เย่หยุนซูอึ้งไปเล็กน้อย แล้วก็เอาหัวพิงกับหน้าอกของเซียวหยางโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็หลับตาลง
ไม่นาน ทั้งสองคนก็กลับมาถึงห้องพักที่โรงแรม
เย่หยุนซูอาบน้ำอุ่นอยู่ในห้องน้ำอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้อากาศด้านนอกนั้นร้อนมาก แต่เธอตัวเปียกไปทั้งตัว อีกทั้งถูกลมทะเลพัดอยู่ครึ่งค่อนวัน ถ้าไม่เป็นหวัดก็ถือว่าโชคดีแล้ว
ผ่านไปสิบห้านาที เย่หยุนซูสวมชุดคลุมอาบน้ำเดินออกมา บนโต๊ะหัวเตียง มีซุปขิงร้อน ๆ วางอยู่ถ้วยหนึ่ง
“ดื่มเถอะ ฉันวัดอุณหภูมิดูแล้ว กำลังดีเลย”
เย่หยุนซูยกถ้วยชาขึ้นมา แหงนคอขึ้นแล้วดื่มเข้าไปหนึ่งอึก รสชาติเผ็ดร้อน ทำให้เธอสำลักจนไออยู่หลายครั้ง
เซียวหยางค่อย ๆ ลูบหลังให้เธอ
“ระวังหน่อย อย่าให้สำลัก”
“ไปเอาซุปขิงมาจากไหน?”
“ฉันให้ห้องอาหารของโรงแรมทำน่ะ ถ้าพวกเขาไม่ทำ ฉันก็จะทุบโรงแรมของพวกเขาซะ!” เซียวหยางพูดอย่างจริงจัง
เย่หยุนซูยิ้มเล็กน้อย ในใจรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา
“ขอบคุณนายนะ ฉันไม่เป็นอะไรแล้ว”
เซียวหยางพยักหน้า แต่ในใจยังคงเป็นกังวล เดิมทีครั้งนี้อยากให้เย่หยุนซูออกมาผ่อนคลาย แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้เผชิญกับเรื่องอันตรายมากยิ่งขึ้น
เข่นฆ่านองเลือด ถูกจี้เรือสปีดโบ๊ท แล้วไหนจะระเบิดตอร์ปิโดอีก เซียวหยางเองไม่เท่าไหร่หรอก แต่เย่หยุนซูไม่เหมือนกัน ถ้าจิตอ่อนหน่อย แล้วไม่ตกใจจนสติแตกกระเจิงก็คงแปลกแล้วล่ะ
“ฉันไม่เป็นอะไรจริง ๆ ผ่านเรื่องมามากมายขนาดนี้ ก็ควรชินได้แล้วถูกไหม?” เย่หยุนซูยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวทั้งสองแถว รอยยิ้มนั้นสวยงามราวกับดอกไม้
เพียงแต่ว่า ทั้งหมดนี่กลับทำให้เซียวหยางรู้สึกปวดใจ
“ขอโทษนะ ที่ฉันดูแลเธอไม่ดี”
เย่หยุนซูแสร้งทำเป็นพูดอย่างไม่ใส่ใจ “ไม่เป็นไรหรอกน่า ถ้าไม่ผ่านเรื่องราวพวกนี้ แล้วเมื่อไหร่ฉันจะโตสักทีล่ะ จะให้ใช้ชีวิตอยู่ในผ้าอ้อมตลอดก็คงไม่ได้ใช่ไหมล่ะ?”
เซียวหยางทำตัวสดชื่นขึ้นแล้วฝืนยิ้มออกมา “เอาเถอะ เธอคงหิวแล้ว ฉันไปสั่งอาหารไว้กินนะ”
เซียวหยางโทรศัพท์ไปที่แผนกต้อนรับ ไม่นานก็มีพนักงานนำอาหารมาส่ง
ทั้งสองคนค่อย ๆ ทานอาหารกัน แต่เย่หยุนซูกลับทานไม่ค่อยลง ไม่ค่อยอยากอาหารสักเท่าไหร่
เธอวางตะเกียบลง มองดูเซียวหยาง แล้วพูดอย่างจริงจังว่า “เซียวหยาง ฉันมีคำถามอยากถามนาย”
เซียวหยางอึ้งเล็กน้อย ดูเหมือนจะรู้ว่าเธอต้องการถามอะไร
“จำเป็นต้องตอบเหรอ?”
“ไม่ต้อง แต่ฉันหวังว่าฉันจะได้รู้” เย่หยุนซูเอ่ยพูดอย่างเรียบ ๆ
“ก็ได้ เธอถามเถอะ” เซียวหยางวางตะเกียบลงเช่นกัน
“คนผิวขาวคนนั้นเป็นอะไรกับนาย?”
เย่หยุนซูมั่นใจว่า คนผิวขาวที่สวมชุดไม่เข้ากับสถานการณ์คนนั้น ต้องเป็นพวกเดียวกับเซียวหยางแน่นอน และคนผิวขาวคนนั้นก็เก่งมากด้วย เซียวหยางไปรู้จักคนแบบนั้นได้ยังไงกัน
“อ้อ เขาเป็นเพื่อนของฉัน” เซียวหยางแกล้งตอบด้วยท่าทางสบาย ๆ
“เพื่อนเหรอ? แต่ฉันได้ยินเขาเรียกนายว่านายท่าน” เย่หยุนซูขมวดคิ้วเรียวสวยนั่นแล้วพลางเอ่ยถาม
เซียวหยางลูบจมูกไปมา แล้วอธิบายพลางยิ้มแห้ง ๆ “เมื่อก่อนพวกเราสองคนพนันกัน ถ้าเขาแพ้ต้องเรียกฉันว่านายท่าน ต่อมาเขาแพ้ เลยเป็นแบบนี้แหละ”
“ใครเอาเรื่องไร้สาระแบบนี้มาพนันกัน นายจริงจังหรือเปล่าเนี่ย?”
เย่หยุนซูมองเซียวหยางด้วยความสงสัยเป็นอย่างมาก ที่จริงเธอไม่ค่อยรู้เรื่องอิทธิพลมืดของฝั่งยุโรปสักเท่าไหร่ ขอแค่ได้รู้สักนิด ด้วยความฉลาดของเธอก็สามารถเดาสถานะของเซียวหยางได้
“แน่นอน” เซียวหยางยิ้มกว้าง
“เอาเถอะ จะเชื่อนายสักครั้ง” เย่หยุนซูไม่ได้ถามต่อ ถึงแม้เธอรู้สึกว่าเซียวหยางมีอะไรปิดบังเธออยู่ แต่เธอก็ไม่คิดจะซักถามจนถึงที่สุด ไว้รอให้เขาอยากบอก เขาก็จะบอกเองแหละ
ตอนค่ำ เย่หยุนซูเข้าไปอยู่ในห้องน้ำตั้งนาน เหมือนจะชำระล้างเอาเรื่องร้ายที่ได้ประสบเมื่อตอนกลางวันออกไปให้หมด
เซียวหยางอยู่ด้านนอก ได้ยินเสียงอาบน้ำดังออกมาจากในห้องน้ำ ก็จินตนาการภาพเย่หยุนซูไม่สวมใส่เสื้อผ้าขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว จากนั้นไฟแห่งความชั่วร้ายก็ลุกโชนขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
หลังจากเย่หยุนซูอาบน้ำเสร็จ ก็ใส่ชุดนอน แล้วปล่อยให้เซียวหยางเข้ามาในห้อง
เซียวหยางนอนอยู่บนโซฟาที่อยู่ไม่ไกลนัก ห่างจากเตียงไซส์ใหญ่ของเย่หยุนซูไม่ถึงห้าเมตร
เย่หยุนซูมองเซียวหยางที่นอนอยู่บนโซฟาอย่างไม่สบายตัว ในใจก็รู้สึกทนไม่ได้ขึ้นมา
หมอนี่เสี่ยงชีวิตเพื่อปกป้องตัวเอง แต่ให้เขานอนบนโซฟา ดูจะไร้เหตุผลเกินไปหน่อยหรือเปล่า
เธอเคยพูดไว้ว่า ต้องเป็นผู้หญิงที่มีเหตุมีผล หรือว่าจะให้หมอนี่มานอนที่เตียงดี?
แต่ถ้าเกิดหมอนี่ใจกล้าคิดจะเอาเปรียบเธอขึ้นมาจะทำยังไง ตัวเองยังไม่พร้อม ถ้าเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นจริง ๆ ล่ะก็……
น่าจะไม่หรอกมั้ง สามปีแล้ว แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่เคยเรียกร้องอะไรที่มันเกินเลยกับตัวเองมาก่อน
แต่เมื่อย้อนกลับมาคิดดูอีกที เซียวหยางจองห้องเพียงห้องเดียวก็เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง แต่ตัวเองกลับระแวงในสิ่งที่เขาทำด้วยใจอย่างยากลำบาก
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เธอก็เอ่ยถามเสียงเบา ๆ ว่า “เซียวหยาง ที่โซฟา……หนาวไหม?”
เซียวหยางกำลังนั่งไขว่ห้าง นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนกลางวันอยู่ จู่ ๆ ได้ยินคำพูดของเย่หยุนซู ก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยขึ้นมา
อากาศร้อนจะตาย จะหนาวได้ยังไงล่ะ เลยตอบไปอย่างที่คิดว่า
“ไม่หนาวนะ ทำไมเหรอ?”
“อ๋อ ไม่มีอะไร นอนเถอะ!” เย่หยุนซูพลิกตัว หันหน้าไปอีกทาง ใบหน้ารูปงามนั้นร้อนผ่าวขึ้นมาเล็กน้อย หมอนี่สมองทึ่มจริง ๆ
ตอนนี้เซียวหยางถึงเพิ่งคิดได้ขึ้นมา อยู่ดี ๆ มาถามว่าตัวเองหนาวไหมทำไม หรือว่าอยากให้ตัวเองไปนอนบนเตียง?
เมื่อคิดได้อย่างนี้ เซียวหยางก็รู้สึกตื่นตัวขึ้นมาทันที เขาเลียริมฝีปากแล้วพูดว่า “เอ่อคือว่า……หยุนซู เมื่อกี้เธอพูดอะไรนะ พูดอีกรอบได้ไหม?”
“ไม่ได้ โอกาสมีแค่ครั้งเดียว นายไม่รู้จักรักษาไว้เอง เหอะ”
เซียวหยางตบหัวตัวเอง รู้สึกเสียดายมากถึงมากที่สุด
ไม่รู้ผ่านไปนานแค่ไหน ในห้องเริ่มเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง ได้ยินเพียงแค่เสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอของทั้งสองคน
หลังจากที่เซียวหยางรู้สึกได้ว่าเย่หยุนซูหลับไปแล้ว ก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นมา เดินไปที่ระเบียงคนเดียว
มองแสงพระจันทร์สีเงิน หยิบบุหรี่ออกมาหนึ่งมวน แล้วจุดบุหรี่สูบ
ทันใดนั้น มีเงาใครสักคน ปรากฏขึ้นอย่างเงียบ ๆ ที่ระเบียบ เหมือนเป็นแมวเจ้าเล่ห์ตัวหนึ่ง
“เป็นยังไงบ้าง หาคนรอดชีวิตเจอไหม?”
คนที่มาคือกาเบรียลนั่นเอง เมื่อกลางวันตอนที่เซียวหยางพาเย่หยุนซูกลับมาที่โรงแรม ด้วยความที่กลัวเธอจะตื่นตระหนก จึงอยู่ไม่ห่างเธอเลย
ส่วนเรื่องที่เหลือ เขาได้มอบหมายให้กาเบรียลไปจัดการต่อ
เมื่อย้อนกลับมาคิดถึงเรื่องนี้ ก็รู้ว่าต้องมีการวางแผนมาล่วงหน้าอย่างไม่ต้องสงสัยเลย มีการก่อการร้ายเกิดขึ้น ไม่ใช่กองกำลังเล็ก ๆ จะสามารถรับงานนี้ได้
ในส่วนคนรอดชีวิต ตอนที่เซียวหยางยืนอยู่บนเรือ ได้ส่อเค้าไว้แล้วว่าศัตรูทุกคนที่อยู่บนเรือต้องตายเท่านั้น
ถึงแม้เย่หยุนซูจะไม่เป็นอะไร แต่เซียวหยางก็ต้องรู้ให้ได้ว่าใครคือผู้บงการอยู่เบื้องหลังการลอบฆ่าครั้งนี้ ตกลงว่าใช่พวกเดียวกับที่ลอบฆ่าในอุโมงค์ใต้ดินคราวก่อนหรือเปล่า
การลอบฆ่าครั้งนี้ เป็นองค์กรที่อยู่ในเงามืด ครั้งที่สองและครั้งที่สาม คนที่ลอบฆ่ายังคงเป็นปริศนาอยู่
ผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังยังไม่ถูกเปิดโปง เซียวหยางก็กังวลใจกินไม่ได้นอนไม่หลับ
ตอนนี้คนที่อยากได้ P—one จากเย่หยุนซู มีมากมายไปหมด เซียวหยางจำเป็นต้องหาแต่ละคนออกมาให้ได้ แล้วกำจัดทิ้งไปทีละคน!
เหมือนอย่างเรื่องวันนี้ เซียวหยางไม่อยากให้เย่หยุนซูต้องเผชิญเรื่องนี้อีกเป็นครั้งที่สอง!
สีหน้าของกาเบรียล ภายใต้แสงจันทร์ดูเลือดเย็นและแปลกมาก
“เจอคนรอดชีวิตคนหนึ่ง”
“หืม? ถามได้ความว่าไงบ้าง ผู้บงการอยู่เบื้องหลังคือใคร?”
ศัตรูตกอยู่ในเงื้อมมือของกาเบรียล ต้องสารภาพออกมาแน่นอน เซียวหยางรู้ถึงวิธีการของเจ้าหมอนี่ดี
กาเบรียลฝืนยิ้มออกมา “ไอ้คนนั้นกำลังจะพูด ก็ตายไปก่อน”
“ตายแล้ว?” เซียวหยางขมวดคิ้ว
“ใช่แล้ว แต่ก่อนตาย มันพูดออกมาคำหนึ่ง ถัง!”