ในเวลาเดียวกัน
เยี่ยนชิงอยู่ในหอเจ้าสำนัก เขาได้ตัดสินใจครั้งสําคัญว่า “ทําลายโอสถแปรผันจะที่กลายร่างเป็นมนุษย์วานรหวาไหวทั้งหมด”
“ท่านพ่อ?” เยี่ยนจื่อเสาไม่เข้าใจ เพราะนั่นเป็นสถานที่อีกแห่งหนึ่งที่เขาสืบพบหลักฐานและรายงานความผิดต่อราชสำนักได้
แต่เยี่ยนชิงรู้สึกว่าคนที่พวกเขาส่งไปนั้นทำงานได้ราบรื่นเกินไป ดูเหมือนว่าพวกเขาไม่พบอุปสรรคใดๆ เลย และการสืบค้นแหล่งซ่องสุมที่มีโอสถแปรผันมนุษย์วานรหวาไหวนั่นได้มาอย่างง่ายดายเกินไป
จุดนี้ทําให้เยี่ยนชิงมีความเด็ดขาดมากขึ้น “ส่งไปทำลายเขตหวงห้ามทันที”
เยี่ยนจื่อเสาไม่ได้พูดอะไรมากอีก และองครักษ์ลับของชางอู๋ที่ได้รับคำสั่งก็เร้นกายหายไปทันที
“รายงาน” องครักษ์ที่เฝ้าอยู่นอกหอเจ้าสำนัก รายงานการมาถึงของพวกเฉาหมิงเฉิงและกู้หยวนเหิง
เยี่ยนชิงสะกดกลั้นโทสะ สั่งลูกชายคนรองว่า “เจ้าออกไปรอเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ที่นอกเขตหวงห้าม หากเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ยังไม่ออกมา เจ้าก็ยังไม่ต้องตามมาเช่นกัน”
“แต่…” เยี่ยนจื่อเสากังวลว่าบิดาจะถูกทำให้ลำบากใจ
เยี่ยนชิงกลับบอกไม่ให้เขาเป็นห่วง “ทําตามที่ข้าบอกเถิด”
“ขอรับ ลูกจะไปเดี๋ยวนี้” เยี่ยนจื่อเสาจึงต้องจากไป
ครั้นแล้วเยี่ยนชิงก็เดินออกจากหอเตรียมต้อนรับเฉาหมิงเฉิง แต่กลับพบว่าเม่ยเอ๋อร์จู่ๆ ก็ปรากฏตัวอย่างลึกลับอยู่ข้างๆ เขา? นี่มัน…
“เจ้ากลัวว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับข้าหรือ” เยี่ยนชิงถามด้วยน้ำเสียงพิกล
เม่ยเอ๋อร์พยักหน้าอย่างจริงจัง “คุณหนูใหญ่บอกว่า ระหว่างที่นางฝึกฌานอยู่ ให้ข้าน้อยติดตามท่านเจ้าค่ะ”
“เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์เอ๋ย…” เยี่ยนชิงซาบซึ้งใจ “นางรักข้ามากที่สุดแล้ว”
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่รักคุณชายน้อยมากกว่า” เม่ยเอ๋อร์แก้คำพูดให้
เยี่ยนชิงรู้สึกเหมือนมีมีดกรีดลงกลางใจ เจ็บปวดจนแทบกระอักเลือด จากนั้นเขาก็รีบเดินไปรับหน้าคนพวกนั้นโดยไม่พูดอะไรอีก จะได้ไม่ต้อง ‘โกรธ’ จนตายอยู่ตรงนี้
เมื่อเยี่ยนชิงมาถึงประตูสำนัก แต่กลับไม่เห็นผู้อาวุโสเก้าที่ควรจะปรากฏตัวก่อน ซึ่งทําให้เขาสงสัยมากขึ้น อย่างไรก็ตาม เขาทักทายเฉาหมิงเฉิงด้วยสีหน้าสุภาพ แต่กลับทำเหมือนไม่เห็นกู้หยวนเหิงอยู่ในสายตา
แน่นอนว่า หากไม่ใช่เพราะเฉาหมิงเฉิงอยู่ด้วย เยี่ยนชิงยินดีที่จะไล่ตีกู้หยวนเหิงมากกว่าที่จะทำเป็นมองไม่เห็นให้เขาสบายเช่นนี้
เฉาหมิงเฉิงเองก็ไม่ได้อยากเป็นเทพผู้สร้างสันติ “ท่านเจ้าสำนักเยี่ยน ไม่ทราบว่าบุตรสาวของท่านออกจากการฝึกฝนแล้วหรือยัง”
“ยัง แต่น่าจะอีกไม่นานแล้วกระมัง เชิญใต้เท้าเฉาเข้ามารอในสำนักข้าสักครู่เถิด” เยี่ยนชิงกล่าวอย่างมั่นใจ แม้ว่าเขาจะไม่มีความมั่นใจก็ตาม
ทว่าก่อนที่เฉาหมิงเฉิงจะรับคำ น้ำเสียงอันสำเริงสำราญของบุรุษผู้หนึ่งก็เอ่ยขึ้นก่อนว่า “ฮ่าๆ ดูเหมือนข้าจะมาได้จังหวะพอดี พวกเจ้าก็เพิ่งมาถึงเช่นกันสินะ”
“ซวงเสวียนจวิน” เฉาหมิงเฉิงหันหลังกลับอย่างไม่แปลกใจ
อินหลิวเฟิงปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับองครักษ์ชุดดำ “ใต้เท้าเฉา ไม่พบกันนานสบายดีหรือไม่”
“ก็ดี ดูเหมือนว่าซวงเสวียนจวินจะสู่ขอไม่สําเร็จ?” เฉาหมิงเฉิงถามด้วยรอยยิ้มและพูดว่า “หากซวงเสวียนจวินเพียงแค่พูดเล่นไม่จริงจัง ไม่ได้ต้องการสู่ขอจริงๆ ถ้าเช่นนั้นก็อย่ามารบกวนงานราชการของข้าเลย”
“โอ้! ใต้เท้าเฉา ใจร้อนเกินไปแล้ว อีกอย่างข้าก็ไม่ใช่องค์จักรพรรดิเสียหน่อย ที่นึกอยากจะแต่งกับใครก็แค่ชี้นิ้วสั่ง ข้ายังต้องถามความสมัครใจของแม่นางผู้นั้นเสียก่อน ถึงจะพาหญิงงามกลับเรือนได้!” อินหลิวเฟิงรำพึงเหมือนจะน้อยเนื้อต่ำใจด้วยน้ำเสียงธรรมดา
เฉาหมิงเฉิงยิ้ม “หญิงงามคนใดที่ซวงเสวียนจวินมิอาจครอบครองได้กัน”
“คุณหนูใหญ่เยี่ยนอย่างไรล่ะ” อินหลิวเฟิงจนปัญญา
เฉาหมิงเฉิงเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เยี่ยนชิงถังทนฟังไม่ได้ จึงพูดแทรกขึ้นว่า “เกรงว่าซวงเสวียนจวินจะพลาดไปเสียแล้ว น้องจื่ออวี๋เป็นคนรักเดียวใจเดียวเสมอมา ในใจของนางมีเพียงกู้จ่างสื่อเท่านั้น”
กู้หยวนเหิงที่ถูกเอ่ยถึงยืดหลังตรงเล็กน้อย แต่ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่เอามือประกบกันคารวะอินหลิวเฟิงเท่านั้น “ซวงเสวียนจวิน”
“ชีหลางก็มาแล้วหรือนี่ แต่ข้าไม่เชื่อเลยว่าคุณหนูใหญ่เยี่ยนจะไม่เปลี่ยนใจ” อินหลิวเฟิงยิ้มบางๆ หากแต่นึกเยาะเย้ยในใจ แม่นางผู้นั้นปักใจรักกู้หยวนเหิง? หึ ข่าวลือไม่มีมูลเสียเลย
“…น้องจื่ออวี๋…” กู้หยวนเหิงนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะพูดขึ้นว่า “น้องจื่ออวี๋เป็นหญิงที่จริงใจและรักเดียวใจเดียว”
อย่างไรก็ตามเยี่ยนชิงไม่อยากฟัง จึงพูดขัดจังหวะ “ใต้เท้าเฉา ซวงเสวียนจวิน เชิญทั้งสองเข้าไปพักในสำนักก่อนเถิด พูดคุยกันหน้าประตูสำนัก ใช้ได้ที่ไหนกัน”
“ฮ่าๆ ใช่แล้วล่ะ ใต้เท้าเฉา ท่านเจ้าสำนักเยี่ยน เชิญ” อินหลิวเฟิงไม่รู้สึกไม่พอใจเลย
“เชิญ” เฉาหมิงเฉิงและเยี่ยนชิงต่างก็เชิญซึ่งกันและกัน จากนั้นทั้งสามคนก็เดินเข้าสู่สำนักพร้อมกัน โดยไม่สนใจกู้หยวนเหิงเลย
เยี่ยนชิงตั้งใจให้เป็นเช่นนั้น เพราะอินหลิวเฟิงและเฉาหมิงเฉิงมีฐานะที่ถูกกำหนดไว้แล้ว แม้ว่ากู้หยวนเหิงจะเป็นจ่างสื่อของราชสํานัก แต่เขาก็เป็นเพียงขุนนางท้องถิ่นขั้นสี่เท่านั้น
แม้ว่ากู้หยวนเหิงจะมีสิทธิ์ดูแลสำนักสําคัญทั้งหลายในนามของราชสํานัก แต่สถานะของเขาด้อยกว่าเฉาหมิงเฉิงผู้เป็นขุนนางคนสนิทของจักรพรรดิหยวนหมิงหลายขุม ซึ่งรวมถึงอินหลิวเฟิงผู้ที่จะได้ดำรงตำแหน่งโหวคนต่อไปของเมืองโยวตูด้วย
ดังนั้นกู้หยวนเหิงจึงเดินตามไปโดยไม่สนใจสิ่งอื่นใด แต่เขาเชื่อว่าสถานการณ์นี้จะถูกทำลายในไม่ช้า เขาไม่เชื่อว่าเมื่อถึงเวลาที่เยี่ยนจื่ออวี๋กลายเป็นผู้ขโมยมนุษย์วานรหวาไหวแล้ว นายน้อยอินหลิวเฟิงแห่งเมืองโยวตูจะยังมีใจให้นางอีก นอกจากว่าเขาไม่กลัวที่จะถูกราชสำนักปราบปราม
ความมั่นใจของกู้หยวนเหิงถึงจุดสูงสุด เมื่อเข้ามาถึงห้องโถงใหญ่ของท่านเจ้าสำนักเยี่ยนชางอู๋! เพราะเมื่อเฉาหมิงเฉิงเดินเข้าไป ก็พบกับผู้อาวุโสเก้าที่กำลังรออยู่ด้านในแล้ว เขาคุกเข่าเข้าไปหาเฉาหมิงเฉิง “ใต้เท้าเฉา! แย่แล้วขอรับ”
“…” เฉาหมิงเฉิงตกตะลึง เห็นได้ชัดว่าเขานึกไม่ถึงว่าผู้อาวุโสเก้าแห่งสำนักชางอู๋จะบุ่มบ่ามเข้ามาหาเขาเช่นนี้ แล้วเยี่ยนชิงที่อยู่ข้างๆ ก็ยิ่งขมวดคิ้วขุ่นเคือง
ผู้อาวุโสรองที่อยู่โถงด้านในก็เช่นกัน เขาตวาดขึ้นทันทีว่า “น้องเก้า! เจ้าบ้าไปแล้วหรือ ยังไม่ลุกขึ้นอีก เจ้า…”
ทว่าผู้อาวุโสเก้ากลับพูดโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น “ใต้เท้าเฉา ข้าน้อยได้รับรายงานลับว่าผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักข้า ซึ่งก็คือบิดาของเยี่ยนกุ้ยหนี่ว์ ถูกสังหารตายภายในเรือนจำ ทั้งยังถูกเผาศพทำลายหลักฐานด้วยขอรับ!”