อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 200 ลูกชายของข้า
สิบไม้?!
พอกินหรือไม่?!
หยุนหว่านหนิง “…”
เลี้ยงหมูหรือ!
ใครกินผลไม้เคลือบน้ำตาลทีละสิบไม้ๆ?!
พ่อค้าขายผลไม้เคลือบน้ำตาล กลับโยกด้ามฟางให้เข้าด้วยความตื่นเต้นยื่น “นายท่านท่านนี้ ในนี้มีสิบเอ็ดไม้ ที่เกินมาหนึ่งไม้ถือว่าข้ามอบให้คุณชายน้อยท่านนี้ก็แล้วกัน!”
โม่เยว่จ่ายเงินแบบไม่ลังเล
ใครมีทองหยวนเป่านับเป็นพี่ โม่เยว่ซื้อผลไม้เคลือบน้ำตาลให้เขา ดังนั้นจึงซื้อใจเขาได้แล้ว
มือหนึ่งของเขาถือผลไม้เคลือบน้ำตาลแท่งหนึ่ง ส่วนอีกมือหนึ่งก็จูงมือกับโม่เยว่ สองพ่อลูกเดินอยู่ข้างหน้าอย่างแช่มชื่น
ของที่หยวนเป่ามองมากหน่อย โม่เยว่ก็จะซื้อโดยพลัน
หยุนหว่านหนิงตามไปอย่างยอมรับในชะตากรรม เบื้องหลังคือหรูอวี้ซึ่งหามด้ามฟางเสียบผลไม้เคลือบน้ำตาล ถือของห่อใหญ่ห่อเล็ก เหงื่อไหลไคลย้อย
โม่เยว่ไม่มีของขวัญวันเกิดอะไรที่อยากได้เป็นพิเศษ
โม่ยว่เองก็ไม่ได้ ‘บังคับ’ เขา ว่าจะต้องซื้อให้เขาให้ได้
นางตัดสินใจ คืนนี้จะเข้าครัวทำอาหารมื้อใหญ่ด้วยตัวเอง ถือเป็นการฉลองวันเกิดให้เขาแล้ว
ถ้าเป็นวันเกิดของโม่เยว่เมื่อสองสามเดือนก่อนน่ะหรือ
นางไม่โรยยาเบื่อหนูกำหนึ่ง วางยาให้เขาตายไปเสียก็ถือว่านางออมมือมีเมตตาแล้ว
แต่สองสามเดือนมานี้ คนนี้ไม่รู้ว่าหัวใจเปลี่ยนไปแล้วหรืออย่างไร หรือว่าเปลี่ยนนิสัย ไม่เพียงแต่เปลี่ยนท่าทีที่มีต่อนาง ปกป้องคุ้มครอง…นอกเสียจากปากเสียเป็นบางครั้ง
แม้แต่กับหยวนเป่า ก็รักเอ็นดูทะนุถนอม
เห็นแก่บุตรชาย นางให้โอกาสเขาสักครั้งก็แล้วกัน!
หยุนหว่านหนิงคิดในใจ
หยุนหว่านหนิงมองร้านขายหยกที่อยู่ด้านข้าง ฉวยโอกาสตอนที่สองพ่อลูกกำลังเล่นว่าวอยู่ แวบตัวเข้าไปในร้าน
เดินเล่นจนถึงช่วงเย็นก็เกิด ‘อุบัติเหตุ’ เล็กน้อยเรื่องหนึ่ง
หยวนเป่าถูกคนชนหกล้ม
หากเป็นคนอื่น โม่เยว่ต้องเลิกแขนเสื้อพุ่งเข้าไปหา เอาชีวิตคนที่ชนหยวนเป่า เท้าเอวกระทืบเท้าแล้ว
แต่คนที่ชนหยวนเป่าล้ม กลับเป็นแม่นางน้อยตัวบึกบักคนหนึ่ง
ดังนั้นโม่เยว่จึงลำบากใจเล็กๆ
เขายังไม่ได้เอื้อมตัวจูงหยวนเป่าขึ้นมา หยวนเป่าก็กลิ้งตัวคลานขึ้นมาแล้ว ตบฝุ่นตามตัว ไม่ร้องสักแอะ
หยุนหว่านหนิงรีบตรวจสอบหัวเข่าของเขา “เจ้าลูกชาย ไม่บาดเจ็บใช่ไหม”
“ไม่ ท่านแม่”
หยวนเป่าใส่หน้ากากดีๆ อีกครั้ง แล้วจึงมองไปทางแม่นางน้อยที่ชนเขาล้ม “น้องสาว เวลาเดินต้องระวังด้วย! ยังดีที่เจ้าชนข้าล้ม ถ้าชนคนอื่น คนเขาเอาเรื่องจะทำอย่างไร”
“เจ้าล้มเอง จะให้ทำอย่างไร”
อายุอานามน้อยๆ ทำตัวราวกับผู้ใหญ่ ทำหน้าขึงขังพูดเหตุผล
หยวนเป่าถูกชนล้มไม่ร้องไห้ ไหนเลยจะรู้ว่านังหนูที่ชนเขาล้มคนนั้น พอถูกหยวนเป่า ‘สั่งสอน’ ยกหนึ่งกลับ ‘แง’ ร้องไห้จ้าขึ้นมา!
นังตัวดี!
เสียงนี้ดังจนหูจะหนวกแล้ว
อย่างกับประทัดหลายพวง ระเบิดอยู่ข้างหูพร้อมกัน
พลังทะลุทะลวงนี้ยากจะบรรยาย
สรุปแล้ว คนสัญจรที่ผ่านมาต่างใช้สายตามอง ‘พ่อค้ามนุษย์’ มองพวกหยุนหว่านหนิง
หยุนหว่านหนิงรู้สึกว่าหยวนเป่าอ้วนเกินไปมาตลอด
แต่สองเดือนนี้ เข้าคล้ายจะเริ่ม ‘หุ่นดี’ แล้ว
มองเห็นได้ด้วยสายตาว่าเขาตัวสูงขึ้น ไม่ขยายออกข้างอีก…เนื้อตามตัวยังมากเหมือนเดิม หนักเท่าเดิม แต่แขนขาเรียวยาวมากขึ้นแล้ว
แม่นางน้อยที่ร้องไห้จ้าเสียอีก จ้ำม่ำเนื้อแน่น อย่างกับ ‘หมูกระปุ๊กลุก ’!
‘หมูกระปุ๊กลุก ’ ตัวนี้มัดผมเปียชี้ฟ้าสองข้าง มือถือแอปเปิ้ลที่กินไปแล้วครึ่งหนึ่ง ร้องไห้จนน้ำหูน้ำตานองหน้า
หยวนเป่าทำหน้ารังเกียจ “ร้องไห้อย่างกับบัวรดน้ำแน่ะ”
พอได้ยินอย่างนั้น แม่นางน้อยก็ร้องไห้หนักกว่าเดิม!
หยุนหว่านหนิง “…เจ้าลูกชาย เจ้าคือเด็กผู้ชาย! เจ้าต้องใจกว้างสักหน่อย อย่าไปเลียนแบบปากเสียของพ่อเก๊เจ้า ต้องอ่อนโยนกับเด็กผู้หญิง จะปากร้ายอย่างนี้ไม่ได้”
โม่เยว่ที่อยู่ด้านข้าง “…ข้าอยู่เฉยๆ ก็โดนไปด้วยหรือ”
“เจ้ารู้อะไร นี่เรียกว่ากรรมพันธุ์! พ่ออย่างไรลูกก็อย่างนั้น”
หยุนหว่านหนิงเหล่ตามองเขา
แม้ถ้อยคำนี้จะไม่รื่นหู
แต่มุมปากโม่เยว่กลับยกยิ้มพึงพอใจอย่างแปลกประหลาด
หยุนหว่านหนิงกล่าวเช่นนี้ ก็คือยอมรับหน้าตาเฉยแล้ว ว่าหยวนเป่าคือบุตรชายแท้ๆ ของเขาโดยแท้
โม่เยว่พอใจแล้ว จึงไม่ต่อล้อต่อเถียงกับนาง
“อ้อ”
หยวนเป่าพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง หันไปมองทางแม่นางน้อยที่ยังร้องไห้อยู่ เอ่ยอย่างจริงจัง “น้องบัวรดน้ำ เจ้าอย่าร้องไห้เลย!”
‘บัวรดน้ำ’ ร้องไห้หนักกว่าเดิม
หยุนหว่านหนิงจะหัวเราะก็ไม่ใช่ จะร้องไห้ก็ไม่ใช่
“ไม่รู้ว่าเป็นเด็กบ้านไหนสิน่า”
นางมองรอบๆ ขณะกำลังจะถามก็ได้ยินเสียงดังมาจากที่ไม่ไกล “เถียนเถียน!”
“เถียนเถียนเจ้าร้องไห้อยู่ตรงไหน”
เสียงคุ้นหูอยู่เหมือนกันแฮะ
มุ่งมาอยู่ตรงหน้าหยุนหว่านหนิงด้วยความเร็ว ‘พุ่งพรวดร้อยหมี่(*เมตร)’ อุ้ม ‘บัวรดน้ำ’ ที่ร้องไห้ไม่หยุดพลัน
“ใครรังแกเจ้า บอกอา อาจะจัดการให้เจ้า!”
บัวรดน้ำร้องได้จนเกือบจะเป็นลม นิ้วมือป้อมๆ ชี้ทางหยวนเป่า ใบหน้ายุ้ยๆ ซุกเข้าตรงอกของท่านอา สะอื้นไม่หยุด
“ดีนัก! ข้าก็จะดูสิว่าใครกล้าเช่นนี้! กล้ารังแก…”
ยังไม่ทันกล่าวจบ ดวงตาพลันโต “หนิงเอ๋อร์!”
คนที่มากลับเป็นโจวหยิงหยิง!
นางกอดโจวเถียนเถียนที่ร้องไห้ไม่หยุด มองพวกหยุนหว่านหนิงด้วยความตะลึง “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
ระหว่างที่พูด โม่ฮั่นอี่ว์กระหืดกระหอบวิ่งตามมาแล้ว “หยิงหยิง เจ้าวิ่งเร็วอย่างนั้นทำอะไร นับวันทักษะที่แค่การฟังเสียงก็รู้ว่าใครของเจ้า จะยิ่งล้ำเลิศใหญ่แล้ว!”
แค่ได้ยินเสียงร้องไห้อยู่ไกลๆ ก็รู้ว่าคือโจวเถียนเถียน
“โอ น้องเจ็ด หว่านหนิง บังเอิญจริง!”
โม่ฮั่นอี่ว์ยิ้มทักทาย
“ก็นั่นนะสิ”
หยุนหว่านหนิงยิ้ม เห็นโม่เยว่ที่อยู่ด้านข้างอุ้มหยวนเป่าขึ้นมาอย่างไม่สุ้มไม่เสียงแล้ว
นางพูดไม่ออกเล็กน้อย
ตาคนนี้ กำลังอวดลูกชายอยู่หรืออย่างไรฮะ
ปัญญาอ่อน!
ดังคาด โม่ฮั่นอี่ว์กับโจวหยิงหยิงสังเกตเขาและหยวนเป่าทันที
“น้องเจ็ด เด็กนี่ใครหรือ”
โม่ฮั่นอี่ว์เข้ามาใกล้ อยากจะดูหน้าตาของหยวนเป่าสักหน่อย แต่กลับถูกโม่เยว่ผลักออก เขาจัดหน้ากากบนใบหน้าหยวนเป่าอย่างเบามือ
แล้วจึงกวาดตามองโม่ฮั่นอี่ว์เอ่ยเรียบ “ของข้า”
“พู่”
โม่ฮั่นอี่ว์หลุดหัวเราะออกมาทันที
แม้แต่โจวหยิงหยิงก็มองหยุนหว่านหนิงด้วยความประหลาดใจด้วย “หนิงเอ๋อร์ เมื่อไรกัน อยู่ดีๆ พวกเจ้าก็มีลูกชายโตขนาดนี้แล้ว!”
โม่ฮั่นอี่ว์ที่อยู่ด้านข้างหัวเราะจนเป็นบ้าเป็นหลังน้ำตาไหลแล้ว
เมื่อเห็นโม่เยว่ไม่พูด หยุนหว่านหนิงก็รีบส่งสายตากับเขา เงียบ เงียบไว้! ฐานะของหยวนเป่ายังให้ใครรู้ไม่ได้!
“ท่านอ๋อง อย่าล้อพวกเขาเล่นอีกเลย! นี่คือลูกของเพื่อนข้า ข้ารับเป็นลูกบุญธรรมน่ะ”
“ช่วงนี้นางมีธุระ ข้าก็เลยรับเด็กมาอยู่ที่จวนอ๋องสองสามวัน!”
“เด็กคนนี้เสียพ่อแต่เล็ก เขาอยู่กับแม่สองคน กับข้าก็เรียกท่านแม่โดยตรง ดังนั้นท่านอ๋องจึงบอกว่าเป็นลูกชายของเรา”
นางยิ้มอธิบาย
ถึงอย่างไรโม่ฮั่นอี่ว์กับโจวหยิงหยิงก็คือคนซื่อสองคน สมองไม่ค่อยแล่น
น่าจะหลอกง่ายหน่อย…
“อย่างนั้นหรือ”
การอธิบายนี้กลับพอถูๆ ไถๆ โจวหยิงหยิงพยักหน้า “เด็กคนนี้น่าสงสารจริง! ทำไมยังเด็กก็มีแต่แม่ ไม่มีพ่อแล้ว พ่อของเขาอยู่ที่ไหนหรือ”
“ตายแล้ว”
หยุนหว่านหนิงตอบอย่างไม่คิด “เดิมทีก็คือผู้ชายชั่วช้าคนหนึ่ง ทำผิดกับพวกเขาสองแม่ลูก ตายไปเสียได้ก็ดี”
โม่เยว่ “…”
ทำไมเขามักรู้สึกว่า ผู้หญิงคนนี้กำลังแช่งเขาอยู่นะ!