึกสนใจสิ่งนี้หรือ?”
โม่จงหรานรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
โดยมากแล้วสตรีมักมิได้อ่านตำรา มีเพียงแค่องค์หญิงและสตรีชั้นสูงเท่านั้นจึงได้รับการศึกษา
แต่โดยมากสตรีส่วนใหญ่มิชอบอ่านบทกวีและเรียงความเหล่านี้
ผู้ที่ชื่นชอบ《ชานไห่จือ》 หยุนหว่านหนิงเป็นคนแรกที่เขารู้จัก
“มันน่าสนใจยิ่งนัก”
หยุนหว่านหนิงยิ้มขึ้นแล้วเอ่ยถามจากใจจริงว่า “มิทราบว่าเสด็จพ่อพอจะให้ลูกยืมหนังสือเล่มนี้ไปอ่านสักสองสามวันได้หรือไม่? หลังจากนี้ลูกจะนำมาคืนโดยมิให้เสียหาย”
เมื่อเห็นท่าทางของนางที่ดูสนอกสนใจเช่นนั้น โม่จงหรานก็หัวเราะขึ้นเบาๆ
“หากเจ้าสามารถตอบคำถามข้าได้ ข้าก็อาจจะให้เจ้ายืม”
หยุนหว่านหนิงแสดงจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของนางออกมา “เชิญเสด็จพ่อถามมาเถิดเพคะ”
เดิมทีนางคิดว่าจะเป็นคำถามที่เกี่ยวข้องกับ《ชานไห่จือ》เสียอีก
แต่คำถามแรกที่โม่จงหรานเอ่ยถามนั่นทำให้นางถึงกับต้องหยุดชะงัก