บทส่งท้าย 30 เป่าผู้นำโชครักษาแดนมหัศจรรย์
ทันทีที่คิดได้เช่นนี้ หรงซีอยากจะแอบหนีไปนอนที่อื่นเงียบๆ ก่อนค่อยว่ากัน ไม่แน่ว่าหลังจากหลับไปหนึ่งตื่นทุกอย่างก็จะปกติดี ถึงอย่างไรผีผีก็ขี้ลืม ทว่าเขาเพิ่งจะคิดเช่นนี้ยังไม่ทันเริ่มทำอะไร ท่านพ่อของเขาก็จับคอเสื้อด้านหลังของเขาไว้ “คิดจะไปไหนรึ”
“เปล่าขอรับ” หรงซีไม่ยอมรับความคิดในใจของตนเอง
หรงหวงหรี่ตาของเขาก่อนจะพาเจ้าหมอนี่ไปยังที่ที่เสียงโอดโอยดังขึ้น
หรงเจ๋อในครานี้ อันที่จริงเขากำลังถูกตี เขาถูกอวิ๋นจื่อซีตี
“เกิดอะไรขึ้นหรือ” หรงหวงที่ปรากฏตัวขึ้น หลังจากที่เขาทิ้งบุตรชายลงก็โอบภรรยาที่กำลังตีบุตรชายคนที่สองทันที “ทำไมตีด้วยตนเองเล่า เจ็บมือหรือไม่”
หรงเจ๋อ “…”
เขาต่างหากที่เป็นคนถูกตี
หรงเจ๋อที่พูดไม่ออกเจ็บไปทั้งตัว เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าหลานชายน้อยของเขากำลังเป่ามือให้ท่านแม่เขา จู่ๆ ก็ยิ่งรู้สึกจุก คนที่ควรถูกเป่าไม่ใช่เขาหรอกหรือ
“ฮู่ๆ…” หรงเยี่ยนน้อยที่กำลังเป่ามือให้ท่านย่าทวดอวิ๋นจื่อซียังพูดอย่างอ่อนโยนว่า “ไม่เจ็บ นะ…”
อวิ๋นจื่อซีที่เดิมทีโมโหมากถูกเด็กน้อยเป่าจนหัวใจอ่อนยวบ นางหายโกรธแล้ว “ใช่แล้ว ไม่เจ็บแล้ว เสี่ยวเป่าของเราน่ารักจริงๆ เลย” ขณะที่พูด นางยังอยากจะรับเสี่ยวเป่าเข้ามาโอ๋
น่าเสียดายหรงหวงที่กันนางไว้ไม่ปล่อยให้นางได้ตัวไป เขารวบตัวเด็กน้อยไว้แน่นกว่าเดิม ถามว่า “จะตีอีกหรือไม่”
“ช่างเถิด” อวิ๋นจื่อซีที่ยังคงอยากจะอุ้มเด็กน้อยพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “เจ้าปล่อยมือก่อน ให้ข้าอุ้มเสี่ยวเป่า”
“ข้ากำลังจะป้อนข้าวให้เสี่ยวเป่า” หรงหวงปฏิเสธอย่างมีเหตุมีผล ในขณะเดียวกันก็เปลี่ยนเรื่องพูดว่า “หากอยากจะตีอีก ข้าให้หลงตี้ช่วยเจ้าตี อย่าลงมือเองเลย ผีผีหยาบกร้าน เจ้าตีไปจะเจ็บมือเสียเปล่า”
“ท่านพ่อ” หรงเจ๋อรู้สึกว่าท่านพ่อใจดำเกินไปแล้ว “ให้อภัยข้าเถิด” หมัดของท่านลุงหลงตี้แข็งกว่าท่านแม่มาก แค่สองหมัดทำเขาสลบหนึ่งชั่วยามแน่นอน
“เรียกพ่อไปก็ไร้ประโยชน์” หรงหวงที่ถือโอกาสเดินมาข้างหน้าบุตรชายคนที่สองยื่นมือไปตบเขาทันที “ไปทำอะไรให้ท่านแม่เจ้าโกรธเล่า”
“ไม่ใช่ข้า…” หรงเจ๋อรู้สึกถูกปรักปรำ
ทันทีที่อวิ๋นจื่อซีเห็นเขาเป็นเช่นนี้ก็โมโห “ไม่ใช่เจ้าแล้วจะเป็นใคร”
หรงเจ๋อไม่กล้าพูด กลับคิดในใจว่าท่านแม่โมโหเพราะแอนนาโมโหจากไปแท้ๆ เขาก็แค่ถูกพาล
ทว่าหรงเจ๋อเองก็รู้ว่าต่อหน้าท่านพ่อใจดำ ไม่ว่าท่านแม่พูดอะไรล้วนถูกต้อง ในเมื่อท่านแม่บอกว่าคือเขา เช่นนั้นเขาจะอธิบายอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ อยู่เฉยๆ ดีกว่าจะได้ไม่ต้องถูกท่านพ่อเอาเรื่อง นั่นต่างหากเรียกว่าโศกนาฏกรรม
อวิ๋นจื่อซีเห็นว่าในที่สุดเขาก็อยู่นิ่งๆ แล้วจึงสงบอารมณ์ลงและฟ้องสามีว่า “เดิมทีข้าและแม่นางกำลังคุยกันอยู่ดีๆ พอเขาเข้ามาดันไปทำให้นางโมโห เดินหนีไปเลย”
“เช่นนั้นไว้ไปคุยใหม่ครั้งหน้า อย่าโมโหเลย” หรงหวงโอบภรรยาและเกลี้ยกล่อมนาง เขาไม่ได้สนใจเรื่องความรักของผีผีเท่าไรนัก “เรื่องดีๆ มักเต็มไปด้วยอุปสรรค”
อวิ๋นจื่อซีกลับถอนหายใจ “เกรงว่าจะไม่มีเรื่องดีๆ แล้ว ฟังน้ำเสียงของแอนนาแล้ว นางไม่ได้ชอบผีผีเลยแม้แต่น้อย”
“แอนนา น้อย?” เสี่ยวหรงเยี่ยนที่จู่ๆปริปากก็จับศีรษะของตนเอง “แอนนา น้อย เป็นอะไร ขอรับ”
อวิ๋นจื่อซีมองหลานชายน้อยผู้อ่อนโยน อารมณ์ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ นางตอบเหลนชายน้อยว่า “ท่านปู่น้อยของเจ้าอยากจะแต่งแอนนาเป็นภรรยา แต่แอนนาไม่ยินยอม”
“แต่ง?” เสี่ยวหรงเยี่ยนครุ่นคิดครู่หนึ่ง ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ไม่ ได้”
อวิ๋นจื่อซีชะงัก “ทำไมไม่ได้เล่า”
“แอนนา น้องสาว เป่า” เสี่ยวหรงเยี่ยนตอบอย่างจริงจัง น้องสาวของเป่าจะเป็นแต่งงานเป็นภรรยาของปู่น้อยได้อย่างไร คิดอย่างไรก็ไม่ได้
ครานี้อวิ๋นจื่อซีชะงักจริงๆ “แอนนาเป็นน้องสาวของเจ้า?” เป็นไปได้อย่างไร แม่นางคนนั้นเป็นอดีตศัตรูของหลานสะใภ้ ก่อนหน้านี้ยังเพิ่งสู้กับสัตว์ประหลาดด้วยกันมามิใช่หรือ
“ใช่” เสี่ยวหรงเยี่ยนตอบอย่างมั่นใจ “เรียกพี่เป่า ท่านปู่ น้อย ไม่ได้”
หรงเจ๋อที่ได้ยินถึงตรงนี้ตะลึงงัน “นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน แอนนาเป็นน้องสาวของเจ้าได้อย่างไร นางโตขนาดนี้ เจ้ายังเล็กขนาดนี้”
เห็นได้ชัดว่าเสี่ยวหรงเยี่ยนไม่ชอบฟังคำพูดนี้ เขาทำหน้ามุ่ยส่งเสียงเชอะ “╭(╯^╰)╮”
หรงหวงจึงเรียก “เจ้าสี่ ไปเรียกอี้เอ๋อร์มาถามให้รู้เรื่อง”
“ขอรับ” หรงซีรีบวิ่งไปหาหรงอี้ คิดในใจว่าเรื่องของตนเองก็จะได้ลืมๆ กันไป ผีผีและพ่อหนุ่มรูปงามนั่นก็คงจะไม่ได้รู้ในเร็วๆ นี้
น่าเสียดายที่เขาเพิ่งก้าวเท้าหน้าออกไป ท่านพ่อใจดำของเขาก็ทรยศเขาแล้ว “ที่เจ้าสองไม่ค่อยราบรื่นอาจจะเกี่ยวข้องกับเจ้าสี่ที่ไม่ได้ตอบสนองด่านเคราะห์ทันกาล”
“อะไรนะ” อวิ๋นจื่อซีไม่เข้าใจ
หรงเจ๋อเองก็เบิกตากว้างเขยิบเข้ามาใกล้ถามว่า “หมายความว่าอย่างไรหรือท่านพ่อ เหตุใดการสู่ขอของลูกจึงเกี่ยวข้องกับด่านเคราะห์ของจอมขี้เกียจ หรือว่าเขาผ่านด่านเคราะห์ไม่สำเร็จ ข้าจึงสู่ขอภรรยาไม่ได้”
“เป็นไปได้” หรงหวงไม่ได้พูดเล่น “เขาทำพลาด พวกเจ้าก็ต้องแบกรับด้วย”
หรงเจ๋อตะลึง “ทำไมเป็นเช่นนี้เล่า…”
“ใครบอกให้พวกเจ้าเป็นแฝดกันเล่า” อวิ๋นจื่อซีตอบอย่างไม่สบอารมณ์ นางถามสามีอีกว่า “เหตุใดเจ้าสี่จึงตอบสนองด่านเคราะห์ไม่ทันเล่า เจ้าไปแล้วไม่ใช่หรือ”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ หรงหวงก็อดนวดระหว่างคิ้วเบาๆ ไม่ได้ รู้สึกอธิบายยาก กลับจำเป็นต้องเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ภรรยาฟังอย่างละเอียด ยิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกปวดศีรษะ
“ดังนั้นด่านเคราะห์ครั้งต่อไป ความยากจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าไร” อวิ๋นจื่อซีเป็นห่วงเรื่องนี้ที่สุด
หรงหวงถอนหายใจ “ไม่ใช่แค่ความยากจะเพิ่มขึ้น แต่เขาอาจะพลาดโชคชะตาของตัวเขาเอง”
“…” อวิ๋นจื่อซีเงียบ นางรู้ว่าโอกาสหายไปไม่หวนกลับมา รู้ว่าครั้งนี้บุตรชายจอมขี้เกียจของนางคงจะขี้เกียจจนก่อเรื่องใหญ่แล้ว
“เรื่องนี้ข้าไม่ได้พูดต่อหน้าพวกท่านแม่” หรงหวงเอ่ย
อวิ๋นจื่อซีพยักหน้า รู้ว่าเขาไม่อยากให้คนเฒ่าคนแก่รู้สึกผิด ถึงอย่างไรที่เจ้าสี่ในตอนนั้นไม่ผ่านด่านเคราะห์ก็เพราะครอบครัวของฝ่ายแม่ของนาง ถึงแม้ว่า… ต้นเหตุที่แท้จริงคือบุตรชายจอมขี้เกียจหลับสนิท ไม่ได้ยินสารจากหวงหวงก็ตาม
เฮ้อ นี่มันเรื่องอะไรกัน?
อวิ๋นจื่อซีรู้สึกจุกพูดไม่ออก
หรงเจ๋อกระโดดขึ้นมา “ข้าก็ว่าแอนนาคุยกับท่านแม่อยู่ดีๆ เหตุใดข้าเข้าไปยังไม่ทันพูดอะไร นางก็เดินหนีไปเลย ที่แท้เป็นเพราะเจ้าสี่นี่เอง ดูซิข้าจะต่อยเขาหรือไม่”
เมื่อพูดจบ หรงเจ๋อก็หายตัวไปทันที เขาไปอัดน้องชายแล้ว
หรงหวงไม่ได้ห้าม เพราะนี่เป็นเรื่องที่เขาชอบดูชอบฟังอยู่แล้ว
อวิ๋นจื่อซีเองก็ขี้เกียจเข้าไปยุ่ง คิดว่าทั้งสองคนนี้สมควรถูกตี ปล่อยให้พวกเขาทะเลาะกันเอง นางโมโหจะตายอยู่แล้ว
“อ้ะ” เสี่ยวหรงเยี่ยนที่ถูกเมินเฉยประท้วงขึ้นมา “ข้าวข้าว?” บอกว่าจะป้อนข้าวให้เป่าไม่ใช่หรือ
หรงหวงลูบเหลนชายน้องน่ารักน่าชัง อารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อย เขายกถ้วยใบหนึ่งออกมา
ภาพเช่นนี้… เยี่ยนอวี๋ที่เพิ่งถูกหรงอี้พามา นางก็รู้ทันทีว่าที่สามีของนางสามารถ ‘เสก’ ข้าวถ้วยหนึ่งออกมาป้อนเด็กน้อยนั้นได้รับการถ่ายทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น
อวิ๋นจื่อซีที่เห็นหลานสะใภ้ก็เดินเข้าไปหานาง “เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ พักผ่อนเป็นอย่างไรบ้าง”
“…” เยี่ยนอวี๋ที่รู้สึกได้ว่าท่านย่ากำลังเย้าแหย่ตนเอง ใบหูของนางก็ร้อนผ่าว แม้ว่า… ตอนที่ร่วมเตียงกับสามี นางจะชอบเหมือนกันและไม่คิดว่ามีอะไรน่าเขินอาย แต่ว่าถึงอย่างไร… นั่นก็เป็นเรื่องส่วนตัว
อวิ๋นจื่อซีที่ดันไปเห็นใบหูที่แดงก่ำของหลานสะใภ้ยังซักไซ้อย่าง ‘ใจร้าย’ “เป็นอย่างไรจ๊ะ”
เยี่ยนอวี๋ทำได้เพียงจำใจตอบไปว่า “ก็… ดีเจ้าค่ะ”
หรงอี้ที่อยู่ข้างๆ ได้ยินดังนั้นขมวดคิ้ว ค่อยๆ ลิ้มรสคำว่า ‘ดี’ ในลำคอ แอบจดจำความรู้สึกของเจ้าปลาน้อยตัวนี้ไว้ คิดในใจว่าต้องมีสักวันทำให้นางพูดว่า ‘ดีมาก’ ให้ได้
ส่วนอวิ๋นจื่อซี นางก็มองสองสามีภรรยาคู่นี้เงียบๆ ลอบยิ้มมีความสุขในใจ จู่ๆ ก็รู้สึกโล่งใจอย่างประหลาด เหมือนกับได้เห็นเจ้าหมูน้อยสีขาวงดงามที่ตนเองเลี้ยงจนโต ในที่สุดก็เรียนรู้ที่จะหากินเอง
ตอนที่เยี่ยนอวี๋ยังไม่ออกจากการจำศีล อวิ๋นจื่อซีถามหรงอี้เกี่ยวกับเรื่องของเยี่ยนอวี๋มากมาย นางรู้ว่าพวกเขาเหมือนกับถูกบังคับให้แต่งงานเพราะฝ่ายหญิงมีครรภ์ อวิ๋นจื่อซีจึงรู้สึกกังวลเล็กน้อย แม้หลังจากที่เยี่ยนอวี๋ออกจากการจำศีลแล้ว นางเห็นทั้งสองอยู่ด้วยกันก็ดูหวานชื่นดี แต่นางยังคงวางใจไม่ลง
จะว่าอย่างไรดีเล่า เยี่ยนอวี๋ต่างจากนางและลูกสะใภ้ของนาง หลานสะใภ้ถือเป็นนักฝึกฌานประจำถิ่น การแสวงหาความสุขร่วมกันและความรักที่เท่าเทียมกันย่อมแตกต่างอย่างมากจากนางและลูกสะใภ้
อวิ๋นจื่อซีไม่กังวลเรื่องอื่น กังวลแค่เรื่องที่หลานสะใภ้อยู่กับหรงอี้เป็นเพราะเด็กน้อยที่ชื่อเสี่ยวเป่าคนนี้ ความรักเป็นเรื่องรอง แม้จะมีแต่ไม่ลึกซึ้งมากนัก กลัวว่าจะไม่สามารถอยู่ร่วมกันตลอดรอดฝั่งได้
ถึงครานั้น…
อวิ๋นจื่อซีไม่กล้าคิดมาก แต่ก็มักจะอดคิดถึงไม่ได้ แม้นางจะรู้ว่าลูกหลานย่อมมีบุญกรรมของตนเอง แต่ถึงอย่างไรก็เป็นหลานชายเสือดาวน้อยของตนเอง นางจะไม่กังวลได้อย่างไร
อวิ๋นจื่อซีดูออกว่า อี้เอ๋อร์ของพวกเขามีเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์อยู่ในดวงใจ หากว่าวันใดวันหนึ่ง หากว่าทั้งสอง ‘แยกทาง’ นางไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าอี้เอ๋อร์จะผ่านพ้นไปได้อย่างไร
กระทั่ง… เขาจะกลับไปสู่การทำลายล้างอย่างสมบูรณ์และนำมาซึ่งการทำลายตนเองหรือไม่
จนถึงบัดนี้ อวิ๋นจื่อซียังคงกังวล แม้นางจะดูออกว่าหลานสะใภ้ก็รักอี้เอ๋อร์ แต่นางยังคงรู้สึกกังวลอย่างบอกไม่ถูกอยู่ดี
อาจจะเป็นเพราะ… เพราะตามที่อี้เอ๋อร์เล่าให้ฟัง พวกเขาทั้งสองอยู่ด้วยกันได้อย่างราบรื่นเกินไป หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะหลานสะใภ้ดูสงวนท่าที แต่จริงๆ แล้วนางดูไม่ออกเลย
แต่ว่า… แม้จะมีข้อกังวลใจ อวิ๋นจื่อซีก็ไม่พูดอะไรมากกับหลานสะใภ้ และยิ่งไม่ต้องการให้หลานสะใภ้ให้สัญญาอะไรว่าจะรักอี้เอ๋อร์ตลอดไป
อวิ๋นจื่อซีหวังเพียงว่าความสัมพันธ์อันยืนยาวของพวกเขาจะมีพื้นฐานมาจากการดูแลเอาใจใส่ซึ่งกันและกันตลอดไป
…
อวิ๋นจื่อซีมีความคิดเช่นนี้แวบผ่าน นางไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า นางในบัดนี้เพียงแค่กอดหลานสะใภ้ผู้วิจิตรและงดงามไว้ ยิ้มพูดว่า “ดีก็ดีแล้ว”
เยี่ยนอวี๋หูร้องผ่าว กระทั่งใบหน้าก็เริ่มร้อนผ่าวแล้ว นางจึงคิดจะหาเด็กน้อยเพื่อแก้เขินดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
อวิ๋นจื่อซียิ้มเปลี่ยนเรื่องพูดว่า “ที่ข้าให้เจ้าสี่เรียกพวกเจ้ามา ที่จริงข้าอยากจะถามเรื่องเกี่ยวกับแอนนา ไม่รู้ว่าเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์รู้จักแอนนาดีหรือไม่”
เยี่ยนอวี๋ได้ยินดังนั้นก็โล่งอก ความร้อนผ่าวบนใบหน้าเริ่มหายไป สีหน้ากลับมาสงบงดงาม “นอกจากหลานแล้ว คงไม่มีใครในโลกนี้ที่เข้าใจแอนนาได้ดีกว่าหลานอีกแล้วเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็ดีเลย” อวิ๋นจื่อซีรีบถามเรื่อง ‘น้องสาว’ ที่เด็กน้อยพูดถึง
เยี่ยนอวี๋พูดไม่ออกบอกไม่ถูก แต่ก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง จากนั้นอวิ๋นจื่อซีก็ถามเรื่องเกี่ยวกับแอนนาอีกไม่น้อย ยิ่งถามก็ยิ่งรู้สึกปวดศีรษะและแอบคิดในใจว่าบุตรชายซุกซนนั่นคงเอาแอนนา ‘ปีศาจหญิง’ ไม่อยู่เป็นแน่
เยี่ยนอวี๋ยังไม่รู้จักอารองญาติคนใหม่ของนาง ได้แต่พูดตามสัญชาติญาณว่า “เป็นครั้งแรกที่หลานเห็นแอนนารู้สึกอึดอัดใจเช่นนั้น เมื่อก่อนแม้ว่าจะพ่ายแพ้ให้หลาน นางยังไม่เคยอึดอัดใจเช่นนี้เลย สำหรับแอนนาแล้ว ท่านอารองต้องมีอะไรพิเศษกว่าผู้อื่นแน่นอนเจ้าค่ะ”
“เช่นนี้หรือ” อวิ๋นจื่อซีเริ่มมีความหวัง “เช่นนั้นผีผีก็ยังมีความหวังสิ”
เยี่ยนอวี๋รู้สึกพูดยาก นางพูดได้เพียงว่า “แอนนาไปไหนมาไหนคนเดียวจนเคยชิน” เกรงว่าจะไม่ยินยอมง่ายๆ หากครานั้นไม่ใช่เพราะเด็กน้อย เยี่ยนอวี๋เองก็คงไม่ยอมก้มหัวให้ผู้ใดง่ายๆ แต่นางก็ดีใจมากที่ตนเองยอมรับตั้งแต่แรกและดีใจมากที่มีเด็กน้อยตั้งแต่แรก มิเช่นนั้น… คงไม่รู้ว่านางและสามีจะได้อยู่ดัวยกันเมื่อไร นางเองก็คงจะคลาดกับสามีนางนานกว่านี้ นั่นคงเป็นความเสียใจที่มิอาจชดเชยได้
หากเป็นไปได้ นางอยากรู้ถึงการมีอยู่ของสามีนางตั้งแต่ที่นางเริ่มก่อร่าง เช่นนั้นนางและเขาก็ไม่ต้องอยู่บนโลกใบนี้อย่างโดดเดี่ยวเนิ่นนานเช่นนี้
แม้พวกเขาในครานั้นอาจจะทำได้เพียงมองหากัน แต่เช่นนั้นก็ดีมากแล้ว
เมื่อคิดถึงตรงนี้… เยี่ยนอวี๋หันไปมองสามีของนางอย่างไม่รู้ตัว ส่วนหรงอี้ที่ถูกภรรยาและท่านย่าซีเมินเฉยจนจำใจต้องไปหาเด็กน้อย เขาก็เงยหน้าขึ้นอย่างรับรู้ได้ทันที
ดังนั้นทันทีที่เยี่ยนอวี๋ทอดสายตาออกไปก็สบเข้ากับดวงตาสีม่วงอร่ามที่คุ้นเคยคู่นั้น มันงดงามและลุ่มลึกราวกับว่าจักรวาลอันกว้างใหญ่ที่เกิดจากนางได้ห่อหุ้มนางและผสมผสานกับนาง
เมื่อสายตาสองคู่สบกัน เวลาหยุดนิ่ง ผู้คน เรื่องราวและสิ่งของอื่นๆ ราวกับไม่เคยมีอยู่ จนเมื่อ… เด็กน้อยวิ่งเตาะแตะเข้ามาข้างขาของเยี่ยนอวี๋และกอดขาเรียวยาวของนางไว้ เรียกเสียงเล็กเสียงน้อยว่า “แม่…”
เยี่ยนอวี๋จึงดึงสติกลับมาหลุบตามองลงไปและอุ้มเด็กน้อยน่ารักน่าชังที่อยู่ข้างขาขึ้นมา ก่อนจะจูบและถามว่า “เสี่ยวเป่ากินอิ่มแล้วหรือจ๊ะ”
“ขอรับ” เสี่ยวหรงเยี่ยนชมเชยอย่างมีความสุขว่า “ปู่ทวด หวง เก่ง ข้าวอร่อย…” อร่อยเหมือนข้าวที่ท่านพ่อรูปงามทำเลยขอรับ
เยี่ยนอวี๋เข้าใจความหมายของเด็กน้อย นางถามอวิ๋นจื่อซีที่อยู่ข้างกายว่า “ฝีมือทำอาหารของสามีเรียนรู้มาจากท่านปู่หวงหรือเจ้าคะ”
“ใช่จ้ะ” อวิ๋นจื่อซีพยักหน้าอมยิ้ม หัวใจของนางยิ้มตาม เพียงแค่ ‘สายตา’ ที่สบกันเมื่อครู่นี้ของสองสามีภรรยาคู่นี้ทำให้นางรู้สึกได้ว่าความกังวลของตนเองเกรงว่าคงจะคิดมากไปเอง
เมื่อคิดเช่นนี้ อวิ๋นจื่อซีก็สบายใจขึ้น นางพูดขึ้นอีกว่า “ประเดี๋ยวข้าให้หวงหวงแสดงฝีมือให้พวกเจ้าได้ชิมสักหน่อย ที่ข้ามีของวิเศษที่ดีกว่านี้อีกมากมายเลย รับรองว่าเจ้ากินไปแล้วลืมไม่ลงแน่ๆ”
ทันทีที่เอ่ยเสร็จ เยี่ยนอวี๋ยังไม่ทันตอบ เจ้าตัวน้อยก็พูดอย่างตื่นเต้นดีใจว่า “กิน อะ อะไร”โนเวลพีดีเอฟ
อวิ๋นจื่อซีหรี่ตามองเหลนชายน้อยด้วยสายตาลึกลับ พลังจิตของนางเข้าไปในแดนมหัศจรรย์อันงดงาม เตรียมจะหยิบของวิเศษออกมา ทว่า… นางยังไม่ทันหยิบออกมา
“เนะ”
เด็กน้อยกลับหายตัวไป
เขาหายไปต่อหน้าต่อตาเยี่ยนอวี๋? ทำให้เยี่ยนอวี๋ที่อ้อมอกว่างเปล่าตกตะลึง เพราะว่านางพบว่านางไม่สามารถสัมผัสได้เลยว่าเด็กน้อยอยู่ที่ไหน
นะ นี่มัน…
นิสัยหายตัวไปดื้อๆ แบบนี้ของเด็กน้อยกำเริบอีกแล้ว?