โดยไม่รอให้กู้หยวนหมิงสลัดความรู้สึกไม่สบายออก ชือหมิ่นซิงก็ชิงถามด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “ชุนซิ่นจวิน ข้าน้อยขอบังอาจถามว่าท่านทั้งสองมาทำอะไรในที่แห่งนี้”
“ข้า…” กู้หยวนหมิงเกือบจะพูดโพล่งออกมา
แต่อินหลิวเฟิงตบไหล่กู้หยวนหมิงเสียงดัง เพียะ อย่างรวดเร็ว “ชุนซิ่นจวิน!”
ครั้นแล้วกู้หยวนหมิงตื่นจากภวังค์และระงับอาการวิงเวียนศีรษะ แววตาที่เขามองชือหมิ่นซิงก็แปรเปลี่ยนเป็นความระมัดระวังและไร้ความปรานีมากขึ้น “ท่านมีฝีมือดียิ่งนัก!”
“ระวัง อย่ามองเข้าไปในดวงตาเขา” อินหลิวเฟิงจำต้องเตือนอย่างจริงจัง เขารู้ดีกว่ากู้หยวนหมิงว่าชือหมิ่นซิงนั้นเซ้าซี้เพียงใด ว่ากันว่าคนผู้นี้เกิดมาพร้อมกับความสามารถในการสร้างความสับสนให้กับผู้คน
ฮ่าๆ… เมื่อชือหมิ่นซิงเห็นว่าไม่ประสบความสำเร็จ เขากลับพูดอย่างไม่ได้สนใจอะไรมากนัก “ซวงเสวียนจวินรอบคอบ ระมัดระวังมากกว่าที่ลือกันเสียอีก”
“ไอ้หยา ชมเกินไปแล้ว เจ้าเองก็ร้ายกาจกว่าที่ลือกันมากนัก” อินหลิวเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้มทว่าดวงตากลับไม่ยิ้ม แล้วจึงถามตรงๆ ไม่อ้อมค้อมว่า “คนเปิดเผยไม่พูดจาคลุมเครือ เจ้าบอกมาเถอะว่าเจ้าจะทำอะไร”
ชือหมิ่นซิงแสยะยิ้ม ในที่สุดเครื่องประดับเงินที่มีอยู่เต็มตัวก็ส่งเสียงกระทบกันเกรียวกราว เขาจึงพูดด้วยจุดประสงค์ที่ชัดเจนว่า “หากข้าเดาไม่ผิด ที่แห่งนี้คือตำหนักไท่ชางในตำนานสินะ”
“อาจจะใช่ พวกเราเองก็ยังไม่แน่ใจนัก” อินหลิวเฟิงกล่าวจริงจัง
ชือหมิ่นซิงจึงเดินเข้ามาและพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นสิ่งที่ข้าอยากทำก็ง่ายมาก คือให้พวกเจ้าทุกคนถอยออกจากที่นี่ซะ”
หึๆๆ อินหลิวเฟิง ‘สะบัด’ พัดพับในมือให้กางออก ขณะที่โบกพัดไปมาก็พูดด้วยรอยยิ้ม “สหาย คำขอของเจ้าออกจะมากเกินไปหน่อยแล้ว ข้ากับชุนซิ่นจวินจะไม่ไปจากที่นี่เด็ดขาด”
“อย่ามั่นใจนักเลย อย่าลืมนึกถึงเพื่อนของเจ้าทั้งสาม แล้วก็ชุนซิ่นจวินศิษย์ร่วมสำนักของท่านด้วย” ชือหมิ่นซิงกำลังยิ้มเช่นกัน เมื่อประกอบกับผิวที่ค่อนข้างเข้มของเขา ยามที่เขายิ้มก็จะเผยให้เห็นฟันขาวเป็นประกาย
อินหลิวเฟิงกล่าวอย่างรู้สึกขัดตา “ถึงแม้ฟันของเจ้าจะขาว แต่ก็ไม่มีอะไรน่าอวด ข้าไม่สนใจองครักษ์สองคนที่หายไปแม้แต่น้อย หากเจ้าต้องการก็ฆ่าให้ตายเลย”
“หึๆ โหดร้ายจริงๆ” ชือหมิ่นซิงไม่สนใจ และมองไปที่กู้หยวนหมิง แล้วถามว่า “ชุนซิ่นจวินก็คิดเหมือนกันหรือ”
“ในเมื่ออยากครอบครองสมบัติของใต้หล้า… ทุกอย่างล้วนต้องอาศัยความสามารถ! หากท่านมีความสามารถก็ไปตามหาด้วยตัวเอง แต่ถ้าจะให้ข้ากับซวงเสวียนจวินจากไปก็แสดงว่าท่านไร้ความสามารถ!” กู้หยวนหมิงกล่าวอย่างชัดเจน
เปาะ เเปะ ชือหมิ่นซิงปรบมืออย่างพิลึกกึกกือ “กล่าวได้ดีจริงๆ เช่นนั้นข้าน้อยไม่เกรงใจแล้ว”
“เชิญ” อินหลิวเฟิงเบี่ยงตัวออกด้านข้างและหลีกทางให้ชือหมิ่นซิงทันที
แม้ว่ากู้หยวนหมิงจะพิศวงยิ่งนัก แต่เขาก็ยังทำแบบเดียวกันกับอินหลิวเฟิง อยากดูท่าทีของคนในลัทธิเซิ่งเหลียนว่าจะทำอย่างไร
ชือหมิ่นซิงเห็นว่า ถึงแม้ทั้งสองคนจะไม่จากไป แต่ก็นับว่าให้ความร่วมมือดี จึงไม่ได้สู้กับพวกเขา เขาพาคนของเขาเดินไปที่ประตูอันผุพัง เมื่อเดินผ่านแผ่นศิลาประหลาดก็หยุดไปชั่วขณะหนึ่ง ราวกับกำลังสังเกตร่องรอยบนนั้น
กู้หยวนหมิงกำลังดูร่องรอยเหล่านั้น และเขาก็เห็นเบาะแสบางอย่างจึงถามว่า “น่าจะมีอักษรคำว่า ‘ตำหนักไท่ชาง’ อยู่บนนั้นกระมัง ถูกคนขุดออกไปแล้วหรือ”
“ไม่รู้สิ ตอนที่ข้ามาถึงก็เป็นแบบนี้แล้ว พวกเราไม่ได้แตะต้องอะไรเลย” อินหลิวเฟิงไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าทำไมถึงมีคนขุดคำนั้นออกไป
อ้อ ไม่! ไม่ใช่สิ…
จู่ๆ อินหลิวเฟิงก็มีความคิดบางอย่างแวบเข้ามาในสมอง เขานึกอะไรออกแล้ว! แล้วจึงกระซิบกระซาบกับกู้หยวนหมิงว่า “ตามบันทึกปฐมราชินีของตำหนักไท่ชาง ดูเหมือนจะเชี่ยวชาญการเขียนยันต์ เจ้าคิดว่าอักษรที่นางเขียนด้วยตัวเอง จะมียันต์ลึกลับแฝงอยู่ในนั้นหรือไม่”
“เกรงว่าจะใช่!” หัวใจของกู้หยวนหมิงเต้นเร็วขึ้นพลางกล่าวว่า “หากไม่ใช่เพราะเหตุนี้ แค่ตัวอักษร ‘ธรรมดา’ คงจะไม่ถูกขุดออกไป เช่นนี้แล้วสถานที่แห่งนี้ก็คือตำหนักไท่ชางจริงๆ!”
“ใช่แปดในสิบส่วน!” เดิมทีอินหลิวเฟิงก็คิดไม่ต่างกันนัก แต่ตอนนี้เขามั่นใจในที่มาของวิมานเทวาสถิตนี้มากขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งมั่นใจถึงที่มาของคุณหนูใหญ่เยี่ยนมากขึ้นด้วย
ในเวลาเดียวกัน ชือหมิ่นซิงและพรรคพวกได้ประทับรอยมือสีเพลิงประหลาด โดยมีชือหมิ่นซิงเป็นผู้นำ! ตรงไปที่ประตูผุพังแล้วตบอย่างแรง!
เอี๊ยด
ประตูส่งเสียงดังแหลมเหมือนเสียงเสียดสีของประตูเก่าที่ถูกเปิด เสียงดังแสบแก้วหูมาก!
“เปิดแล้ว?” กู้หยวนหมิงมีสีหน้าเคร่งขรึม ดวงตาเฉียบแหลม เตรียมพร้อมที่จะประชิดเข้าไป
อินหลิวเฟิงมองประตูด้วยความสงสัย พลางคิดกับตัวเองว่า เป็นไปไม่ได้หรอกกระมัง
แต่ความจริงก็คือบานประตูผุผังนั้นหักโค้งเข้าด้านในจริงๆ เมื่อเห็นว่ามันกำลังจะเปิดออก!
อินหลิวเฟิงรีบเก็บพัดทันที และซ่อนมีดหลิวไว้ใต้แขนเสื้อ จากนั้นแสงสลัวก็ตลบอบอวลไปทั่วทุกสารทิศ
“เปิดเดี๋ยวนี้!” ชือหมิ่นซิงผลักอย่างแรง เปลวไฟสีแดงดั่งลามเลียลุกโชนในดวงตาทั้งคู่ ซึ่งผสานเข้ากับรอยประทับของฝ่ามือที่เขาสร้างขึ้น! พุ่งตรงไปที่ประตู
ปัง! ‘ประตูไม้’ โบราณสับกลอนอย่างกะทันหัน ไม่เพียงแต่ปิดอีกครั้งอย่างแน่นหนาเท่านั้น แต่ยังสั่นสะบัดคลื่นพลังงานที่น่าสะพรึงกลัวออกมาด้วย ทำให้ชือหมิ่นซิงและพรรคพวกถูกอัดกระเด็นทันที
ที่สำคัญคือชือหมิ่นซิงและคนอื่นๆ ที่ถูกอัดกระเด็น ยังมีการระเบิดอยู่กลางอากาศเสียงดัง ปัง! ปัง! ปัง! เพียงพริบตาเดียวร่างของทั้งสามคนก็ระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ
แม้นชือหมิ่นซิงและอีกสองคนที่ไม่ได้ถูกระเบิดเป็นเศษเนื้อสับในทันที แต่ก็อยู่ในสภาพที่ย่ำแย่มากเช่นกัน ทั้งสามคนอาเจียนเป็นเลือด จากนั้นก็ถูกอัดกระเด็นไปชนผนังวิมานเทวาสถิตจนได้ยินเสียงกระดูกหักดัง กรอบบบ อย่างคมชัด
สองคนนั้นเสียชีวิตในทันที…
มีเพียงชือหมิ่นซิงเท่านั้นที่รอดชีวิต
“บัดซบ!”
อินหลิวเฟิงตะลึง!
มารดามันเถอะ…
แรงต้านกลับนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว! แล้ว? แล้ว……
อย่างไรก็ตาม นี่ยังไม่ใช่จุดจบ
ซู่!