เยี่ยนอวี๋ที่ฟื้นตัวได้เร็วกว่าที่คิดก็ซัดฝ่ามือไปที่หน้าอกของต้าซือมิ่งที่ล่วงเกินนางเต็มแรง ไม่ออมมือแม้แต่น้อย
“อึก”
หรงอี้แทบจะกระอักเลือด ทว่าสีหน้าเขายังคงเดิม “เบาๆ หน่อยสิ หากข้าเป็นอะไรไป เจ้าจะไปหาพ่อให้เสี่ยวเป่าได้ที่ไหน”
“เจ้า…” เยี่ยนอวี๋เบนหน้าหนีก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกสองสามที ทว่าก็ยังได้กลิ่นอายของคนๆ นี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นางรู้สึกหงุดหงิดนัก “ไม่อยากตายก็รีบปล่อยมือซะ!”
“เจ้ามองลงไปข้างล่างสิ” หรงอี้ที่ต้านแรงกดดันมหาศาลไว้ก็กล่าวด้วยความจริงจังว่า “ใช้พลังปฐมราชินีของเจ้าไปดู ไปฟัง”
“ปล่อยข้า!” เยี่ยนอวี๋กล่าวเย็นชา
ต้าซือมิ่งกลับไม่ปล่อยมือ เขาพูดขึ้นว่า “รักษาท่านี้ไว้จะเป็นการดีที่สุด พลังของเจ้าต้องให้ข้ายั้งไว้ จึงจะไม่ทำให้พวกมันตื่นตกใจ พวกมันตื่นขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่ง”
เยี่ยนอวี๋ที่แสดงสีหน้าเคร่งขรึมก็อดรู้สึกอึดอัดและอยากจะขัดขืนมิได้ นางพยายามสงบสติอารมณ์ ก่อนจะใช้ดวงตาที่มีพลังไท่ชางมองลงไปข้างล่าง
อันที่จริงตั้งแต่ก่อนที่ต้าซือมิ่งจะทำเช่นนี้ เยี่ยนอวี๋ก็รับรู้ถึงความผิดปกติแล้ว มิเช่นนั้นหากนางปะทุขึ้นมาจริงๆ แม้ต้าซือมิ่งจะมีพลังแข็งแกร่งและไม่ธรรมดาเพียงใด ก็คงจับ ‘เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์’ ไว้ได้ยาก
ทันใดนั้นเอง…
“!”
เยี่ยนอวี๋ที่รู้แต่แรกและเห็นทั้งอาณาเขตโยวตูจากข้างบน นางก็มีสีหน้าเคร่งเครียดกว่าเดิม เพราะนางเห็นตาข่ายอันชั่วร้ายผืนหนึ่ง
พูดให้ถูกมันคือปีศาจที่ยากจะอธิบายได้ตนหนึ่ง! มันมีลักษณะเหมือนหนวดของสัตว์แผ่กระจายไปทั่วทั้งอาณาจักรโยวตู ดูเหมือนไม่มีลำตัว แต่หนวดบริเวณแม่น้ำเย่ว์หมิงใหญ่กว่าเล็กน้อย หนวดเหล่านี้ฝังลึกอยู่ใต้ดิน คนทั่วไปมิอาจพบเห็นได้ แม้แต่เยี่ยนอวี๋ นางก็ทำได้เพียงใช้พลังไท่ชางที่เพิ่งฟื้นขึ้นมาได้เล็กน้อย ‘มองเห็นมัน’
“…”
พวกมันกำลังเคลื่อนตัวอย่างเชื่องช้าและไร้สุ้มเสียง ท่าทางดูแข็งเกร็ง จึงรู้ได้ว่าพวกมันเพิ่งเคลื่อนไหวเมื่อครู่นี้ เพราะปรากฏการณ์ท้องฟ้าสว่างไสวของเยี่ยนอวี๋ที่ปะทุออกมานั่นเอง
และก็เป็นเพราะพวกมันเคลื่อนไหวแล้ว เยี่ยนอวี๋จึงเห็นได้ชัดว่า ใต้ดินส่วนลึกของอาณาเขตโยวตูมีปีศาจเช่นนี้นอนจำศีลอยู่ มิหนำซ้ำมันยังแผ่กระจายไปทางเมืองหลวงและอาณาเขตชางอู๋!
“นี่มันปีศาจอะไร” เยี่ยนอวี๋ถามตนเอง นางไม่เคยพบเจอสิ่งมีชีวิตเช่นนี้มาก่อน แม้นางเคยสู้กับปีศาจมากมายในอดีต แต่กลับไม่เคยเห็นสิ่งชั่วร้ายที่เหมือนพืชเช่นนี้ มันเหมือนไส้เดือนตัวใหญ่นับไม่ถ้วนที่กำลังเกาะเกี่ยวกัน
“เจ้าไม่รู้จักหรือ” ต้าซือมิ่งที่ถูกถามรู้สึกตะลึงเล็กน้อย “พวกมันดูเหมือนจะมาจากค่ายกลของเจ้า เกิดจากการดูดพลังแดนมืดวิญญาณอสูร”
“ข้าไม่เคยเจอปีศาจเช่นนี้ แม้แต่อสูรต้นไม้ที่อัปลักษณ์ที่สุดในสิบสองอสูรชั่วร้ายยังสง่ากว่ามัน” เยี่ยนอวี๋แสดงสีหน้าจริงจัง นางมิอาจทนต่อสิ่งมีชีวิตอัปลักษณ์เช่นนี้ได้
เมื่อต้าซือมิ่งได้ยินการบรรยายด้วยท่าทีจริงจังเช่นนี้ก็รู้สึกว่านางช่างน่ารัก “จริงด้วย หน้าตาเช่นนี้ ไม่สง่าเลย อัปลักษณ์จริงๆ”
“อืม” ราวกับว่าเยี่ยนอวี๋จะลืมไปแล้วว่าต้าซือมิ่งยังโอบเอวของนางไว้อยู่ เพราะปีศาจอัปลักษณ์ข้างล่างนั่นดึงความสนใจของนางไปหมดแล้ว เมื่อเปรียบเทียบกับแล้ว การล่วงเกินของต้าซือมิ่งก็เป็นเพียงปัญหาเล็กน้อย
“…”
ต้าซือมิ่งเม้มปากก่อนจะพูดต่อไปอย่างจริงจังว่า “การเติบโตของมันเหมือนว่าจะมีกฎเกณฑ์ตายตัว มันอาศัยตามแนวน้ำ”
“อืม” เยี่ยนอวี๋ก็เห็นแล้วเช่นกัน “ดูท่าในขณะที่ข้าเสริมความแข็งแกร่งให้กับผนึก ข้าต้องกำจัดพวกมันทิ้งตามกลิ่นชั่วร้ายที่แผ่ซ่านออกมาด้วย แต่เกรงว่าสิ่งนี้จะทำให้ฟ้าถล่มดินทลาย อาณาเขตโยวตูสลายสิ้นในคราเดียว”
“ตัดแหล่งหล่อเลี้ยงของมัน ทำให้มันเป็นอัมพาตและปล่อยให้มันค่อยๆ ตายไป ได้หรือไม่” ต้าซือมิ่งที่มือข้างหนึ่งอุ้มเด็กน้อยไว้ มืออีกข้างโอบมารดาเด็กน้อยไว้ก็คิดว่ายังคงท่าทางนี้ไว้ได้
ถึงแม้เขาจะคิดไม่ออกว่าเด็กน้อยมาได้อย่างไร แต่ต้าซือมิ่งก็รู้สึกว่าการที่จู่ๆ มีลูกและแม่เด็กก็น่ายินดีเช่นกัน เขาตัดสินใจที่จะสร้างความมั่นคงให้กับความสัมพันธ์นี้ไว้ โดยเฉพาะเมื่อได้โอบมารดาของเด็กน้อยไว้ เขาก็ยิ่งรู้สึกดี!
แต่แล้ว…
ความรู้สึกดีเช่นนี้ก็ถูกทำลายอย่างรวดเร็ว เยี่ยนอวี๋ที่ถูกโอบอยู่นานสักพักแล้ว จู่ๆ นางก็รวบรวมพลังผลักต้าซือมิ่งออก และยังอุ้มเด็กน้อยจากมืออีกข้างหนึ่งของเขามาด้วย
หรงอี้ “…”
ทุกอย่างกลับไปดังเดิม
“ข้าไม่จำเป็นต้องใช้พลังวิเศษก็ทรงตัวกลางเวหาได้ ครั้งหน้าเจ้า…” เยี่ยนอวี๋อยากจะพูดว่า ‘ห้ามกอดข้า’ แต่อย่างไรก็พูดไม่ออก นางรู้สึกพิลึกชอบกล
เยี่ยนอวี๋จึงไม่ได้พูดต่อไป ทว่าต้าซือมิ่งกลับถามกลับไปว่า “ครั้งหน้าอย่างไร”
“!” เยี่ยนอวี๋ถลึงตามอง นางกลับพบดวงตาใสซื่อบริสุทธิ์ราวกับดวงตาของลูกนาง ทำให้นางชะงักเล็กน้อย
ส่วนหรงอี้นางก็เอนตัวไปข้างหน้าเข้าใกล้สองแม่ลูกเยี่ยนอวี๋แล้ว…
ถึงแม้เขาจะมิได้เคลื่อนไหวตัวมากนัก ทว่าเมื่อตัวสูงโปร่งของเขาเอนเข้าหาก็เหมือนจะบังตัวสองแม่ลูกเยี่ยนอวี๋ร่างบอบบางไว้ได้ราวกับถูกภูเขาลูกใหญ่บังไว้
“เจ้า…” เยี่ยนอวี๋ทำท่าจะผลักออก นางไม่คุ้นชินกับการถูกกดขี่เช่นนี้ ในเมื่อที่ผ่านมานางอยู่เหนือผู้อื่นเสมอ
ทว่าหรงอี้ที่เข้าใกล้นางกลับยื่นมือออกไปลูบเด็กน้อยที่กำลังหลับสนิท “หลับเหมือนลูกหมูเลย ไม่รู้สึกอะไรเลย”
“เจ้าน่ะสิลูกหมู” เยี่ยนอวี๋ปัดมือต้าซือมิ่งออกอย่างไม่พอใจนัก “ถ้าเขาเป็นลูกหมู เจ้าเป็นพ่อหมู?”
“…”
ต้าซือมิ่งชะงักเล็กน้อยก่อนจะดึงมือกลับ “ข้าดูดีกว่าหมู”
ครานี้ถึงตาเยี่ยนอวี๋อ้ำอึ้ง นางมองไปที่ต้าซือมิ่งที่เปรียบเทียบตนเองกับหมู ไม่รู้ว่าตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ บัดนี้ฝ่ายหลังกำลังยืนอยู่ใต้แสงจันทร์ที่ส่องสว่างไสว
เยี่ยนอวี๋พบว่า ต้าซือมิ่งที่ถูกแสงจันทราปกคลุมกลับสว่างไสวกว่าแสงจันทร์ ประการแรก ใบหน้าของเขางดงามราวกับแกะสลักจากหยกแผ่ซ่านรังสีเจิดจรัสที่แม้แต่ดวงจันทร์ยังต้องละอาย
ประการที่สอง ดวงตาของเขาที่ต่างจากเด็กน้อยสิ้นเชิง มันเสมือนลูกปัดเคลือบสีม่วงระยิบระยับ เปล่งประกายความบริสุทธิ์ สุกใสไร้มลทินอยู่ใต้แสงจันทร์…
เพียงแค่มองดีๆ เยี่ยนอวี๋ก็อดยอมรับไม่ได้ว่า ที่เด็กน้อยของนางหน้าตาดีเป็นเพราะพ่อเด็กมีหน้าตาดี ใบหน้าเช่นนี้โดดเด่นกว่าคนงามที่นางเคยพบเห็นมากนัก
“ใช่หรือไม่”
เมื่อมารดาเด็กน้อยดูใบหน้าของต้าซือมิ่งเสร็จแล้ว เขาก็ขอความเห็นจากนางอย่างจริงจัง
เยี่ยนอวี๋มองด้วยหางตา “ขาวกว่าหมู”
ต้าซือมิ่ง “…”
เยี่ยนอวี๋ไม่สนใจเขา นางอุ้มเด็กน้อยกลับไปที่ริมแม่น้ำเย่ว์หมิงนอกเมืองโยวตูแล้ว
…
“ไม่รู้ว่าปรากฏการณ์เมื่อครู่นี้เกิดจากอะไร” คนทั้งสองฝ่ายที่ริมแม่น้ำเย่ว์หมิงต่างยังคงถกเถียงถึงปรากฏการณ์ท้องนภาอันงดงามที่เกิดขึ้นเมื่อครู่อย่างขะมักเขม้น
“มิทราบ” เฉินฉุยเฟิงผู้เคยพบเจอปรากฏการณ์ท้องนภามามากมายและสามารถจดจำปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ที่บันทึกไว้ในตำราโบราณได้อย่างดีก็ยังไม่ทราบอยู่ดี อย่างที่ว่ากันไว้ว่า การเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด…
“เซ่าซือมิ่งกู้รู้หรือไม่ ข้าเคยเห็นแสงสีสันเช่นนี้ปรากฏบนแม่น้ำเย่ว์หมิง” เฉิงคั่วถามกู้หยวนซูที่เพิ่งฟื้นขึ้นมา ฝ่ายหลังมีสีหน้าดีขึ้นเล็กน้อย อาการมึนงงก็ไม่รุนแรงเท่าเมื่อครู่นี้แล้ว
แม้เซ่าซือมิ่งกู้จะถูกดึงพลังวิญญาณไปมาก แต่เพื่อรักษา ‘ตัวตน’ ของตนไว้ ปีศาจระกาเก้าเศียรก็มิได้ทำร้ายจนนางถึงแก่ชีวิต เพียงแต่ว่านางต้องใช้เวลาค่อนข้างนานจึงจะฟื้นตัวได้เท่านั้นเอง
“จะว่าไปแล้ว เซ่ามือมิ่งกู้ เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่” นักบวชอาวุโสแห่งโยวตูถามขึ้น “วิชาการแพทย์ของข้าถือว่าใช้ได้ น่าจะวินิจฉัยไม่ผิด หากเซ่าซือมิ่งกู้รู้สึกไม่สบายใจ ให้เซ่าซือมิ่งเฉินตรวจก็ได้ โยวตูจะได้ไม่ถูกตั้งข้อหาอะไร”
“ใช่แล้ว!” อินหลิวเฟิงรีบสำทับ
“…ข้าไม่เป็นอะไร” แม้จะไม่เต็มใจนัก แต่กู้หยวนซูก็ต้องทำตามคำสั่งของปีศาจระกาเก้าเศียร นางไม่อยากสร้างปัญหาอื่นๆ ตามมา “บอกแล้วว่าข้าแค่รู้สึกไม่ดี มันผ่านไปแล้วล่ะ แต่เมื่อครู่นี้อันตรายจริงๆ! สาวใช้คนนั้น…”
เม่ยเอ๋อร์ที่ถูกเอ่ยถึงแหงนมองท้องฟ้ากะทันหัน “คุณหนูใหญ่!”
ทุกคนมองขึ้นไปบนท้องฟ้าตามเสียงอุทานของนาง เห็นปราชญ์มหาสำนักเยี่ยนท่านนั้นตามคาด นางกำลังเหินลงมาจากนภา และยังมีต้าซือมิ่งท่านนั้นตามหลังมา!
“เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์!” เยี่ยนจื่อเสาเข้าไปหาเยี่ยนอวี๋เป็นคนแรก เขาเหลือบมองต้าซือมิ่งอย่างระแวงก่อนจะถามขึ้นว่า “ไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”
ต้าซือมิ่งที่ถูก ‘มอง’ มีรังสีอมตะแผ่ซ่าน “มีข้าคอยปกป้อง เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ย่อมไม่เป็นอะไร”
เมื่อสิ้นเสียงพูด…
“!”
“!!”
ทุกคนในเหตุการณ์ตะลึงงัน! เพราะว่าคำพูดคำนี้ของต้าซือมิ่งเต็มไปด้วยเรื่องน่าจินตนาการจริงๆ!
ปกป้อง? เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์?
ให้ตายเถอะ! นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมรู้สึกมีอะไรในกอไผ่
“แค่ก!”
อินสวินอี้ที่ตกตะลึงมากที่สุดในกลุ่มคนเหล่านั้น เขาไม่คาดคิดเลยว่าต้าซือมิ่งจอมก่อกวนจะคืนดีกับปราชญ์มหาสำนักเยี่ยนได้แล้ว เขาทำเอาปราชญ์มหาสำนักเยี่ยนโมโหจนจะลงมือฆ่าคนอยู่แล้ว แต่เขาก็เกลี้ยกล่อมสำเร็จ?
อินสวินอี้รู้สึกบูชาต้าซือมิ่งหรงผู้แก่กล้าจนหมอบกราบเขาอย่างเลื่อมใสในใจแล้ว
ใครจะไปคาดคิด…