เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ว่าเขาทำเพื่อผลประโยชน์ของนาง ดังนั้นนางจึงยิ้มและพยักหน้าให้
หมอหลวงหลิวบอกนางว่าหญิงมีครรภ์ควรคำนึงถึงเรื่องคุณค่าทางโภชนาการเป็นสำคัญ คืนนี้นางไม่ควรทานอะไรอีก และควรรอจนกระทั่งอดีตฮ่องเต้กับองค์ชายสามกลับมาในวันพรุ่งนี้ตอนเช้าตรู่ จากนั้นเขาจึงสั่งห้องเครื่องเตรียมอาหารให้นางเป็นพิเศษ
เด็กชายตัวน้อยยืนอยู่ข้างเฮ่อเหลียนเวยเวย เขาฟังสิ่งที่อีกฝ่ายพูดอย่างตั้งอกตั้งใจพร้อมกับพยักหน้าทุกครั้งที่หมอหลวงหลิวพูดจบหนึ่งประโยค
หลังจากหมอหลวงหลิวกลับไป เด็กชายตัวน้อยก็โยนอาหารทั้งหมดที่เขาขโมยมาจากห้องเครื่องลง แม้แต่ซาลาเปาไส้เนื้อที่เขาโปรดปราน เขาก็หยิบมาเพียงชิ้นเดียว
เขารีบขวางทางเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยท่าทางกระตือรือร้นทันทีที่นางพยายามจะลุกขึ้นจากที่นอน แล้วพูดว่า “พี่สะใภ้สาม เมื่อครู่หมอหลวงหลิวบอกให้ท่านควบคุมอาหาร ดังนั้นท่านดื่มได้แค่น้ำกับกินได้แค่แอปเปิ้ล เท่านั้นขอรับ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกอยากกินอะไรสักอย่างอยู่ตลอดเวลา แอปเปิ้ลเพียงผลเดียวจึงบรรเทาความหิวของนางได้ไม่นานนัก แต่การเชื่อฟังคำแนะนำของหมอหลวงย่อมเป็นความคิดที่รอบคอบกว่า นอกจากนั้นทุกคนในตำหนักจิ่วฉงก็ยังต่างคนต่างใจ ดังนั้นของที่สามารถกินได้อย่างปลอดภัยจึงมีแต่อาหารที่เจ้าเจ็ดขโมยมาเท่านั้น ส่วนอาหารมื้ออื่นๆ นั้นต้องผ่านการตรวจสอบหลายต่อหลายชั้นกว่านางจะสามารถกินได้ มันลำบากมากทีเดียว
แต่ท้องของนางก็ยังรู้สึกว่างเปล่า
นางอาจจะเพียงแค่คิดไปเอง แต่ทั้งเมื่อวานและวันนี้ เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับรู้สึกว่ายิ่งเวลาผ่านไปนางก็ยิ่งหิวอย่างมาก
แม้ในระยะนี้นางจะกินจุกว่าที่เคย แต่นางรู้สึกว่าความอยากอาหารของตัวเองดูจะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา
“ในมิติสวรรค์มีสตรอว์เบอร์รีอยู่” เสี่ยวไป๋พูดอย่างสุขุม “สตรอว์เบอร์รีพวกนั้นมีพลังวิญญาณ พวกมันย่อมมีผลดีต่อนายน้อยที่อยู่ในร่างเจ้า”
เฮ่อเหลียนเวยเวยส่งเสียงเบาๆ ออกมาอย่างเห็นด้วยกับคำแนะนำของเสี่ยวไป๋ ยิ่งพวกมันเติบโตอยู่ในมิติสวรรค์นานเท่าใด พลังวิญญาณของพวกมันก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น พวกมันจะต้องเป็นยาบำรุงกำลังชั้นดีให้กับนางและก็ลูกของนางอย่างแน่นอน
หลังจากตัดสินใจได้ เฮ่อเหลียนเวยเวยจึงรีบลุกขึ้นนั่งตัวตรง นางพุ่งสติตรงเข้าสู่มิติสวรรค์โดยไม่ลังเล จากนั้นจึงเด็ดสตรอว์เบอร์รีออกมากินจนหนำใจ
เสี่ยวไป๋ประเมินขนาดกระเพาะอันใหญ่โตของนางไว้ต่ำเกินไป มันกลายร่างกลับเป็นแมวแล้วกระโดดขึ้นไปบนไหล่ข้างซ้ายของเฮ่อเหลียนเวยเวย
เพียงพริบตาเดียว เฮ่อเหลียนเวยเวยก็กลับมาสู่โลกแห่งความจริง รสชาติหวานๆ จากผลสตรอว์เบอร์รียังคงอยู่ในปากของนาง ขณะเดียวกันนั้นนางก็รู้สึกว่าร่างกายของนางได้รับการฟื้นฟูกลับมาแข็งแรงอีกครั้งหนึ่ง
มันน่าจะพอประทังความหิวของนางได้สักระยะหนึ่ง…
“พี่สะใภ้สาม ในนี้มีเด็กอยู่จริงๆ หรือขอรับ ทำไมท้องของท่านถึงไม่โตขึ้นเลยเล่า” หลังจากตรวจสอบดูแล้วว่าไม่มีคนอื่นอยู่รอบๆ เด็กชายตัวน้อยจึงแนบตัวเข้ากับหน้าท้องของเฮ่อเหลียนเวยเวย พร้อมกับถามขึ้นด้วยดวงตาเป็นประกาย
ตอนนี้เมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยรู้แล้วว่าตัวเองท้องอยู่จริง นางจึงไม่สามารถอุ้มเด็กชายตัวน้อยได้อีกต่อไป นางจับมือของเด็กชายมาวางลงบนหน้าท้องของตัวเอ จากนั้นจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะว่า “ต้องใช้เวลาอีกหลายเดือนกว่าท้องจะโต”
“เช่นนั้นเด็กคนนี้จะคลอดเมื่อใดหรือขอรับ” จากนั้นเด็กชายตัวน้อยจึงเอ่ยขึ้นพร้อมกับพยักหน้าให้ตัวเอง “ไม่สิ เดี๋ยวก่อนนะขอรับ ข้าควรจะเรียกเด็กคนนี้ว่านายน้อยสิ หากปราณแห่งความชั่วร้ายสลายไปจากร่างของข้า และข้าแข็งแกร่งขึ้นเมื่อใด ข้าจะให้นายน้อยขี่หลังแล้วพาเขาไปจับมังกรที่เมืองใต้สมุทรกิน มังกรที่นั่นรสชาติดีที่สุดขอรับ นายน้อยจะต้องชอบพวกมันแน่นอน”
เฮ่อเหลียนเวยเวยลูบศีรษะของเด็กชายตัวน้อย แล้วถามต่ออย่างอารมณ์ดีว่า “เจ้าก็ชอบเด็กเหมือนกันหรือ”
“ชอบสิขอรับ” เด็กชายตัวน้อยทำหน้าตาจริงจัง แล้วตอบนาง “ข้าชอบทุกอย่างที่ตัวเล็กกว่าข้าขอรับ”
“เอ่อ…” เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกอับจนคำพูดกับคำตอบอันตรงไปตรงมาของเขา
แต่องค์ชายเจ็ดตัวน้อยกลับรู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก เขาพูดกับท้องของเฮ่อเหลียนเวยเวยว่า “นายน้อยขอรับ ท่านชอบมังกรหรือไม่ ตอนนี้ท่านยังไปไหนไม่ได้ แต่ถ้าท่านอยากเห็น ข้าจะไปตีหัวชิงหลงแล้วพาเขามาให้ท่านดูที่นี่เองขอรับ”
ที่นอกเมือง ชิงหลงที่ติดตามรับใช้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอยู่ด้านหลังจามออกมาเสียงดัง : … เกิดอะไรขึ้น?
นานทีปีหนเขาถึงจะได้เห็นมังกรจามสักครั้ง
หวังว่ามันจะไม่ทำให้อากาศแปรปรวนอย่างรุนแรงจนเกิดหิมะตกหนักหรือลมพายุตามมาหรอกนะ
กิเลนอัคคีกำลังเดินทอดน่องพร้อมกับชมร่างกายกำยำล่ำสันของตัวเองอยู่ จากนั้นจู่ๆ มันก็หันมามองชิงหลง สายตานั้น… ค่อนข้างแปลกประหลาดเล็กน้อย
เมื่อชิงหลงสังเกตเห็นดังนั้น มันก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิด
ตัวต้นเหตุของเรื่องวุ่นวายนี้ยังคงพูดจาเจื้อยแจ้วอยู่กับหน้าท้องของเฮ่อเหลียนเวยเวย เขากำลังตั้งหน้าตั้งตาหาวิธีเปลี่ยนชิงหลงให้กลายเป็นอาหารจานเด็ดอยู่
เฮ่อเหลียนเวยเวยเอนกายอย่างเกียจคร้านอยู่บนหัวเตียงระหว่างฟังที่เขาพูด บรรยากาศดูอบอุ่นและผ่อนคลายอย่างมาก
คืนนั้น เด็กชายตัวน้อยไม่ได้กลับห้อง
เขาไม่ได้นอนบนเตียง แต่ปล่อยให้เสี่ยวเฮยกับเสี่ยวไป๋ที่เป็นสุนัขกับแมวนอนอยู่ข้างเฮ่อเหลียนเวยเวย ตัวหนึ่งสามารถป้องกันสัตว์อสูรได้ ส่วนอีกตัวหนึ่งก็สามารถป้องกันวิญญาณร้ายได้ เด็กชายกำลังทำสมาธิอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ แม้เขาจะดูเหมือนหลับอยู่ แต่เขาจะลืมตาขึ้นมาทันทีหากสัมผัสได้ถึงหญ้าที่สั่นไหวอยู่ในสายลม
ในวังหลวงยังหนาแน่นไปด้วยปราณแห่งความเคียดแค้นอันรุนแรง มันเป็นเช่นนี้ก่อนที่จะมีคนพยายามทำลายผนึกเสียอีก
ปราณพวกนี้ไม่ดีต่อหญิงมีครรภ์
มีเด็กจำนวนนับไม่ถ้วนต้องมาตายในวังหลวง และส่วนใหญ่ก็ต้องกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนก่อนจะทันได้มาเกิดด้วยซ้ำ
ดังนั้นภารกิจที่สำคัญที่สุดในเวลานี้ของเด็กชายตัวน้อยจึงเป็นการคุ้มกันเฮ่อเหลียนเวยเวย
แต่เขาก็ไม่รู้อยู่เรื่องหนึ่ง
นั่นคือเรื่องที่ว่าทารกน้อยในท้องของเฮ่อเหลียนเวยเวยทำให้วิญญาณอาฆาตของเด็กๆ ทั้งวังหลวงหวาดกลัวจนตัวสั่น
พวกเขาไม่กล้าเฉียดเข้าใกล้ตำหนักจิ่วฉงแม้แต่นิดเดียว
วิญญาณอาฆาตของเด็กๆ เหล่านั้นรู้ว่ากำลังจะมีทารกเกิดขึ้นในวังหลวง ดังนั้นพวกเขาจึงรีบย้ายไปที่ตำหนักเย็นที่อยู่ห่างจากตำหนักจิ่วฉงที่สุด พวกเขาทำเช่นนั้นเพื่อหลีกหนีจากบรรยากาศอันน่าอึดอัดนี้
“นี่ เจ้าว่าสิ่งนั้นคืออะไรกัน ข้ากลัวจนมือเท้าหมดเรี่ยวแรง แถมยังขยับไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว”
“เจ้ายังแค่หมดแรง แต่วันนี้ตอนที่ข้าผ่านไปทางตำหนักจิ่วฉง ข้าเกือบถูกมันกินเอาเชียวนะ”
“อะไรนะ เช่นนั้นจากนี้ไปพวกเราควรอยู่ให้ห่างจากตำหนักจิ่วฉงหรือ”
“พลังของเจ้านั่นไม่ค่อยแข็งแกร่งเท่าใดนักในเวลากลางวัน แต่พวกเราก็ออกมาตอนกลางวันไม่ได้อยู่ดี”
“เฮ้อ ดูเหมือนพวกเราคงทำให้นางแท้งไม่ได้”
“อย่าว่าแต่แท้งเลย เจ้าคิดว่าเจ้าทำอันตรายมันได้ด้วยหรือ มันกลืนวิญญาณได้เชียวนะ! มันน่ากลัวจะตายไป! มันน่ากลัวเกินไปแล้วด้วยซ้ำ! ข้าไม่อยากอยู่ในวังหลวงนี่อีกแล้ว ข้าจะออกไปโตที่อื่น!”
“พี่แปด ข้าจะไปกับท่านด้วย!”
หึๆๆๆ…
เสียงหัวเราะชั่วร้ายดังขึ้นจากทางด้านหลังของพวกเขา
วิญญาณอาฆาตของเด็กๆ เหล่านั้นสะดุ้งสุดตัว จากนั้นพวกเขาจึงโบกมือให้กับพี่น้องของตัวเองพลางตะโกนอย่างร้อนใจว่า “เจ้าเก้า เจ้าสิบ รอพวกข้าด้วย! รอพวกข้าก่อน!”
วันต่อมา อากาศในวังหลวงดูสดชื่นยิ่งกว่าเดิมมากนัก แม้กระทั่งตำหนักเย็นที่มักดูมืดมนก็ยังดูมีชีวิตชีวามากขึ้น
บรรดาขันทีและนางกำนัลต่างรู้สึกสับสนงุนงงยิ่งนัก บรรยากาศอึมครึมที่อยู่ในตำหนักเย็นลดลงถึงเพียงนี้ในเวลาเดือนเดียวได้อย่างไร
เป็นเพราะอดีตฮ่องเต้กำลังจะกลับมาในเร็วๆ นี้หรือ
อากาศปลอดโปร่งราวกับทั้งวังหลวงได้รับการชำระล้างจากพลังงานบางอย่าง แม้แต่ท้องฟ้าก็ยังดูกว้างใหญ่กว่าที่เคย
อดีตฮ่องเต้พอใจอย่างมากกับความก้าวหน้านี้ อีกทั้งยังรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อยจากการสูญเสียลูกชายของตน เขามองวังหลวงอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตานั้นพร้อมกับพยักหน้าและไพล่มือไว้ด้านหลัง
อีกด้านหนึ่ง ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยังคงดูเย็นชา แต่ทันทีที่เขาก้าวเข้ามาในวังหลวง เขาก็หยุดฝีเท้าลงอย่างกะทันหัน จากนั้นในดวงตาอันลึกล้ำยากจะหยั่งถึงของเขาก็มีประกายแสงสายหนึ่งวาบขึ้น…