“นายท่านขอรับ” กิเลนอัคคีที่ซ่อนบางส่วนของตัวเองเอาไว้เดินเข้าไปหาเขาพร้อมกับพูดขึ้นว่า “มีบางอย่างแปลกไปขอรับ” พวกเขาไม่อยู่เพียงวันเดียว แต่ปราณแห่งความเคียดแค้นในวังหลวงกลับได้รับการชำระล้างไปจนหมดสิ้น จะต้องมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นที่นี่อย่างแน่นอน
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหลุบตาลงและหมุนแหวนที่นิ้วหัวแม่มือตัวเอง จากนั้นจึงสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ไปตรวจสอบซะ”
“ขอรับ” กิเลนอัคคีหายตัวไปอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงชิงหลงที่อยู่ทางด้านซ้ายของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
ในเวลานี้ ประตูเซวียนอู่ที่มุ่งสู่วังหลวงจึงถูกเปิดออก
ขุนนางจำนวนนับไม่ถ้วนคุกเข่าคำนับอยู่บนบันไดหินอ่อนสีขาว แขนเสื้อกว้างของพวกเขาแผ่อยู่กับพื้นข้างตัว เสียงของพวกเขาดังกึกก้องยามเมื่อเอ่ยคารวะอีกฝ่าย
“ยินดีต้อนรับอดีตฮ่องเต้และองค์ชายสามพ่ะย่ะค่ะ!”
อดีตฮ่องเต้ยิ้มออกมาอย่างสง่างาม แล้วจึงยกแขนเสื้อขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับเอ่ยว่า “ทุกคนยืนขึ้นได้”
เสนาบดีเหล่านั้นยืนขึ้นทีละคน พวกเขายืนเรียงต่อกันเป็นแถวยาวดูยิ่งใหญ่อลังการอย่างมาก
ในเมื่ออดีตฮ่องเต้กลับมาแล้ว เช่นนั้นย่อมมีการคัดเลือกองค์รัชทายาทเพื่อสืบทอดบัลลังก์เกิดขึ้น!
นี่เป็นเหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดสำหรับจักรวรรดิจ้านหลง!
ถึงจะมีปัญหาที่ยังแก้ไม่ตกอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ทุกคนก็มีรอยยิ้มเบิกบานอยู่บนใบหน้า อย่างไรเมืองข้างเคียงทุกเมืองบนแผ่นดินนี้ก็ได้รู้แล้วว่าจักรวรรดิจ้านหลงแข็งแกร่งเพียงใด
แม้เมืองข้างเคียงเหล่านั้นจะส่งคณะทูตของตัวเองมา แต่พระชายาสามก็ใช้อำนาจที่มีปฏิเสธไม่ให้พวกเขาเข้ามาในเมืองได้ ในขณะที่องค์ชายสามใช้โอกาสนี้โจมตีแคว้นทางใต้ไปในเวลาเดียวกัน ตอนนี้คนพวกนั้นต่างก็หวาดกลัวจนตัวสั่นทุกครั้งที่เห็นธงของจักรวรรดิจ้านหลง
นี่เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
จักรวรรดิจ้านหลงในเวลานี้ทรงอำนาจยิ่งกว่าสมัยก่อนเสียอีก
ตอนนี้เสนาบดีทั้งหลายต่างก็รู้สึกโล่งใจและพอใจกันอย่างมาก
จักรวรรดิจ้านหลงเจริญรุ่งเรืองอย่างมากในสมัยที่อดีตฮ่องเต้ยังเรืองอำนาจอยู่ แต่ฮ่องเต้ก็เหยียบย่ำมันจนทำให้ราชวงศ์เข้าสู่ยุคมืดและล้าหลังอยู่เป็นเวลากว่ายี่สิบปี จวนผู้อาวุโสก็มีปัญหาภายในเกิดขึ้นเพราะผู้อาวุโสเหล่านั้นล้วนแต่ต้องการไขว่คว้าหาชีวิตอมตะอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงทำตัวไร้เหตุผล และก่อให้เกิดการทุจริตเป็นวงกว้างในวังหลวง
ยามนี้เมื่อฮ่องเต้จากไปแล้ว มันอาจเป็นข่าวดีสำหรับจักรวรรดิจ้านหลงก็เป็นได้
แต่เรื่องนี้อาจไม่ใช่เรื่องดีสำหรับสี่ตระกูลใหญ่ที่มีอำนาจล้นมือ
เดิมทีนั้นสี่ตระกูลใหญ่กับจวนผู้อาวุโสต่างก็พึ่งพากันและกันอยู่
เหตุผลที่ตระกูลหลักทั้งสี่ถูกเรียกว่าสี่ตระกูลใหญ่เพราะอำนาจทางการทหารและที่ดินจำนวนมากที่พวกเขามี ตระกูลของพวกเขามีเส้นสายกว้างไกล อีกทั้งพวกเขาแต่ละคนก็ยังเป็นแม่ทัพที่ก่อตั้งเมืองนี้มากับมือ
ในหมู่พวกเขา มีอยู่หลายคนทีเดียวที่เคยให้ความช่วยเหลือกับอดีตฮ่องเต้ไว้อย่างมาก…
ตอนนี้เมื่อพวกเขามีอำนาจมากมายถึงเพียงนี้ พวกเขาจึงย่อมโลภมากเป็นธรรมดา…
ขณะที่พวกเขากำลังเดินตามหลังอดีตฮ่องเต้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พวกเขาต่างก็พยายามคิดไปด้วยว่าจะเอ่ยถึงการคัดเลือกพระสนมขึ้นมาได้อย่างไร
เมื่อก่อนพวกเขาเคยมีความคิดเดียวกัน
แต่ในเวลานั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยโดดเด่นอย่างมาก นางเป็นเลิศทั้งด้านรูปร่างหน้าตาและฝีมือทางวรยุทธ์
ดังนั้นนอกจากนางแล้ว พวกเขาจึงไม่สามารถส่งใครเข้าหาองค์ชายสามได้อีก
แต่สถานการณ์ในเวลานี้ต่างจากตอนนั้น
เรื่องนั้นผ่านมานานแล้ว แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ยังไม่ตั้งครรภ์เสียที
การเป็นฮ่องเต้นั้นแตกต่างจากการเป็นเพียงองค์รัชทายาท ทันทีที่ขึ้นครองราชย์ เขาจำต้องหว่านเมล็ดพันธุ์ของตัวเองและผลิตทายาทอีกมากมาย ดังนั้นเขาจะต้องมีความยุติธรรมให้กับพระสนมทุกคน และจะต้องปฏิบัติต่อพวกนางอย่างเท่าเทียมกัน
ตอนนี้การส่งตัวสตรีนางอื่นเข้าวังหลวงย่อมเป็นเรื่องที่สามารถทำได้ง่ายกว่าเมื่อก่อนนัก
อย่างไรพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องตัดสินว่าใครเป็นคนที่ดีที่สุดในหมู่พวกนางอีกต่อไป
ที่พวกเขาต้องทำก็แค่วาดภาพเหมือนของพวกนางแล้วส่งภาพนั้นให้อดีตฮ่องเต้ดู ทำเพียงแค่นี้ หญิงสาวอย่างน้อยสองตระกูลใหญ่ที่เหลือย่อมได้รับการคัดเลือกอย่างง่ายดาย
อย่างไรตระกูลเฮยก็คงไม่ร่วมวงด้วยในระหว่างที่เฮ่อเหลียนเวยเวยยังเป็นประมุขของตระกูลเฮ่อเหลียนอยู่
ก่อนตระกูลทั้งสองตระกูลที่เหลือจะกลับมาที่เมืองหลวง พวกเขาได้สั่งให้คนของตัวเองเตรียมภาพวาดของหญิงสาวในตระกูลเอาไว้แล้ว
พวกเขามั่นใจว่าแผนการนี้จะต้องสำเร็จอย่างแน่นอน
เฮ่อเหลียนเวยเวยเองก็มาจากสี่ตระกูลใหญ่ ดังนั้นนางจึงรู้ถึงแผนการที่ตระกูลอื่นวางไว้เป็นอย่างดี
ทหารรับจ้างของนางนำข่าวนี้มาแจ้งเฮ่อเหลียนเวยเวยทันทีที่อดีตฮ่องเต้มาถึงเมืองหลวง
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองภาพวาดพวกนั้น ดวงตาเรียวรีของนางกระตุกเล็กน้อยอย่างเกียจคร้านระหว่างที่ถามว่า “นี่คือตัวเลือกที่องค์ชายสามต้องเลือกหรือ”
ทหารรับจ้างคิดว่าในเวลานี้เขาควรเงียบไว้คงดีกว่า
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับทำเพียงยิ้มออกมา แล้วเอ่ยราวกับเยาะเย้ยว่า “มีผู้หญิงทุกแบบให้เลือกสรรทีเดียวนี่ เจ้าเอาภาพเหมือนพวกนี้กลับไปคืนเถอะ ข้าว่าคงมีคนจำเป็นต้องใช้มันในงานเลี้ยงน้ำชาบ่ายนี้”
ทหารรับจ้างลดสายตาลง แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “คุณหนูใหญ่ สำหรับท่านแล้ว ภาพเหมือนพวกนี้ก็…”
“เอากลับไปเถอะ” รอยยิ้มของเฮ่อเหลียนเวยเวยไม่สั่นคลอนเลยแม้แต่น้อย นางเล่นกับสตรอว์เบอร์รีในมือพลางพึมพำกับตัวเองว่า “ข้าล่ะสงสัยนักว่าหลังจากนี้ตอนที่อยู่ในท้องพระโรง เสนาบดีพวกนี้จะพูดอะไร”
ทหารรับจ้างเพียงรับคำสั้นๆ ว่า “ขอรับ” จากนั้นเขาก็หายตัวไปจากตำหนักจิ่วฉงในเวลาเพียงพริบตาเดียว
หลังจากที่เขาจากไป เฮ่อเหลียนเวยเวยก็รู้สึกได้ถึงความตื่นเต้นที่แล่นพล่านไปทั่วเส้นเลือด นางเพิ่งตระหนักได้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก็ตอนที่ลูบท้องตัวเองนั่นเอง
ลูกดิ้นหรือ
มันจะไม่เร็วไปหน่อยหรือ
เขาน่าจะขยับตัวได้หลังจากนางท้องโตแล้วมิใช่หรือ
ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ล่ะ
ขณะที่นางกำลังจมสู่ภวังค์ความคิดนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยก็รู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวที่ฝ่ามืออีกครั้ง เด็กคนนี้ดูมีชีวิตชีวามากและ… กำลังชอบใจอยู่หรือ?
ก่อนหน้านี้นางกำลังวางแผนการจัดการกับคนพวกนั้นอยู่
แต่เด็กคนนี้กลับดูชอบใจกับเรื่องนั้น… นิสัยของเขาดูจะไม่เหมือนใครเอาเสียเลย…
“เด็กดื้อ” เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดด้วยรอยยิ้มแล้วลูบท้องตัวเอง
ทารกน้อยในท้องของนางขยับตัวเล็กน้อยเหมือนตอบนาง
ดูเหมือนเจ้าเองก็คงชอบแกล้งคนอื่นเหมือนกันล่ะสิ
เฮ่อเหลียนเวยเวยอดนึกภาพเด็กตัวเล็กๆ วิ่งไล่แกล้งคนไปทั่ววังหลวงขึ้นมาไม่ได้ ทุกคนต่างหวาดกลัวกันจนตัวสั่น แต่เด็กคนนี้กลับหัวเราะให้พวกเขาอย่างซุกซน
แม้การก่อเรื่องให้คนอื่นจะเป็นการกระทำที่ผิด แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ยังรู้สึกว่าลูกของนางน่ารักน่าชังยิ่งนัก
แต่นางเป็นห่วงเรื่องวิธีดูแลลูกขององค์ชายมากกว่า นางกลัวว่าเขาจะจับลูกของนางโยนออกไปถ้าเขารู้ถึงนิสัยซุกซนของเด็กคนนี้เข้า
ทารกน้อยดิ้นเบาๆ อยู่ในท้องของนางราวกับอ่านใจของเฮ่อเหลียนเวยเวยได้
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มออกมาอีกครั้ง แล้ววางสตรอว์เบอร์รีในมือลงอย่างเกียจคร้าน พร้อมเอ่ยว่า “ไม่เป็นไรหรอก เราไปหาท่านพ่อของเจ้ากันดีกว่า ตอนนี้พวกเขาน่าจะเข้ามาถึงท้องพระโรงแล้วกระมัง…”
เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดพร้อมกับเดินออกจากห้อง นางกำนัลยืนรอนางอยู่ข้างนอกแล้ว บ้างก็ถือเตาอังมือให้ความอบอุ่น บ้างก็ถือเสื้อคลุมรอนาง
องค์ชายสั่งให้พวกนางเตรียมพร้อมอยู่เสมอเวลาที่พระชายาต้องการเสด็จออกไปข้างนอก
เจ้าเจ็ดยังคาบซาลาเปาไส้เนื้อไว้ในปาก วันนี้เด็กชายแต่งตัวดูดีอย่างยิ่ง เขาอยู่ในชุดเครื่องแบบสำหรับขี่ม้าสีดำ ประดับหยกที่ข้อมือ ใบหน้าเล็กๆ อันหล่อเหลานั้นดูเย็นชาและเต็มไปด้วยพลัง ยิ่งเมื่อได้เฮ่อเหลียนเวยเวยมาเป็นคนจูงมือ เขาก็ยิ่งดูน่ามองขึ้นไปอีก
พิธีถวายบังคมจากบรรดาขุนนางค่อนข้างใช้เวลา ดังนั้นคนในวังหลังจึงมารวมกันที่ท้องพระโรงเพื่อรอให้อดีตฮ่องเต้และคนอื่นๆ เดินจากประตูเซวียนอู่มาที่นี่
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยืนอยู่ทางด้านซ้ายของอดีตฮ่องเต้ เขาดูไม่มีอาการเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางเลยแม้แต่นิดเดียว แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เขากลับยังคงดูงดงามราวกับหยก เพียงแค่เงยหน้าขึ้น ความสง่างามและความน่าเกรงขามของเขาพลันปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัด
ทันทีที่เฮ่อเหลียนเวยเวยมาถึง นางก็สบตากับองค์ชายโดยไม่ทันตั้งตัว นางรีบส่งยิ้มให้เขาทันที
เจ้าเจ็ดพองลมที่แก้มแล้วตะโกนออกมาว่า “พี่สาม เสด็จปู่”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตอบรับเขาอย่างเย็นชา เขาจับมือเฮ่อเหลียนเวยเวยไว้โดยไม่สนใจบรรดาเสนาบดีที่อยู่รอบๆ จากนั้นคิ้วงดงามได้รูปของเขาก็ขมวดเข้าหากันระหว่างถามว่า “ทำไมมือเจ้าถึงเย็นนัก”
“เย็นหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่รู้สึกหนาวแต่อย่างใด นางยื่นมือออกไปดึงแขนเสื้อขององค์ชายแล้วพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะว่า “ข้ามีอะไรจะบอกท่าน”