บทส่งท้าย 41 จอมขี้เกียจที่ถูกท่านพ่อใจดำกลั่นแกล้ง
หนานคัง
รัชศกเจี้ยนเยี่ยปีที่หก
แม่น้ำเปี้ยนสุ่ยไร้คลื่น พระราชวังหนานคังกลับปั่นป่วน เนื่องจากจักรพรรดิเจี้ยนอันกษัตริย์ของใต้หล้าหมดสติที่ประชุมยามเช้า ราชสำนักโกลาหล วังหลังสั่นคลอน
“ฝ่าบาทไร้โอรส หากเป็นอันใดไป ประชาชนจะวุ่นวาย” หลิวหงเยี่ยผู้เป็นพระอาจารย์ของจักรพรรดิร้อนรนจนเหงื่อแตก ภาพลักษณ์ที่มั่นคงอย่างคนมีปัญญาดังเช่นที่เคยเป็นไม่มีให้เห็นอีก
ซึ่งนี่ก็เป็นเรื่องปกติ ถึงอย่างไรจักรพรรดิคือบุคคลที่สำคัญที่สุด บัดนี้จักรพรรดิเจี้ยนอันท่านนี้พระชนมายุยังน้อย วังหลังยังไม่มีผู้ใดมีทายาท เมื่อเจอเหตุการณ์เช่นนี้…
หลิวหงเยี่ยไม่กล้าคิดต่อไป รู้ว่าข้างนอกหนานคังมีแคว้นเป่ยตี๋คอยจ้องตาเป็นมัน ข้างในมีผู้สำเร็จราชการแทนเข้าแทรกแซง ขุนนางศักดินาต่างๆ ก็ล้วนมีความคิดเป็นของตนเอง พูดได้ว่ามีศึกทั้งภายนอกและภายใน
ทันทีที่จักรพรรดิเจี้ยนอันผู้ปกครองอาณาจักรหมดสติไม่ฟื้น เหล่าขุนนางศักดินานำกองทัพเข้าเมืองหลวงด้วยความคิดกวาดล้างคนเลวข้างพระองค์ ล้มผู้สำเร็จราชการแทน ตั้งตนเป็นจักรพรรดิ แคว้นเป่ยตี๋จะฉวยโอกาสเคลื่อนตัวลงใต้ ถึงครานั้น…
“ฝ่าบาทจะต้องปลอดภัย” หลิวหงเยี่ยสวดภาวนาในใจไม่หยุด หวังเพียงว่าหนานคัง อาณาจักรที่เหลือเพียงน้อยนิดนี้จะเข้มแข็งอีกเล็กน้อย ขอให้หนานคังได้พักฟื้น
อาจจะเป็นเพราะหลิวหงเยี่ยสวดภาวนาด้วยความจริงใจ เทพที่ผ่านไปมาได้ยินเข้า ในที่สุดก็มีเสียงดังขึ้นจากในตำหนักเหวินเต๋อ “ฮ่องเต้ฟื้นแล้ว ฮ่องเต้ฟื้นแล้ว”
หลิวหงเยี่ยน้ำตาไหลพราก รู้สึกว่าในที่สุดความหนักอึ้งและความกังวลในใจลดน้อยลง
หลินเต๋อฟางผู้รับใช้ข้างกายจักรพรรดิเจี้ยนอันเดินออกมาเรียนเชิญ “อาจารย์หลิว ฝ่าบาทเชิญท่านเข้าเฝ้าขอรับ”
“ดี ดีๆ…” หลิวหงเยี่ยเช็ดน้ำตา รีบลุกขึ้นเดินตามหลินเต๋อฟางเข้าไปในตำหนักเหวินเต๋อ จากนั้นเหล่าขุนนางพากันอิจฉา บางคนนึกเสียดาย บางคนรู้สึกซับซ้อน เห็นได้ว่าความกังวลก่อนหน้านี้ของหลิวหงเยี่ยใช่ว่าจะไม่มีมูล
เหล่าขุนนางในราชสำนักล้วนมีความคิดของตนเอง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกองกำลังอื่นๆ
ราชวงศ์หนานคังในบัดนี้มีปัญหาทั้งภายนอกและภายใน วุ่นวายยิ่งนัก
นี่คือความทรงจำเกี่ยวกับราชวงศ์หนานคังที่หรงซีเรียบเรียงขึ้นได้หลังจากตื่น ทำให้เขารู้สึกปวดศีรษะมาก ปวดมากจริงๆโนเวลพีดีเอฟ
หรงซีคิดในใจว่า ท่านพ่อใจดำคงคิดว่าข้าขี้เกียจเกินไปจึงหาด่านเคราะห์ให้ข้าโดยเฉพาะสินะ เขาที่ยิ่งคิดยิ่งคิดว่าเป็นเช่นนี้ สีหน้าย่ำแย่สุดขีด…
หลิวหงเยี่ยเดินไปหาหรงซีในครานี้ เขาเห็นฝ่ายหลังมีสีหน้าย่ำแย่มาก คิดว่าจะแย่แล้วจึงคุกเข่าลงพื้นดัง ตุบ ทันที “ฝ่าบาท…” ท่านยังสิ้นพระชนม์มิได้ หากท่านจากไป อาณาจักรต้องตกอยู่ในความโกลาหล สงครามต้องบังเกิด ชีวิตมากมายจะถูกทำลาย
คำพูดที่เหลือ หลิวหงเยี่ยย่อมไม่กล้าพูดออกมา แม้เขาจะเป็นอาจารย์ของจักรพรรดิก็ไม่กล้า ‘สาปแช่ง’ จักรพรรดิอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ แต่หรงซี ‘ได้ยินแล้ว’ และยังรู้สึกมึนงงเนื่องจากเพิ่งเข้ามาในร่างของจักรพรรดิเจี้ยนอัน เขาจึงตอบกลับอย่างไม่สนใจนักว่า “วางใจเถิด เรายังไม่ตาย”
หลิวหงเยี่ยชะงัก “ฝ่าบาท?”
“อาจารย์หลิวลุกขึ้นเถิด” หรงซีส่งสายตาให้หลินเต๋อฟางพาหลิวหงเยี่ยไปนั่ง ส่วนเขาก็ถอนหายใจยาว มาผ่านด่านเคราะห์ในสถานที่เช่นนี้ จินตนาการได้เลยว่าต่อไปเขาจะยุ่งเพียงใด
มีจังหวะหนึ่ง… หรงซีอยากจะด่า ‘มารดามันเถอะ’ สมแล้วที่เป็นท่านพ่อใจดำ มักจะมีวิธีดีๆ สำหรับจัดการเขาเสมอ ครานี้หากเขาอยากจะผ่านด่านเคราะห์สำเร็จ เกรงว่าไม่ตายก็คงถูกถลกหนัง
หลิวหงเยี่ยที่นั่งลงและสงบสติอารมณ์ลงแล้วถามขึ้นอย่างระมัดระวังว่า “ฝ่าบาท ทรงรู้สึกอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ”
หลินเต๋อฟางเห็นฮ่องเต่ไม่มีทีท่าว่าจะตอบจึงตอบคำถามของอาจารย์หลิวเสียงเบาว่า “อาจารย์หลิวโปรดวางใจ หมอหลวงบอกว่าฝ่าบาทไม่เป็นอะไร เพียงแค่ช่วงนี้ทรงงานหนักเกินไป พักผ่อนสองสามวันก็หายขอรับ”
“…” หลิวหงเยี่ยคิดไม่ถึงว่านี่คือความจริง จู่ๆ ไม่รู้ว่าควรดีใจหรือดีใจ อดเช็ดน้ำตาอีกครั้งไม่ได้ “ฝ่าบาทไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หรงซีเห็นผู้เฒ่าสงบอารมณ์ลงแล้ว ยังรู้สึกว่าเขาสมควรแล้วที่เป็นขุนนางผู้ภักดีของอดีตจักรพรรดิผู้ล่วงลับไปแล้ว รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย “อาจารย์หลิวอย่าเป็นห่วงร่างกายของเราเลย สิ่งสำคัญในตอนนี้คือรักษาเสถียรภาพ เราจะพักผ่อนสองสามวัน รบกวนท่านด้วย”
“เป็นเรื่องสมควรพ่ะย่ะค่ะ” หลิวหงชวนถอนหายใจยาว ก่อนจะถามอย่างเป็นกังวลว่า “ในเมื่อต้องพักผ่อน ช่วงนี้ฝ่าบาทโปรดอย่าได้กังวลเรื่องงานเมือง กระหม่อมแม้จะชรา แต่แค่สองสามวันย่อมทนได้ ได้โปรดดูแลพระวรกายให้ดี อย่าหักโหมพ่ะย่ะค่ะ”
“อาจารย์หลิววางใจ เรารู้แล้ว” หรงซีพูดเสร็จยังแสดงความอบอุ่นให้หลิวหงเยี่ย เขาจะได้ทำงานหนักเพื่อตน
หลิวหงเยี่ยไม่รู้ว่าฮ่องเต้ตรงหน้าแก่นแท้ของเขาได้เปลี่ยนไปแล้ว ยังคิดว่าหลังจากฮ่องเต้สลบไปแล้วก็ดูมีน้ำใจต่อผู้ใต้บังคับบัญชามาก ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นใจ เลือดของเขาที่ใกล้จะเย็นลงกลับมาอุ่นอีกครั้ง
หรงซีเห็นเขากำลังจะไปปฏิบัติหน้าที่อย่างกระตือรือร้นจึงคิดว่าจะได้นอนพักเสียที ทว่านอกตำหนักกลับมีเสียงดังขึ้น ทำเอาเขาขมวดคิ้ว
หลินเต๋อฟางรีบออกไปอย่างรวดเร็ว ทว่าเขายังไม่ทันกลับมา บุรุษผู้สง่างามสวมชุดราชสำนักสีม่วงก็บุกเข้ามาในตำหนักเหวินเต๋อ มายังข้างหน้าหรงซี
ทันทีที่หลิวหงเยี่ยเห็นชายผู้นี้ไร้มารยาทเช่นนี้ก็ลุกขึ้นปรามว่า “หรงฉ่าน เจ้าบังอาจจริงๆ กล้าดีอย่างไรบุกเข้ามารบกวนฮ่องเต้เช่นนี้”
หรงฉ่าน เสด็จอาของหรงซี ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ มือกุมอำนาจทางการทหารของพระราชวังต้องห้าม กล่าวได้ว่าเป็นมือที่บีบคอของหรงซี ทำให้เขาหายใจลำบากตลอดเวลา
ยามนี้หรงฉ่านบุกเข้ามา เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เห็นฮ่องเต้หรงซีคนนี้ในสายตาเลยจริงๆ หลินเต๋อฟางวิ่งเหยาะๆ เข้ามา มองหรงซีด้วยสีหน้าลำบากใจ เขาทำอะไรไม่ได้และรู้สึกกังวลแทนฮ่องเต้ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ท่านนี้บังอาจจริงๆ
ที่ผ่านมาหรงซีทนให้ผู้สำเร็จราชการแทนที่มีอำนาจควบคุมตนเองคนนี้มาตลอด ทว่าบัดนี้…
“เสด็จอาช่างอาจหาญ คงกำลังคิดว่าเราตายหรือยัง ท่านจะได้ขึ้นครองราชย์สินะ” คำพูดของหรงซีไม่ได้รุนแรงนัก กระทั่งอ่อนโยนดุจสายน้ำ กลับทำเอาทุกคนในตำหนักเหงื่อตกจนเกือบจะคุกเข่าลงพื้น
หลินเต๋อฟางกลัวว่าผู้สำเร็จราชการแทนคนนี้จะอาจหาญหักหน้า หลิวหงเยี่ยกลัวมากว่าหรงฉ่านจะฉวยโอกาสปลงพระชนม์ฮ่องเต้ หรงฉ่านตัวเขาเองกลับคุกเข่าข้างหนึ่งลงพื้นหลังจากที่ชะงักไปครู่หนึ่ง พูดว่า “กระหม่อมมิบังอาจ”
แม้ปากจะพูดว่ามิบังอาจ แต่ดวงตาดั่งหงส์ฟ้าอันโฉบเฉี่ยวคู่นั้นของหรงฉ่านกลับจ้องหรงซีที่นอนอยู่บนตั่งเขม็ง ไม่เห็นว่าจะกลัวเลยแม้แต่น้อย
หรงซีพ่นหายใจเยือกเย็น “หากไม่ใช่เพราะอาจารย์หลิวเชิญชิงหลิวเฝ้าข้างนอกพระราชวัง เสด็จอาคงกล้าทำจริงๆ”
หลิวหงเยี่ยชะงักเล็กน้อย ไม่คิดว่าก่อนหน้านี้ที่ตนเรียกชิงหลิวมาอย่างเร่งด่วนเนื่องจากคำถึงถึงความปลอดภัยของฮ่องเต้ ฮ่องเต้จะรู้แล้ว?
แต่ฮ่องเต้เพิ่งฟื้น จะรู้ได้อย่างไร หรือว่าหลินเต๋อฟางทูลฮ่องเต้นะแล้วหลินเต๋อฟางรู้เรื่องนอกวังได้อย่างไร
หลิวหงเยี่ยเต็มไปด้วยความสงสัย แต่กลับเก็บไว้ในครานี้ ทว่าหรงซีที่ได้ยินคำในใจของเขากลับเหลือบมองเขาทีหนึ่ง จากนั้นก็มองไปที่ผู้สำเร็จราชการแทนด้วยดวงตาไร้แววต่อไป
ผู้สำเร็จราชการแทนที่เดิมทีไม่เห็นหรงซีอยู่ในสายตาขมวดคิ้วอย่างเห็นได้ชัด ยังคงตอบอย่างแข็งเกร็งว่า “กระหม่อมมิบังอาจ” ในใจกลับกำลังคิดว่า หลังจากที่จักรพรรดิน้อยท่านนี้หมดสติไปครั้งหนึ่ง เหตุใดจึงทำให้เขามองจักรพรรดิไม่ทะลุแล้วนะ
“ฮึ” หรงซียิ้มเบาๆ “ในเมื่อมิบังอาจก็ออกไปเองเถิด เราต้องพักผ่อน สองสามวันนี้คงต้องให้เสด็จอาช่วยเราจัดการกิจการบ้านเมือง”
“…ย่อมต้องเป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ” หรงฉ่านตอบ ขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม รู้สึกว่าฮ่องเต้คนนี้แปลกพิกล ไม่เหมือนกับเมื่อก่อนเลย
พูดตรงๆ หรงฉ่านอยากจะแทนที่เขาจริงๆ ถึงอย่างไรเขาก็คิดว่าตนเองมีความสามารถมากกว่าฮ่องเต้คนนี้ แล้วเหตุใดเขาต้องอยู่ใต้บังคับบัญชาเขาด้วยเล่า
ทว่าหรงฉ่านเองก็ไม่ได้เป็นคนที่มีเพียงความทะเยอทะยานแต่ไม่มีสมอง เขารู้ตัวดีว่า หากเขาไม่ได้ตำแหน่งฮ่องเต้มาโดยถูกหลักธรรมนองคลองธรรม พี่น้องในราชวงศ์จะก่อกบฏแน่นอน ซึ่งบัลลังก์ของเขาก็จะสั่นคลอน
ดังนั้นเมื่อครู่ที่เขาบุกเข้ามาก็แค่ต้องการยืนยันว่า ฮ่องเต้ของเขาท่านนี้ฟื้นแล้วจริงๆ หรือไม่ และไม่เป็นอะไรจริงๆหรือไม่ จะฉวยโอกาสขอพระราชโองการสละตำแหน่งได้หรือไม่
หากหรงซีอ่อนแอกว่านี้ หรงฉ่านคงจะเสนอให้สละบัลลังก์แล้ว ทว่า…
หลังจากหรงฉ่านออกจากตำหนักเหวินเต๋อ เขาก็ขมวดคิ้วแน่นตลอด ไม่เข้าใจว่าตนเองเตรียมตัวมาดีเช่นนี้ เหตุใดเมื่อเข้าไปแล้วกลับพูดอะไรไม่ออก
“ผู้สำเร็จราชการแทน…” ขุนนางภักดีของหรงฉ่านล้อมเข้ามาในบัดนี้ด้วยสีหน้าตั้งตารอ เห็นได้ชัดว่าเขารู้ว่าหรงฉ่านบุกเข้าไปตำหนักเหวินเต๋อเพื่ออะไร
น่าเสียดายหรงฉ่านส่ายศีรษะ “ฮ่องเต้ไม่เป็นอะไร แยกย้ายเถอะ”
“แต่ว่า…” ขุนนางใหญ่คนหนึ่งทำท่าจะพูดอะไรอีก
หลิวหงเยี่ยที่ออกมาจากตำหนักเหวินเต๋อกลับยิ้มหยัน “พระองค์ประชวรเล็กน้อย ผู้สำเร็จราชการแทนกลับรวมกลุ่มเพื่อประโยชน์ส่วนตัวหรือ?”
ทันทีที่คำพูดนี้ดังขึ้น ขุนนางชิงหลิวก็ก่นด่าอย่างโมโห “ผู้สำเร็จราชการแทน ท่านเป็นคนจิตใจอย่างไรกัน?”
“ยามนี้มีปัญหาทั้งภายในและภายนอก ผู้สำเร็จราชการแทนต้องการเป็นคนบาปชั่วนิรันดร์ สร้างความปั่นป่วนรึ”
“ผู้สำเร็จราชการแทน ท่านเองก็เป็นขุนนางผู้ภักดีที่ได้รับความไว้ใจจากอดีตฮ่องเต้ ไม่สมควรทำให้อดีตฮ่องเต้ผิดหวัง”
“…”
บ้างก่นด่า บ้างเกลี้ยกล่อม บ้างถึงกับทำท่าเหมือนกับว่าตราบใดที่ผู้สำเร็จราชการแทนเล่นตุกติก พวกเขาพร้อมปะทะข้างหน้าตำหนักเหวินเต๋อ
หรงฉ่านเห็นดังนั้นก็ปวดศีรษะ เข้าใจขุนนางที่ดื้อรั้นมาก รู้ว่าหากตนเองบังอาจบีบคั้นให้สละราชสมบัติในยามนี้ ขุนนางเหล่านี้คงยอมตายที่นี่จริงๆ
ถึงแม้ว่าเขาไม่สนใจคำพูดของคนเหล่านี้ แต่เมื่อใดก็ตามที่เขาต้องเหยียบเลือดของพวกเขาขึ้นครองราชย์ เขาจะต้องถูกเหล่านักปราชญ์ตราหน้า ไม่มีความสงบสุขเป็นแน่ พี่น้องวงศ์ตระกูลก็จะโจมตีเขาด้วยเหตุผลที่ถูกต้อง
ดังนั้นหรงฉ่านจำเป็นต้องอดทนไว้ “สามหาว ข้ารวมกลุ่มเพื่อผลประโยชน์ส่วนตนตั้งแต่เมื่อใดกัน ข้าแค่เป็นห่วงพระวรกายของพระองค์ มาถามไถ่แค่นั้น”
เหล่าสมุนภักดีที่ได้ยินหรงฉ่านพูดเช่นนี้ต่างก็สำทับว่า “ใช่แล้ว อาจารย์หลิวแม้ท่านจะเป็นอาจารย์ของจักรพรรดิ ก็ไม่ควรใส่ร้ายผู้สำเร็จราชการแทน”
“ใช่ พวกข้าก็แค่คำนึงถึงพระวรกายของท่าน แต่จะถามนักปราชญ์ผู้อวดรู้เช่นพวกเจ้าก็ไม่ได้ ได้แต่ถามผู้สำเร็จราชการแทน”
“เจ้านี่มัน… ว่าใครเป็นนักปราชญ์อวดรู้น่ะ”
“หมายถึงท่านน่ะ ใต้เท้าเฉิน”
“บัดซบ”
…
จู่ๆ ขุนนางสองฝ่ายก็ด่ากันข้างหน้าตำหนักเหวินเต๋อ ฉายภาพเดิมๆ ที่เกิดขึ้นทุกๆ เช้า ทำเอาหรงซีที่เพิ่งดื่มยาและเตรียมจะพักผ่อนโมโห เกือบจะชักดาบออกไปฆ่าคนแล้ว
โชคดีที่หลิวหงเยี่ยตวาดขึ้นก่อนว่า “เงียบ! ฮ่องเต้ต้องพักผ่อน ทะเลาะกันตรงนี้ ต้องการให้ฮ่องเต้ไม่ได้พักผ่อน ล้มป่วยอีกครั้งหรือ”
“มิบังอาจ!”
“มิบังอาจ!”
ไม่ว่าขุนนางทั้งสองฝ่ายคิดในใจอย่างไร แต่โทษหนักเช่นนี้ก็ไม่ควรทำจึงเงียบกันทันที
หลิวหงเยี่ยจึงพูดกับผู้สำเร็จราชการแทนว่า “ผู้สำเร็จราชการแทนโปรดตามข้าออกจากวัง เพื่อปลอบประโลมทุกคน เป็นอย่างไร”
แม้หรงฉ่านไม่ยินยอมเพียงใด กลับจำใจต้องพยักหน้า “เชิญ”
หลิวหงเยี่ยลอบถอนหายใจ เขาพาขุนนางทั้งฝ่ายบู๊และบุ๋นออกไปข้างนอกกับหรงฉ่านทันที
หรงซีได้ยินพวกเขาเงียบไปแล้ว ในที่สุดก็ถอนหายใจเตรียมพร้อมจะนอน หลินเต๋อฟางเองก็รับใช้ข้างกายอย่างรู้งาน ไม่ให้ทั้งในและนอกตำหนักมีเสียงรบกวนใดๆ
ทว่า… ในเมื่อหลินเต๋อฟางเป็นแค่คนรับใช้ สิ่งที่เขาทำได้นั้นก็มีน้อยมากจริงๆ
เหล่าสนมในวังหลังทยอยกันมาตำหนักเหวินเต๋อหลังจากที่หรงฉ่านและหลิวหงเยี่ยจากไปไม่นาน
นายหญิงบางคน หลินเต๋อฟางยังพอจะขวางไว้ได้ด้วยฐานะของเขา แต่เมื่อฮองเฮาเข้ามา หลินเต๋อฟางทำได้เพียงปลุกหรงซีให้ตื่นด้วยใบหน้าขมขื่น “ฝ่าบาท ฝ่าบาท…”
หรงซีที่เพิ่งนอนโมโหกับเสียงที่รบกวนเขา “ไสหัวไปซะ!”
หลินเต๋อฟางคุกเข่าทันที เขาจะร้องไห้แล้ว “ฝ่าบาท…”
ฮองเฮาเซี่ยนำคนเข้ามาในตำหนักแล้วและไม่รอให้หลินเต๋อฟางพูดอะไร นางก็นั่งลงข้างกายหรงซี และยังทำท่าจะพิงลงบนตัวของเขา
ครานี้เอง…
ตุบ
หรงซีที่อ่อนไหว เขาผลักฮองเฮาเซี่ยที่กำลังจะโถมเข้ามาหาตนเองออกทันที ฝ่ายหลังไม่ทันตั้งตัว นางถูกผลักลงจากตั่งและยังกลิ้งไปข้างหลังชนกับฉากกั้น
“เหนียงเหนียง!”
“เหนียงเหนียง!…”
คนของตำหนักคุนหนิงอุทาน
หรงซีลุกขึ้นนั่ง “หุบปาก!”
เสียงตวาดทรงอำนาจนี้ ทำให้คนตำหนักคุนหนิงสะดุ้งตกใจ พวกนางเงียบทันที
ส่วนฮองเฮาเซี่ย บัดนี้นางสลบไปแล้ว หน้าผากยังมีเลือดไหลไม่หยุด
หลินเต๋อฟางเห็นดังนั้นก็ตกใจ อยากจะเกลี้ยกล่อมฮ่องเต้แต่ก็ไม่กล้า ฝ่าบาทในยามนี้ทรงพลังมากจริงๆ ดูน่าเกรงขามยิ่งกว่าเวลาไหนๆ
ทว่าแม้หรงซีไม่พอใจ แต่ก็สั่งว่า “เรียกหมอหลวง”
“พ่ะย่ะค่ะ” หลินเต๋อฟางรีบเรียกหมอหลวง รู้สึกโล่งอก ถึงอย่างไรฮองเฮาเซี่ยท่านนี้ก็เป็นหลานพระชายาของผู้สำเร็จราชการแทน ตระกูลเซี่ยยังเป็นตระกูลใหญ่ที่มีอำนาจทางทหารตามแนวชายแดน
เฮ้อ
เมื่อหลินเต๋อฟางคิดถึงเบื้องหลังของฮองเฮาเซี่ยและตระกูลเซี่ยก็รู้สึกกังวลแทนฮ่องเต้ ฝ่าบาทลำบากแล้ว ลำบากจริงๆ น่าเสียดายที่เขาเป็นเพียงขันที ไม่สามารถช่วยฝ่าบาทได้มากนัก
หรงซีที่นอนไม่หลับ หลังจากที่หมอหลวงรักษาฮองเฮาเซี่ยเสร็จ เขาก็สั่งให้คนส่งฮองเฮาเซี่ยกลับไปยังตำหนักคุนหนิง ในขณะเดียวกันก็ให้หลินเต๋อฟางเรียกหวังกุ้ยเฟยมาดูแล
หลินเต๋อฟางประหลาดใจ “ฝ่าบาท?” เขาที่อยู่รับใช้ข้างกายฝ่าบาทมาโดยตลอดรู้ดีว่าฝ่าบาทไม่เคยสนใจนางสนมเลย ไม่เคยแม้แต่ย่างกรายเข้าไปในวังหลัง วันนี้กลับ… กลับเรียกกุ้ยเฟยมาเข้าเฝ้า
จู่ๆ หลินเต๋อฟางก็คิดว่าตนเองฟังผิดไป แต่เมื่อเขาเห็นดวงตามืดมนไร้คลื่นดูนิ่งขรึมนั่น เขาก็รู้ทันทีว่า เขาได้ยินถูกต้องแล้ว
“กระหม่อมจะไปเชิญหวังกุ้ยเฟยมาเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ” หลินเต๋อฟางปาดเหงื่อและจากไป จู่ๆ น้ำตาไหลพราก คิดว่าในที่สุดฝ่าบาทก็คิดได้แล้ว ในที่สุดก็รู้ว่าต้องใกล้ชิดนางสนม
หลินเต๋อฟางจึงไปเชิญหวังกุ้ยเฟยด้วยตนเอง หวังกุ้ยเฟยท่านนี้ที่ได้ยินราชโองการก็ทำหน้างุนงง และเริ่มก่นด่าในใจ ฮ่องเต้สุนัข
จนเมื่อเข้าไปในตำหนักเหวินเต๋อ หวังกุ้ยเฟยยังคงก่นด่าในใจไม่หยุด แต่เมื่อเห็นฮ่องเต้ผู้งดงามที่นั่งอยู่บนตั่งก็ตะลึงงัน คิดในใจว่า ฮ่องเต้สุนัขนี่ดูดีจังเลย