ให้ค่าครองชีพหลักพันต่อเดือนกับเขา ตลอดสามปีมานี้หากเขาไม่ใช้มันเลยสักบาท ก็ไม่น่าจะมีเป็นล้านได้
เซียวหยางยกยิ้มแล้วพูดว่า“ แค่เงินหนึ่งล้าน สำหรับผมแล้วมันก็ไม่เท่าไรหรอก ผมยังมีธนาคารเอกชนแห่งหนึ่ง ที่มีเงินทุนรวมแสนล้านต่อปี และมีไว้ลงทุนให้กับบริษัทสตาร์ทอัพใหม่ๆ”
เย่หยุนซูนิ่งอึ้งไป จากนั้นก็กลอกตาไปมา“ ทุกครั้งที่ฉันถามคุณ คุณก็เอาแต่คุยโม้กับฉัน คุณคิดว่าฉันจะเชื่อคุณเหรอ ? ”
เซียวหยางพูดไม่ออก ที่เขาพูดนั้นมันเรื่องจริงทั้งนั้น คุณภรรยาไม่เชื่อเขา เขาดูเหมือนคนไม่เอาไหนขนาดนั้นเลยเชียวเหรอ ?
เมื่อเย่หยุนซูเห็นเซียวหยางไม่พูดอะไร ก็คิดไปว่าเขาคงรู้ว่าเธอรู้แกวเขาหมดแล้ว จึงทำให้ชายหนุ่มรู้สึกอับอาย จากนั้นจึงได้พูดขึ้นว่า
“แต่ของขวัญที่คุณให้ ฉันชอบมันมาก ขอบคุณนะ นี่คงเป็นของขวัญที่ราคาแพงที่สุดที่คุณเคยให้ฉันมาเลยล่ะ”
ตลอดสามปีมานี้ เซียวหยางไม่เคยให้ของขวัญเป็นชิ้นเป็นอันกับเย่หยุนซูมาก่อน นี่ถือเป็นครั้งแรก และมันก็เป็นของที่มีราคาแพงที่สุดอีกด้วย
เมื่อเห็นเย่หยุนซูยิ้มออกมา เซียวหยางก็ยิ้มตามไปด้วย ในที่สุดก็กล่อมภรรยาสำเร็จ
กลับมาถึงบ้าน เย่หยุนซูก็เอาแต่ขังตัวเองอยู่ในห้อง และเริ่มสะสางงานต่างๆ
เย่หยุนซูในฐานะประธานบริษัท แม้จะพักผ่อนอยู่บ้าน แต่สำหรับเธอแล้ว เป็นเพียงการย้ายที่ทำงานเท่านั้น
ในช่วงบ่ายเซียวหยางไม่มีธุระอะไร เวลาทำอาหารเย็นก็ยังอีกนาน จู่ๆก็คิดถึงจูเจียนเฉียงขึ้นมา
เจ้าจูเจียนเฉียงคนนี้เมื่อวานได้ส่งข้อความหาเขา บอกว่าช่วงนี้ไม่เข้าบริษัท การฝึกอบรมก็ขอหยุดพักชั่วคราวไปก่อน
เซียวหยางไม่ได้ถามว่าเพราะอะไร เพราะเขาสัมผัสได้จากตัวอักษร เจ้าเด็กคนนี้คงเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่นอน
ในขณะขับรถ ขับไปตามที่อยู่ที่ฝ่ายบุคคลให้มา เซียวหยางก็มาถึงที่คอนโดแฮปพี่ของเมืองหยินโจว
มันเป็นชุมชนเก่าแก่ ตามผนังมีจุดด่างดำ และไม่มีการจัดการจากส่วนกลาง อาคารบ้านเรือนราวก่อสร้างมาตั้งแต่สมัยร้อยปีก่อน
สภาพแวดล้อมแบบนี้ เซียวหยางไม่ได้รู้สึกประหลาดใจนัก เพราะเขารู้อยู่ก่อนแล้วว่าฐานะทางครอบครัวของจูเจียนเฉียงนั้นไม่ค่อยดีเท่าไร
เมื่อขึ้นบันไดไป ก็ได้กลิ่นของขยะ ทางเดินแคบมาก ไม่มีลิฟต์ เซียวหยางมาถึงบ้านที่อยู่ชั้นห้า ตรวจเช็กเลขที่บ้าน จากนั้นก็เคาะประตู
เคาะไปสองที ภายในห้องก็มีเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น
“ใคร?”
“ฉันเอง เซียวหยาง”
เมื่อได้ยินคำขานรับจากเซียวหยาง ในห้องก็เงียบไปชั่วขณะ จากนั้นก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น หลังจากที่เปิดประตู จูเจียนเฉียงยืนอยู่หลังประตูของห้อง
เจ้าเด็กคนนี้สวมใส่กางเกงชายหาด และเสื้อแขนกุดสีขาว ไม่มีเค้าความฮึกเหิมในการทำงาน จูเจียนเฉียงในตอนนี้ ถุงใต้ตาบวม ใบหน้าดูซีดเซียว ราวกับไม่ใช่คนเดียวกัน
ดวงตาของเซียวหยางหรี่ตา และไม่ได้พูดอะไร ตบไปที่ไหล่ของชายหนุ่มแล้วพูดว่า“เข้าไปก่อนแล้วเราค่อยคุยกัน”
จูเจียนเฉียงเองก็ไม่คิดว่าจู่ๆเซียวหยางจะโผล่มา เซียวหยางเป็นไอดอลในสายตาเขา ราวกับเป็นเทพยังไงยังงั้น
โดยเฉพาะในตอนที่เซียวหยางตบไหล่เขาไปสองทีนั้น เกือบทำเขาร้องไห้ออกมา นี่คือความห่วงใยของอาจารย์ที่มีต่อลูกศิษย์ แม้จะไม่ได้พูดอะไร แค่มองก็ทำให้เข้าใจได้ทุกอย่าง
บ้านของจูเจียนเฉียงนั้นเล็กมาก ราวๆห้าสิบตารางเมตรได้ ห้องครัว ห้องน้ำ และห้องนอนเล็กอีกสองห้อง ทำให้ห้องรับแขกเหลือเพียงพื้นที่เล็กๆเท่านั้น
ภายในของแต่งบ้านเต็มไปด้วยยุคสมัยเก่า ตู้เย็นแบบเก่า ที่ส่งเสียงดังหึ่งๆออกมา
จูเจียนเฉียงพาเซียวหยางมาที่ห้องของตัวเอง เช็ดน้ำตาในระหว่างที่หันหลังให้เซียวหยาง จากนั้นก็หันกลับมา ยิ้มแล้วพูดกับห้องว่า
“พ่อครับแม่ครับ เพื่อนที่ทำงานมาหาผม เขาคือคนที่ผมเคยพูดถึงเซียวหยาง พี่หยาง ”
“เซียวหยางเหรอ ลูกชายฉันพูดถึงคุณบ่อยๆ ไป รีบไปเอาน้ำมา ”
“อย่ายืนอยู่เลย รีบนั่งลงเถอะ ”
ภายในห้องมีเสียงเหมือนคนอ่อนแรงดังออกมา เซียวหยางมองเข้าไปภายในห้อง ก็เห็นบนเตียงมีคนคนหนึ่ง เป็นชายอายุราวๆห้าสิบ ผมหงอกขาว ดูแก่กว่าอายุจริงสิบปีเห็นจะได้
รูปร่างผ่ายผอม ผิวคล้ำดำ ดูก็รู้ว่านี่คือผิวหนังที่เกิดจากการทำงานหนักใต้ดวงอาทิตย์ และที่ทำให้เซียวหยางประหลาดมากกว่านั้นก็คือ ขาของเขาห้อยอยู่บนเตียง บวมเป่งเท่าหัวคนได้
และแม่ของจูเจียนเฉียง ก็นอนอยู่บนเตียงเช่นกัน หดตัวเป็นก้อนกลม ราวกับคนที่หนาว แต่ตอนนี้มันฤดูร้อน ดูแล้วร่างกายของแม่จูเจียนเฉียงก็คงจะไม่ได้แข็งแรงเช่นกัน
ทั้งสองเอ่ยทักทายกับเซียวหยางอย่างอ่อนแรง เซียวหยางมองออกว่า พวกเขาไม่ได้เกียจคร้าน และพวกเขาก็พยายามเต็มที่แล้ว พวกเขาเองก็แทบจะลุกขึ้นไม่ไหวเลยด้วยซ้ำ
“คุณป้า คุณลุง ไม่ต้องเกรงใจครับ ”
เซียวหยางจิตใจหวั่นไหวเล็กน้อย พูดขึ้นมาว่า“ ผมมาที่นี่เพื่อนำเงินโบนัสมาให้กับจูเจียนเฉียงครับ”
เงินโบนัส ?
จูเจียนเฉียงก็นิ่งอึ้งไป เขาจำไม่ได้ว่าตัวเองมีเงินโบนัสอะไรที่ไหนกัน
“อาจารย์ โบนัสอะไรครับ ทำไมผมไม่รู้เลย ”
เซียวหยางยกยิ้ม “สองวันก่อนที่เราไปเก็บเงินล้านหนึ่งที่ภาคใต้เมืองไง นั่นเป็นหนี้เสีย พวกเราเก็บเอามาได้ ก็ต้องมีโบนัสอยู่แล้ว”
จูเจียนเฉียงครุ่นคิด จากนั้นก็นึกขึ้นมาได้ทันที หากพูดแบบนี้มันก็สมเหตุสมผลอยู่
พูดจบ เซียวหยางก็ล้วงกระเป๋า หยิบเอาเงินห้าหมื่นหยวนออกมา และยื่นไปให้กับจูเจียนเฉียง
“อาจารย์ เงินมากมายเหล่านี้ ตอนที่อยู่ภาคใต้เมืองล้วนแต่เป็นความดีความชอบของอาจารย์ ผม……”
จูเจียนเฉียงรู้สึกละอายไม่อยากจะรับเอาไว้ จึงได้รีบปฏิเสธไปทันที เซียวหยางออกแรง จากนั้นก็ขยิบตาให้จูเจียนเฉียง แล้วพูดว่า“จูเจียนเฉียง ให้คุณลุงกับคุณป้าพักผ่อน เราออกไปคุยกันข้างนอกเถอะ”
พูดจบ ก็หันไปยิ้มให้พ่อแม่ของจูเจียนเฉียง จากนั้นก็พาจูเจียนเฉียงไปอีกห้องหนึ่ง
“อาจารย์ พูดความจริงมา เงินนี้เป็นเงินของคุณเองใช่ไหม ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าทวงนี้ได้แล้วจะมีโบนัส”น้ำเสียงจูเจียนเฉียงทุ้มต่ำ และแหบแห้งเล็กน้อย
ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะร้อนเงิน แต่หากไม่ใช่เงินของเขา เขาก็ไม่มีทางรับมันไว้แน่นอน นี่เป็นความดื้อรั้นที่ฝังอยู่ในกระดูกของเขา
“ฉันบอกว่ามันเป็นโบนัสก็คือโบนัส ฉันจะโกหกนายทำไม อีกอย่าง เงินนี้ก็ให้ลุงกับป้า เป็นน้ำใจเล็กๆน้อยๆของฉัน”
“ลูกผู้ชายอย่างนายก็อย่าปฏิเสธอีกเลย ทำเหมือนเป็นผู้หญิงไปได้”
จูเจียนเฉียงถอนหายใจยาว มองไปที่เซียวหยางอย่างซาบซึ้ง“ขอบคุณครับ อาจารย์ ”
เซียวหยางโบกมือ “ไหนพูดมาสิ เรื่องราวเป็นมายังไง ?”
สีหน้าของจูเจียนเฉียงแสดงออกถึงความลำบากใจ แต่เมื่อเห็นแววตาที่เคร่งขรึมของเซียวหยาง เขาจึงได้บอกเล่าเรื่องราวต้นสายปลายเหตุให้ฟัง
พ่อแม่ของจูเจียนเฉียงไม่มีงานทำเป็นหลักแหล่ง แม่ของเขาสุขภาพไม่ดี เจ็บออดๆแอดๆอยู่ตลอดเวลา ทั้งหมดจึงต้องอาศัยน้ำพักน้ำแรงของคนเป็นพ่อเพียงคนเดียวที่หาเลี้ยงครอบครัว
สองวันก่อน ในระหว่างทางกลับบ้าน เจอพวกอันธพาลสองสามคนเรียกเก็บค่าคุ้มครอง ลุงไม่ให้ สุดท้ายก็ถูกทำร้ายจนขาหัก
ที่บ้านไม่มีเงินพอให้ไปหาหมอ ได้แต่พักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน พ่อแม่อัมพาตอยู่บนเตียง จูเจียนเฉียงจึงได้ขอลาเพื่ออยู่บ้าน
หากไม่ใช่เพราะเซียวหยางมาที่นี่ในวันนี้ เขาก็เตรียมจะยื่นใบลาออกในอีกสองวันอยู่แล้ว
หลังจากที่ฟังจบ เซียวหยางก็ได้แต่ส่ายหัว ทุกครอบครัวล้วนมีความลำบากที่ต่างกัน เด็กหนุ่มอย่างจูเจียนเฉียงที่ปรกติไม่รู้ความอะไร ไม่คิดว่าจะเป็นเด็กที่กตัญญูถึงเพียงนี้
“ไป ไปดูขาของลุงกัน ”เซียวหยางตบไปที่จูเจียนเฉียงเบาๆ จากนั้นก็กลับไปยังห้องที่ออกมาเมื่อครู่
พ่อของจูเจียนเฉียงเมื่อเห็นเซียวหยางเดินเข้ามา เขาก็รีบลุกขึ้นนั่งเพื่อทักทาย
“คุณลุง อย่าเพิ่งขยับ เจ็บตรงนี้ใช่ไหมครับ ? ”
เซียวหยางไม่ได้นั่งลง แต่ตรงไปยังขาที่ได้รับบาดเจ็บ แล้วสัมผัสไปยังที่ที่บวมเป่ง
“ใช่ เดิมทีคิดว่าอีกสองสามวันก็น่าจะหาย แต่ขาก็กลับใช้งานไม่ได้ หนำซ้ำก็ยังอักเสบขึ้นเรื่อยๆ เฮ้อ!”
“คุณลุง ผ่อนคลายนะครับ ขาอย่าใช้แรงมากนัก เดี๋ยวผมจะช่วยดูให้นะครับ ”
เซียวหยางพูดราวกับไม่ใส่ใจมากนัก จากนั้นฝ่ามือเขาก็ลูบคลึงไปที่มือ แล้วจู่ๆก็หยุดลงที่ตำแหน่งหนึ่ง ออกแรงกด
ได้ยินเพียงเสียงกรึก
ที่กระดูกก็เกิดเสียงดังขึ้น