อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 78 พระชายาอ๋องหมิงสุดยอดยิ่งนัก
“วันนี้ในงานประชุมราชวงศ์ ดูเหมือนเจ้าสามจะมิพอใจข้าเท่าไหร่นัก เกรงว่าเขาจะมิลงรอยกัน เจ้ามีวิธีดีๆ อันใดให้เจ้าสามยุติความมิพึงพอใจนั้นลงหรือไม่?”
โม่จงหรานมองไปทางนางด้วยความสนอกสนใจและรอคำตอบจากหยุนหว่านหนิง
คาดมิถึงว่าจะเป็นปัญหาที่ยากเช่นนี้
หยุนหว่านหนิงขมวดคิ้วขึ้นทันใดแล้วยิ้มอย่างอ่อนแรงว่า “เสด็จพ่อเพคะ ลูกเป็นเพียงสตรีที่ทำงานบ้านอยู่หลังเรือน ลูกมิอาจยุ่งเกี่ยวกับการเมืองได้”
“ข้าให้เจ้าตอบ เจ้าก็ต้องตอบ”
โม่จงหรานตบมือลงบนโต๊ะแล้วข่มขู่นางอย่างแรงว่า “หากเจ้ามิตอบ หรือให้คำตอบที่ข้าพึงพอใจมิได้……”
“ข้าจะตัดศีรษะเจ้าเสีย!”
นี่สินะทรราช
หยุนหว่านหนิงก้มศีรษะเอามือแตะคอของตนแล้วรู้สึกเย็นวาบ ราวกับนางถูกมีดปักเข้าที่คอ
จะทำให้เสด็จพ่อขุ่นเคืองใจมิได้
นางจึงทำได้เพียงกัดฟันแล้วยิ้มตอบอย่างกล้าหาญว่า “เสด็จพ่อเพคะ ท่านเป็นราชาของพวกเราและเป็นผู้ฉลาดหลักแหลม คาดว่าคำตอบนี้ท่านคงจะมีอยู่ในใจแล้ว”
“ข้ามิมีจึงได้เอ่ยถามเจ้า”
โม่จงหรานตอบพร้อมกับหันไปมองนาง
หยุนหว่านหนิง “……”
“เสด็จพ่อเพคะ หากว่าอ๋องหยิงรู้สึกมิพอพระทัย เสด็จพ่อสามารถเอาใจอ๋องหยิงได้จากในด้านอื่นๆ และปล่อยให้เขาละทิ้งอคติลง” บรรทัดใหม่
นางยิ้มขึ้นเจื่อนๆ
“อย่างเช่นอะไร?”
โม่จงหรานเอ่ยถามจนถึงที่สุด
มองดูแล้วในวันนี้คงมิปล่อยนางไปง่ายๆ
นางได้แต่ทำสีหน้าขมขื่น ตอบว่า “เสด็จพ่อเพคะ ลูกเองก็มิรู้”
“หากเจ้าให้คำตอบค่ามิได้ ข้าจะจัดศีรษะเจ้าเสีย”
หยุนหว่านหนิงได้แต่แอบกลอกตาอยู่ในใจแล้วกล่าวว่า “เสด็จพ่อเพคะ ผู้ที่รู้สึกมิพอใจในเรื่องนี้ อ๋องหยิงท่าจะเป็นคนที่สอง”
“ผู้ที่รู้สึกมิพอใจมากที่สุดคงจะเป็นเสด็จแม่ฮองเฮา”
นางยื่นนิ้วมือออกไปชี้ไปที่ตำหนักคุนหนิง “ได้ยินว่าเสด็จพ่อมิค่อยไปเยี่ยมเยียนฮองเฮาเท่าไหร่นัก วันนี้อากาศดี เสด็จพ่อจะพาเสด็จแม่ฮองเฮาไปเดินเล่นในอี้ว์ฮวาหยวนหน่อยเป็นไร?”
“ลูกได้ยินมาว่าดอกเหมยมักจะผลิดอกออกบานในฤดูหนาว”
แม้ว่าโม่หุยเฟิงจะมีอคติอยู่ในใจ แต่ตัวเขาก็ถูกส่งไปที่ชายแดนแล้วจะสร้างปัญหาใดได้?
แต่ฮองเฮาจ้าวยังคงอยู่ในวังหลัง
หากนางอยากจะทำอะไรขึ้นมาก็คงจะง่ายยิ่งนัก
ด้วยเหตุนี้เอง จึงควรจะปลอบใจท่านผู้นี้ก่อน
เป็นจริงดังนั้น หยุนหว่านหนิงเพิ่งจะกล่าวจบ ซูปิ่งซ่านก็ตรงเข้ามาทูลว่า “ฮองเฮาจ้าวเสด็จมาที่นี่ และบัดนี้ใกล้จะมาถึงห้องทรงพระอักษรแล้ว!”
มองดูเหมือนว่าผู้มาเยือนจะอารมณ์มิดีนัก
โม่จงหรานมองไปทางหยุนหว่านหนิงราวกับเห็นผี
แม่นางผู้นี้คำนวณได้ยอดเยี่ยมแม่นยำ
จากนั้นเขาจึงพยักหน้า “กล่าวได้มีเหตุมีผลนัก ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าข้าทำงานหนักเกินไปควรจะได้พักผ่อน ดังนั้นข้าจะให้หุยเหยียนและเจ้าเจ็ดมาตรวจสอบสมุดพับเหล่านี้แทน”
“อ้อใช่สิ อย่าลืมเรียกเจ้าสองมาด้วย ไปชมดอกเหมยกับข้าและฮองเฮา”
ซูปิ่งซ่านมองไปทางหยุนหว่านหนิงด้วยแววตาอันตกตะลึง
พระชายาอ๋องหมิงผู้นี้ดูมิมีพิษมีภัยและเป็นคนเรียบง่าย กลับสามารถโน้มน้าวฮ่องเต้ได้……
ดูเหมือนในอนาคตเขาจะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษแล้ว
เพคะ พระยาค่ะฮ่องเต้
ซูปิงสันต์ยิ้มอย่างประจบ “พระชายาอ๋องหมิง จะประสงค์พักผ่อนอยู่ที่นี่สักพัก แล้วเดินทางออกจากพระราชวังพร้อมอ๋องหมิง หรือให้บ่าวส่งกลับไปที่จวนอ๋องดีพ่ะย่ะค่ะ”
ข้าจะรอท่านอ๋อง
หยุนหว่านหนิงยิ้มขึ้นอย่างสุภาพ
นางหยิบหนังสือ《ชานไห่จือ》นั้นขึ้นมาอ่านต่อเพื่อบำรุงจิตใจของนาง
หลังจากที่โม่จงหรานเดินทางออกไปจากห้องทรงพระอักษรแล้ว ก็สังเกตเห็นสีหน้าของฮองเฮาจ้าวดูมิดีนัก แต่มิรู้ว่าเขากล่าวอะไรบางอย่างออกมา ใบหน้านางจึงเต็มไปด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง
จากนั้นทั้งสองคนก็เดินจูงมือกันออกไปจากที่นั่น
เมื่อเห็นดังนี้ ซูปิ่งซ่านก็อดมิได้ที่จะแลบลิ้นออกมา
พระชายาอ๋องหมิงผู้นี้ช่างเป็นคนที่เก่งกาจน่าเกรงขามเสียจริง
……
ขณะที่นางกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องทรงพระอักษรสักพัก อาจจะเป็นเพราะเวลาที่เนิ่นนานเกินไปจึงทำให้นางวิงเวียนศีรษะ หยุนหว่านหนิงมองเห็นกองสมุดพับมากมายข้างกายโม่เยว่ จึงตั้งใจจะออกไปเดินเล่น
ผู้ใดจะรู้เล่าว่าเมื่อนางเพิ่งเดินทางออกไปจากห้องทรงพระอักษร ก็พบเข้ากับหยุนเจิ้นซงที่เดินออกมานอกประตูพอดี
เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
เขามิได้สนทนากับลูกสาวคนนี้มาเนิ่นนานแล้ว
เดิมทีความสัมพันธ์ระหว่างสองพ่อลูกก็มิได้ใกล้ชิดกันมากนัก
เมื่อพบกันในบัดนี้ทำให้ดูห่างเหินกว่าเดิม
หยุนเจิ้นซงมิรู้ว่าจะเอามือวางไว้ตรงไหนดี เขามองไปยังนางด้วยความกระวนกระวาย “เจ้ามาได้อย่างไรกัน นี่คือห้องทรงพระอักษร แม้แต่สนมรักในวังหลังก็ห้ามเข้าออกที่นี่”
ซูปิ่งซ่านจึงอธิบายขึ้นว่า “ยิ่งกั๋วกง ฮ่องเต้ทรงรับสั่งไว้ด้วยตนเอง”
“ห้องทรงพระอักษรนี้ ให้พระชายาอ๋องหมิงเข้าออกได้ตามอำเภอใจ”
“อะไรนะ?”
หยุนเจิ้นซงถึงกับผงะ
ราวกับว่าเขามิเคยรู้จักหยุนหว่านหนิงมาก่อน เขามองดูหยุนหว่านหนิงตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าด้วยสีหน้าตกอกตกใจ “พระชายาอ๋องหมิง เรื่องนี้จริงหรือไม่?”
“ยิ่งกั๋วกงจะไปถามเสด็จพ่อด้วยตนเองหรือไม่?”
หยุนหว่านหนิงชำเลืองมองเขาด้วยรอยยิ้มกึ่งหนึ่ง ก่อนจะหันหลังจากไป
นางมิมีอะไรจะสนทนากับคนในจวนยิ่งกั๋วกงอีก
หากจะสนทนาเพียงแค่สองสามประโยค สู้มิพูดเสียเลยดีกว่า
“หยุดก่อน!”
หยุนเจิ้นซงตะลึงเล็กน้อย เขาวิ่งตามหยุนหว่านหนิงไปโดยลืมว่ามีธุระอยู่ “หว่านหนิง พ่อมีเรื่องจะเอ่ยถามเจ้าเล็กน้อย”
ทันใดนั้นเขาได้เรียกหว่านหนิงออกมา และชี้ให้เห็นว่าเขาเป็นบิดาของนาง
เพียงแต่ว่าหยุนหว่านหนิงมิตกหลุมพรางนี้ของเขาอย่างแน่นอน
นางยิ้มด้วยความเย้ยหยันแล้วหยุดฝีเท้าลง “ยิ่งกั๋วกง หากท่านพบกับข้า ควรที่จะคารวะด้วย”
“หากว่าท่านยิ่งกั๋วกงมิรู้จักระเบียบนี้ อนาคตหากเรียกข้าผิดอีก……ข้าอาจจะตบปากท่านได้”
นางเป็นสตรีที่แต่งงานออกไปแล้ว และบัดนี้นางคือพระชายาอ๋องแห่งจวนอ๋องหมิง
จากเหตุผลแล้วหยุนเจิ้นซงมิควรแม้แต่จะเรียกชื่อนางด้วยซ้ำ
ประโยคเดียวนี้ไร้ซึ่งความปรานี
ใบหน้าอันเหี่ยวย่นของหยุนเจิ้นซงดูซีดลงเล็กน้อย เขาก้มหน้าลงอย่างเขินอายก่อนที่จะคารวะนางกล่าวว่า “พระชายาอ๋องหมิงมิทราบว่าจะมีเวลากลับไปที่จวนกั๋วกงกับข้าหรือไม่?”
“แม่และน้องๆ ของเจ้าล้วนบ่นกันว่าคิดถึง”
“แม่ของข้าหรือ?”
หยุนหว่านหนิงหัวเราะเยาะ “แม่ของข้าเป็นใครกัน?”
“ข้ารู้เพียงแต่ว่าแม่ของข้านั้นแซ่กู้ และได้เสียชีวิตด้วยโรคภัยไข้เจ็บเมื่อหลายปีก่อน”
หยุนเจิ้นซงกล้ากล่าวว่านางเฉินเป็นมารดาของนางได้อย่างไร?
เพียงแค่อนุภรรยาผู้มีสถานะต่ำต้อย ถูกหยุนเจิ้นซงเลื่อนตำแหน่งให้เป็นภรรยาหลวง กลับมิรู้จักความเหมาะสมและที่ต่ำที่สูงกล้าดีอย่างไรจะเป็นมารดาของนาง
หยุนเจิ้นซงรู้สึกคับข้องใจแต่ก็ยังมิยอมพ่ายแพ้ “แม้ว่าเจ้าจะแต่งงานออกไปแล้ว”
“แต่ถึงอย่างไรเจ้าก็แซ่หยุน และอีกมิกี่เดือนน้องสาวของเจ้าก็จะบรรลุนิติภาวะอายุครบสิบห้าปี เจ้าควรจะกลับจวนสักหน่อยมิใช่หรือ”
น้องสาวคนที่สามของหยุนหว่านหนิงนามว่าหยุนธิงธิง
มารดาของนางก็คือนางเฉิน เช่นเดียวกับหยุนธิงหลาน
น้องสาวของนางบรรลุนิติภาวะแล้วหรือ หยุนหว่านหนิงดูจำมิได้เท่าไรนัก
เมื่อสี่ปีก่อนที่นางแต่งงานออกมา หยุนธิงธิงอายุเพียงแค่สิบปีเท่านั้น
บัดนี้ดูว่าจะเป็นสาวแล้ว
รวดเร็วเหลือเกิน
“เมื่อถึงเวลาค่อยว่ากัน”
หยุนหว่านหนิงมิได้ปฏิเสธ แต่ก็มิได้ตอบรับไปโดยตรง นางให้คำตอบอย่างกำกวมว่า “ข้ายังมีธุระอยู่ ขอตัวก่อน มิอาจสนทนากับยิ่งกั๋วกงได้”
“เชิญเถิด”
แต่สิ่งที่หยุนหว่านหนิงคิดมิถึงนั้นก็คือหยุนเจิ้นซงจะเป็นคนที่หน้าด้านเช่นนี้
เดิมทีนางเข้าใจว่าเมื่อนางกล่าวออกไปเช่นนี้แล้ว เขาคงจะมิมีหน้ามาระรานนางอีก
อย่างน้อยก็คงมิใช่เร็วๆ นี้
คาดว่าคงต้องผ่านไปอีกสองสามวันจึงจะมีนามาหานางได้
ใครจะรู้กันเล่าว่าในคืนนั้นมีแขกที่มิได้รับเชิญมาที่จวนอ๋องหมิง
เมื่อนางเห็นผู้ที่ถูกหรูเยียนพาเข้ามา หยุนหว่านหนิงก็ขมวดคิ้วเข้าหากัน ผ่านไปสักพักใหญ่กว่านางจะจำได้แล้วเอ่ยออกมาว่า “น้องสาม?”
ผู้ที่เดินทางมานั่นคือหยุนธิงธิง