อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 339 เริ่มสงสัยในตัวตนของหยวนเป่า
ในตอนที่เห็นว่าหนานกงเยว่เริ่มนึกสงสัยขึ้นมาแล้ว หยุนหว่านหนิงก็ไล่ตามมาถึงได้ทันเวลา
“อ๋องฉู่ พี่สะใภ้ใหญ่ ช่างบังเอิญจริง ๆ”
นางยิ้มพลางเดินไปข้างหน้า ปิดบังสายตาสงสัยของหนานกงเยว่ “วันนี้อากาศไม่เลว พวกท่านก็ออกมาเดินซื้อของเหมือนกันหรือ? โย่ว ! แล้วนี่องครักษ์บ้านท่านเป็นอะไรไปล่ะ?”
เมื่อเห็นองครักษ์ที่ถูกตบจนหน้าบวมปูดไม่ต่างจากหัวหมู หยุนหว่านหนิงก็จงใจทำเป็นรู้สึกประหลาดใจ
หน้าขององครักษ์คนนั้นยิ่งแดงเห่อขึ้นกว่าเดิมแล้วตอนนี้
“ไม่ได้เป็นอะไร”
หนานกงเยว่ยิ้มแย้มอย่างอ่อนโยน “หนิงเอ๋อร์ นี่พวกเจ้าจะไป?”
“โอ้ พวกเราไปบ้านท่านตาของข้ามา!”
หยุนหว่านหนิงตอบด้วยรอยยิ้ม “พวกท่านคิดจะกลับจวนกันแล้วหรือ?”
หนานกงเยว่พยักหน้า สายตาจ้องมองหยวนเป่าที่อยู่ในอ้อมแขนของโม่เยว่อีกครั้ง “คุณชายน้อยผู้นี้คือใครรึ? ดูเหมือนว่าเจ้าเจ็ดจะปกป้องเขามาก ๆ เลยนะ”
โม่หุยเหยียนก็หันไปจ้องหยวนเป่าด้วยสายตาลึกล้ำด้วย
ประกายแสงมืดดำสายหนึ่ง วาบผ่านดวงตาของหยุนหว่านหนิงไปอย่างรวดเร็ว
ถ้าโม่เยว่ไม่ชิงออกหน้ามาแต่แรก เรื่องนี้ก็คงยังไม่พัฒนามาถึงจุดที่มันซับซ้อนขนาดนี้หรอก
แต่เพราะเมื่อครู่เขาฝืนดันทุรังปกป้องลูกชายแบบวางอำนาจสุดขั้ว น่ากลัวว่าคงจะไปกระตุ้นความสงสัยของโม่หุยเหยียนกับหนานกงเยว่เข้าแล้ว….
สองสามีภรรยาคู่นี้ ไม่เหมือนโม่ฮั่นอี่ว์กับโจวหยิงหยิงหรอกนะ
ที่ใช้แค่คำว่า”ลูกบุญธรรม”ประโยคเดียว ก็สามารถปกปิดเรื่องนี้จนผ่านไปได้อย่างง่ายดายแล้ว
แค่เห็นแววตาเคลือบแคลงสงสัยในดวงตาของพวกเขาทั้งสอง หยุนหว่านหนิงก็รู้แล้วว่า บางทีพวกเขาอาจจะแอบคาดเดากันในใจอย่างลับ ๆ ได้แล้วด้วยซ้ำ นางยกยิ้มเล็กน้อย “เมื่อครู่นี้ข้า.…”
ยังพูดไม่ทันจบ ด้านหลังก็ปรากฏน้ำเสียงที่เรียกด้วยความประหลาดใจดังแว่วมาว่า “หนิงเอ๋อร์?!”
เป็นเสียงของโจวหยิงหยิง!
พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มาของแท้!
หยุนหว่านหนิงถึงกับพูดไม่ออก
วันนี้มันวันอะไรกันเนี่ย? ทำไมทุกคนถึงได้มารวมตัวกันอย่างพร้อมหน้าแบบนี้ !
จะเป็นไปได้มั้ยเนี่ย ว่าอีกเดี๋ยวก็จะได้เจอกับโม่หุยเฟิงกับฉินซื่อเสวียอีก?
หรือแม้แต่ อาจถึงขั้นได้เจอกับโม่เหว่ยที่แทบไม่ย่างกรายออกจากบ้านอีกคน?
นางส่ายหน้าอย่างจนใจ หันกลับไปก็เห็นโจวหยิงหยิงเดินเข้ามาใกล้ด้วยสีหน้าตื่นเต้นประหลาดใจ ในมือยังจูงเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ไว้ด้วยอีกคน เด็กผู้หญิงคนนี้ถักผมเปียสองข้างที่ชี้โด่เด่ขึ้นไปบนฟ้า
ใบหน้าที่อ้วนกลมนั่น เหมือนจะบีบเอาอวัยวะทั้งห้ามารวมไว้ด้วยกันเป็นกองเดียว
โดยเฉพาะดวงตา ที่ตี่เสียจนกลายเป็นขีดเดียว
ส่วนลำคอก็อ้วนเสียจนมองไม่เห็น
มองจากระยะไกล ๆ ช่างดูเหมือนห่านอ้วนกลมตัวหนึ่งกำลังเดินแกว่งซ้ายแกว่งขวาเข้ามาใกล้
เด็กหญิงตัวน้อยคนนี้ ก็คือหลานสาวของโจวหยิงหยิง มีชื่อว่าโจวเถียนเถียน
“เมื่อครู่นี้ข้ายังคุยกับเถียนเถียนอยู่เลย ว่าจะพานางไปเล่นกับพี่หยวนเป่า! คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้มาพบกับพวกเจ้าที่นี่ ช่างบังเอิญจริง ๆ!”
“จริงด้วย บังเอิญจัง”
หยุนหว่านหนิงฝืนเค้นรอยยิ้มออกมา
ตอนนี้เอง หยวนเป่าค่อยเงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อย เผยให้เห็นดวงตาดำขลับคู่โตเป็นประกาย “ฮาย น้องสาวบัวรดน้ำ”
“ได้เจอกันอีกแล้วนะ!”
ตอนที่เขาไม่เปิดปากพูดก็ยังนับว่าไม่เท่าไหร่ แต่พอเขาเปิดปาก ถังหูลู่ที่อยู่ในมือของโจวเถียนเถียนก็ร่วงดัง “แผละ” ลงไปบนพื้น
นางกลับมาตั้งสติได้ พยายามบิดเอวก้มตัวลงเพื่อจะเก็บถังหูลู่บนพื้นด้วยความยากลำบาก
“เจ้ายังจะกินอีกรึ?”
หยวนเป่าพูดอย่างจริงจังว่า “เทียบกับครั้งก่อน เจ้าอ้วนขึ้นอีกแล้วนะเนี่ย! ถ้าเจ้ายังอ้วนขึ้นเรื่อย ๆ แบบนี้ล่ะก็ เจ้าอาจจะกลายเป็นลูกโป่งลูกหนึ่ง เมื่อไหร่ที่ลมพัดมา ก็จะลอยฉิวขึ้นฟ้าไปเลย พอลอยไปแล้วก็จะกลับมาไม่ได้อีกแล้วนะ!”
“แง้ ๆ ๆ ๆ …….”
โจวเถียนเถียนกระทืบเท้าอย่างแรง แหกปากร้องไห้ดังลั่น!
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอ้วนเกินไปเลยบิดเอวเพื่อก้มตัวไม่ไหว จนไม่สามารถเก็บถังหูลู่ที่ตกอยู่บนพื้นได้
หรือเป็นเพราะ โดนหยวนเป่าแกล้งแหย่จนร้องไห้กันแน่…..
แต่เมื่อแขนขาอันอวบอ้วนของนางถูกเหวี่ยงสะบัดไปมา ก็เป็นอะไรที่ก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวที่เรียกว่า “แผ่นดินสะท้านภูเขาสะเทือน” ได้เลยทีเดียว
“ดูเถอะ ๆ เถียนเถียนอายแล้วนะเนี่ย!”
โจวหยิงหยิงรีบเข้าไปปลอบนาง พลางอธิบายให้หยุนหว่านหนิงฟังด้วยรอยยิ้ม
อายแล้ว?
คำอธิบายนี้ ฟังดูพยายามฝืนให้คล้อยตามเกินไปหน่อยแล้วมั้ย!
หยุนหว่านหนิงหัวเราะเจื่อน ๆ “นั่นสิ ฮะ ๆ ๆ สาวมั่นขี้อาย ฮะ ๆ ๆ …..”
หลังจากปลอบโจวเถียนเถียนให้เงียบได้อย่างยากลำบาก โม่เยว่ก็พูดโพล่งขึ้นมาอีกประโยคว่า “หยวนเป่า อ่อนโยนกับผู้หญิงหน่อย เจ้าจะกำปั้นทุบดินพูดแต่เรื่องจริงที่ทำร้ายจิตใจคนอื่นไปทำไม?”
เขาพูดกับหยวนเป่าด้วยสีหน้าจริงจัง
โจวเถียนเถียนอ้วนเกินไปหน่อยก็จริง แต่นางไม่ได้โง่
ทันทีที่ได้ยินแบบนี้ ก็รู้ได้ทันทีว่าโม่เยว่ก็ด่าว่านางอ้วนเช่นกัน
นางทิ้งก้นลงนั่งจุ้มปุ๊กกับพื้น แล้วเริ่มร้องไห้ขึ้นมาอีกครั้ง ผมเปียเล็ก ๆ สองข้างบนหัวนางก็พลอยสั่นไหวตามไปด้วย…..
หยุนหว่านหนิงถึงกับกุมหน้าผาก โจวหยิงหยิงก็ปวดหัวไม่แพ้กัน
“หยวนเป่า หรือไม่เจ้าก็พาเถียนเถียนไปซื้อถังหูลู่ใหม่เถอะนะ!”
หยุนหว่านหนิงส่งสายตาเป็นสัญญาณไปให้หรูอวี้
หยวนเป่าตอบสนองอย่างรวดเร็ว เขารีบดึงโจวเถียนเถียนขึ้นมาจากพื้นทันที “โจวอ้วนน้อย ข้าจะเลี้ยงถังหูลู่เจ้าเอง! เจ้าไม่ต้องร้องไห้แล้วนะ วันนี้เจ้าอยากกินเท่าไหร่ ข้าก็จะซื้อให้เท่านั้นเลย!”
“อื้ม! ขอบคุณพี่หยวนเป่า!”
โจวเถียนเถียนค่อยยอมเช็ดน้ำมูกน้ำตา แล้วยิ้มออกมาได้
หรูอวี้คุ้มครองเด็กน้อยทั้งสองเดินกลับไปอย่างระมัดระวัง เพื่อไปซื้อถังหูลู่
หยุนหว่านหนิงแอบถอนหายใจแบบไม่มีเสียงออกมาเฮือกหนึ่ง
จากนั้นนางค่อยหันกลับมา มองไปที่หนานกงเยว่ “พี่สะใภ้ใหญ่ เมื่อครู่นี้ท่านถามข้าว่าอะไรนะ?”
“อ๋อ ไม่มีอะไร! ข้าแค่จะถามว่าเด็กคนนี้เป็นลูกบ้านไหน หน้าตาน่ารักน่าชังจริง!”
หนานกงเยว่ยกยิ้มอย่างอ่อนโยน
“พี่สะใภ้ใหญ่ยังไม่รู้ล่ะสิ?”
ไม่รอให้หยุนหว่านหนิงทันเอ่ยปากตอบ โจวหยิงหยิงก็เป็นฝ่ายชิงตอบให้แทนก่อนแล้ว “เด็กคนนี้เป็นลูกบุญธรรมของหนิงเอ๋อร์! จะพูดไปก็น่าสงสารนัก เด็กคนนี้เพิ่งจะอายุแค่นี้พ่อของเขาก็มาตายจากไปเสียแล้ว…..”
“ได้ยินมาว่า พ่อของเขาตายเร็ว! แม่ของเขาต้องกัดฟันอาบเหงื่อต่างน้ำ เลี้ยงดูเขามาด้วยตัวคนเดียวมาจนเติบใหญ่ขนาดนี้ ไม่ง่ายเลยจริง ๆ!”
“หนิงเอ๋อร์เห็นว่าเขาน่าสงสาร จึงรับเขามาเลี้ยงดูข้างกาย”
หยุนหว่านหนิงเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า
ส่วนโม่เยว่ก้มหน้าลงมองพื้น ใบหน้าแก่ ๆ เห่อร้อนผะผ่าว: “…..”
เรื่องนี้ยากที่จะผ่านไปได้ ต้องยอม “ซูฮก” ให้กับความปากกรรไกรนี้ของหยุนหว่านหนิงจริง ๆ!
ตอนนี้ใคร ๆ ต่างก็รู้ว่า พวกเขามีลูกบุญธรรมคนหนึ่ง ทั้งยังเป็นเด็กที่เสียพ่อไปตั้งแต่ยังเล็กด้วย…..
เขาเป็นถึงอ๋องหมิงผู้สง่างาม ทำไมถึงตกมาอยู่ในสภาพที่น่าสมเพชขนาดนี้ได้นะ? !
“อย่างนั้นรึ?”
หนานกงเยว่ถึงกับตกตะลึง มองไปยังทิศทางที่หยวนเป่ากับโจวเถียนเถียนจากไป จากนั้นก็ส่ายหน้าอย่างหดหู่ใจ “ช่างเป็นเด็กที่น่าสงสารจริง ๆ! หนิงเอ๋อร์ เจ้าช่างเป็นคนดีเหลือเกิน”
นางกับโม่หุยเหยียนก็มีลูกสาวด้วยกันคนหนึ่ง
ลองคิดดูว่า ถ้าโม่หุยเหยียนตายจากไปล่ะก็…..
ลูกสาวของนางจะน่าสงสารขนาดไหน? !
หยุนหว่านหนิงไม่หน้าแดงเลยซักนิด “ใช่เลยพี่สะใภ้ใหญ่ เด็กคนนี้น่าสงสารมาก!”
ก่อนสามขวบเขาไม่เคยได้เห็นหน้าพ่อตัวเองมาก่อนเลย ไม่เรียกว่าน่าสงสารได้หรือ?
จากปลายหางตา นางชำเลืองมองไปที่โม่เยว่แวบหนึ่ง
เมื่อเห็นว่าใบหูของผู้ชายนิสัยหมาคนนี้แดงเถือกไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ก็รู้ได้ทันทีว่าในใจของเขาคิดอะไรอยู่ นางแอบหัวเราะแบบไม่มีเสียง “จริงสิ วันนี้ช่างบังเอิญเสียจริง ! ทำไมทุกคนถึงได้ออกมาซื้อของกันหมดเลยล่ะ?”
“นั่นสิ”
หนานกงเยว่ตอบว่า “เหลืออีกสองเดือน ก็จะถึงวันเกิดของเสด็จแม่เต๋อเฟยแล้ว”
“นั่นเป็นเหตุผลที่ข้ามาเดินเลือกของกับท่านอ๋อง หาซื้อของขวัญวันเกิดให้เสด็จแม่เต๋อเฟย!”
“ถ้าอย่างนั้นพวกท่านซื้อได้แล้วรึ? เตรียมของขวัญอะไรให้ท่านแม่ล่ะ?”
หยุนหว่านหนิงถามด้วยความสงสัย
หนานกงเยว่มีท่าทางเขินอายเล็กน้อย “ก่อนหน้านี้ ข้าเห็นว่าเสด็จแม่เต๋อเฟยชื่นชอบผ้าปักสองด้านที่เจ้าให้เมื่อปีที่แล้วมาก ข้าเลยเตรียมไว้ผืนหนึ่ง ตัดสินใจว่าจะปักแล้วมอบเป็นของขวัญวันเกิดให้เสด็จแม่เต๋อเฟย”
เต๋อเฟยชอบงานผ้าปักสองด้านที่นางให้งั้นเหรอ? !
เห็นอยู่ชัด ๆ ว่านางรังเกียจมันจะแย่ไม่ใช่เรอะ!
ปีที่แล้วนางแสดงท่าทางว่ารังเกียจแบบเปิดเผยโจ่งแจ้งเลยด้วยซ้ำ โอเค๊? !
หยุนหว่านหนิงแสดงสีหน้าสงสัย
เมื่อเห็นว่านางไม่รู้ หนานกงเยว่ก็แอบตกใจเล็กน้อย “เจ้าคงยังไม่รู้กระมัง?”
“เสด็จแม่เต๋อเฟยเอางานผ้าปักสองด้านที่เจ้าให้ไปเก็บไว้ในห้องนอน! ครั้งก่อนที่ข้าไปขอดอกไม้จากเสด็จแม่เต๋อเฟย บังเอิญได้เห็นเข้าพอดี”
หยุนหว่านหนิงไม่รู้เรื่องนี้เลยจริง ๆ!
นางเคยไปที่ตำหนักหย่งโซ่วมานับครั้งไม่ถ้วน แต่กลับไม่เคยเข้าไปในห้องนอนของเต๋อเฟย!
นางถึงกับแขวนงานผ้าปักสองด้านที่ตัวเองให้ ไว้ในห้องนอนจริง ๆ น่ะเหรอ? !
นางตกใจจนตาค้างไปเลย!
เมื่อเห็นนางตกตะลึงขนาดนี้ หนานกงเยว่ก็หลุดหัวเราะเบา ๆ “ก็ไม่น่าแปลกใจหรอกที่เจ้าไม่รู้”
“ที่แล้วมาเสด็จแม่เต๋อเฟยกับเจ้า นิสัยใจคอเหมือนกันอย่างกับแกะ ทั้งสองคนต่างก็ตรงไปตรงมา แถมไม่รู้ว่าจะแสดงความรู้สึกของตัวเองออกมาอย่างไร”
นางส่ายหน้า “ข้ากับท่านอ๋องยังมีธุระต้องไปทำ ต้องขอตัวก่อนล่ะนะ ไว้วันหลังเราค่อยมาดื่มชาด้วยกัน”
“ได้เจ้าค่ะ”
หลังจากมองส่งทั้งคู่จากไป หยุนหว่านหนิงก็มองไปที่โม่เยว่ด้วยแววตาซับซ้อน จากนั้นก็หันไปสบตากับโจวหยิงหยิง ในใจรู้สึกเหมือนเกิดความสะท้อนใจเล็ก ๆ
“อย่ามองข้าแบบนั้น ข้าเองก็ไม่รู้”
โม่เยว่กระแอมไอเบา ๆ “ไปกันเถอะ”
ทั้งสามคนเกาะกลุ่มเดินไปด้วยกัน ตามหาหยวนเป่ากับโจวเถียนเถียน
โดยไม่ได้รู้ตัวเลยว่า ทันทีที่พวกเขาจากไป ชายชุดดำก็คนหนึ่งก็แอบย่องตามหลังไปอย่างเงียบๆ…