ตอนที่ 316 สาวบ้องแบ๊วและปีศาจทารกไร้เทียมทานล้มสวะ!
ผู้อาวุโสชุดดำสำนักนิรนามประสานมือแนะนำตนเอง น้ำเสียงฟังดูเจียมเนื้อเจียมตัว แต่ยังคงสร้างความปั่นป่วนโกลาหล
แม้การจัดอันดับของพิธีแต่งตั้งเจ็ดสำนักอาจจะเปลี่ยนแปลงทุกปี นอกจากนี้หนึ่งในเจ็ดสำนักเหล่านี้ก็เคยล่มสลายในท้ายที่สุด จนกลายเป็นสำนักที่ถูกลืมเลือนดังเช่นสำนักชิงเหมิน สำนักดาบ แต่กลับไม่เคยมีเกิดเหตุการณ์เช่นวันนี้ ‘สำนักนิรนาม’ ได้ที่หนึ่ง! ที่หนึ่งเชียวนะ นี่ต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอน!
“นี่คือสำนักอะไร เหตุใดข้าจึงไม่เคยเห็นศิษย์พวกเขา”
“ไม่รู้สิ ศิษย์ที่แสดงฝีมือได้ยอดเยี่ยมที่สุดในสนามประลองก็คือแม่นางน้อยไร้ยางอายท่านนั้นของสำนักชางอู๋ ข้าไม่เห็นว่ามีใครเก่งกาจกว่านางเลยนะ”
“นั่นน่ะสิ…” เหล่าผู้แข็งแกร่งสงสัย
แต่กลับมีคนหนุ่มสาวเกือบสามร้อยคนถูกเคลื่อนย้ายไปอยู่ข้างกายเจ้าสำนักสำนักนิรนาม กลิ่นอายไม่ธรรมดาแผ่ซ่าน แม้ในนั้นจะไม่มีผู้แข็งแกร่งขั้นสุวรรณชาด แต่ก็มีผู้แข็งแกร่งขั้นปฐมภูมิสูงสุดไม่น้อย
แม้จะเป็นเช่นนี้ เหล่าฝูงชนยังคงไม่ได้กลิ่นอายเก่งกาจอะไรบนตัวศิษย์สำนักนิรนามเหล่านี้ รู้สึกว่าพวกเขาเป็นศิษย์ธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น!
“นี่มัน…”
“หรือว่าปีนี้กระแสแสร้งเป็นหมูเพื่อหลอกกินเสือกลับมาอีกแล้ว”
“ไม่รู้ ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ได้สังเกตคนเหล่านี้เลย อีกอย่างพวกเขาก็ไม่ได้ใส่เครื่องแบบสำนักเหมือนกันด้วย” ทุกๆ สำนักยังคงไม่เข้าใจอยู่ดี
ทว่าเรื่องเหล่านี้ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการร้องไห้ของชุ่ยชุ่ย ชุ่ยชุ่ยที่ยังไม่ทันเรียก “คุณหนูใหญ่” น้ำตาก็ไหลลงมาก่อนแล้ว นางเพิ่งสะดุ้งตื่นจากความหวาดกลัวจากการถูกลอบฆ่า ครานี้เองนางก็ร้องไห้อีกแล้ว
เม่ยเอ๋อร์รีบตบหลังนางเบาๆ “ร้องทำไม ไม่เป็นอะไรแล้ว!”
“ท่านพี่เม่ยเอ๋อร์ ฮือๆๆ…” ชุ่ยชุ่ยหวาดผวาสุดขีด “คนสำนักคุนอู๋ทุเรศมากเลย พวกเขารวมหัวกันตั้งหลายคนรุมข้าคนเดียว! เมื่อครู่นี้ยังมีตาเฒ่าคนหนึ่งคิดจะสังหารข้าด้วย! ฮือๆๆ…”
“พวกเราเห็นหมดแล้ว ก็เลยแก้แค้นให้เจ้าแล้วนี่ไง” เม่ยเอ๋อร์กล่าว คนสำนักคุนอู๋คงเสียใจแย่ พวกเขาในตอนนี้อยากจะร้องไห้ก็คงไม่ร้องไม่ได้แล้ว
ในความเป็นจริง คนสำนักคุนอู๋ก็รู้สึกอยากจะกระอักเลือดจริงๆ! โดยเฉพาะหลังจากที่ได้ยินชุ่ยชุ่ยฟ้อง พวกเขาก็ยิ่งอยากกระอักเลือด ใครกันแน่ที่ทุเรศ!?
แต่แล้ว…
“ไม่ได้ ยังไม่พอ! พี่เม่ยเอ๋อร์ต้องท้าชิงพวกเขาด้วย พวกเขากำจัดศิษย์พี่สำนักชางอู๋ของเราหมดแล้ว แงงง…” เมื่อชุ่ยชุ่ยคิดได้ว่าเมื่อครู่นี้นางไร้หนทางเพียงใด นางก็ปล่อยร้องโฮอีกแล้ว
จ่านเผิงและคนอื่นๆ เข้ามาปลอบนาง “เป็นเพราะพวกข้าไร้ประโยชน์เอง ยังพูดไว้ดิบดีว่าจะปกป้องศิษย์น้อง ไม่คิดว่าจะกลายเป็นว่าต้องให้เจ้าปกป้องแทน เจ้าแก้แค้นให้พวกข้าแล้วล่ะ”
“ใช่แล้ว ศิษย์น้องชุ่ยชุ่ย เจ้าเก่งมากเลย!”
“ขอบใจเจ้าที่แก้แค้นให้พวกข้า!…”
เหล่าศิษย์ชั้นยอดสำนักชางอู๋รู้สึกขอบคุณจริงๆ หากไม่ใช่เพราะชุ่ยชุ่ย สำนักชางอู๋คงไม่มีแม้แต่สิทธิ์ท้าชิงแล้ว พวกเขาคงถูกกำจัดออกจากเก้าสิบสามสำนักและตกรอบไปทันที
“จริงหรือ ข้าเก่งมากเลยหรือ” ชุ่ยชุ่ยถามด้วยดวงตาที่พร่ามัว และยังมองไปที่คุณหนูใหญ่ของตน “คุณหนูใหญ่ ข้าเก่งมากแล้วจริงๆหรือเจ้าคะ”
“จริงสิ” เยี่ยนอวี๋หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาให้ชุ่ยชุ่ยเช็ดน้ำตา “เก่งมากแล้วล่ะ”
“เก่ง!” เยี่ยนเสี่ยวเป่าอยากเข้ามามีส่วนร่วมแต่ถูกท่านพ่อที่ไม่ชอบความเบียดเสียดอุ้มไว้ เขาทำได้เพียงตะโกนจากข้างนอก!
ชุ่ยชุ่ยจึงหัวเราะทั้งน้ำตา “เช่นนั้นข้าไม่ได้ทำให้คุณหนูใหญ่อับอายสินะ!”
“ไม่เพียงเท่านั้น แต่ยังสร้างชื่อเสียงให้ด้วย!” เยี่ยนชิงตบไหล่นังหนูเบาๆ “เห็นเจ้าเงียบๆ เช่นนี้ ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะเพียบพร้อมความสามารถในการสู้ผู้อาวุโสเก้าในหมัดเดียวได้ดังเช่นที่เจ้าต้องการในครานั้นแล้ว”
นี่เป็นความตั้งใจเดิมของชุ่ยชุ่ย ครานั้นทุกคนไม่เห็นเป็นเรื่องจริงจัง แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่านางทำได้แล้ว ระหว่างที่เยี่ยนอวี๋พาเม่ยเอ๋อร์ออกจากสำนักไป ชุ่ยชุ่ยคงตั้งใจฝึกฝนเพื่อเป้าหมายของนางอย่างบากบั่น
“ดีใจด้วย” ชือหมินหมิ่นกล่าวแสดงความยินดีกับชุ่ยชุ่ย เขาเป็นคนที่รู้ใจชุ่ยชุ่ยดีที่สุดแล้ว ในฐานะที่ทั้งสองเป็นไก่อ่อนที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแล้ว พวกเขาจึงได้กลายเป็น ‘แนวร่วม’ ฝึกฝนวิชาด้วยกันไปโดยปริยาย
“ขอบใจ” ในที่สุดชุ่ยชุ่ยก็หยุดร้องไห้ ทว่าดวงตาของนางบวมเป่งเป็นลูกเหอเถาแล้ว เห็นแล้วน่าสงสารจับใจ
ในขณะที่คนสำนักชางอู๋กล่าวแสดงความยินดีกับชุ่ยชุ่ย อีจี้จิ่วก็ประกาศขึ้นว่า “การประลองในวันนี้จบลงเพียงเท่านี้ เจอกันใหม่รอบหน้าในอีกสามวันข้างหน้า”
“ขอบคุณอีจี้จิ่ว” เหล่าสำนักน้อยใหญ่ต่างคำนับกล่าวขอบคุณ
จากนั้นกู้หยวนซูก็แจ้งว่าสถานที่การแข่งขันรอบรองชนะเลิศยังคงเป็นลานสนามในสำนักศึกษาแห่งนี้ ขอให้ทุกสำนักเตรียมตัวให้ดี การแข่งขันรอบแรกสิ้นสุดลงด้วยดี
ถึงแม้สำนักคุนอู๋จะไม่ยอม แต่เพราะมีต้าซือมิ่งอยู่ พวกเขาจึงรีบหนีกลับกันก่อนแล้ว
อีจี้จิ่วที่เดินลงจากเวทีก็กำลังเดินมาทางเด็กน้อย ทำเอาเด็กน้อยที่กำลังเซ็งเพราะเข้าไปร่วมวงเมื่อครู่นี้ไม่ได้ดีอกดีใจทันที เขาส่งเสียง “อะๆ” ขึ้นมาทันที “ปู่! ดี…”
“ฮ่าๆๆ” อีจี้จิ่วหัวเราะร่าเพราะท่าทีน่ารักน่าชังของเจ้าตัวน้อย ทำให้ผู้คนไม่น้อยเหลือบมอง ถึงแม้อีจี้จิ่วจะอ่อนโยน แต่ก็น้อยนักที่จะได้เห็นเขาแสดงอารมณ์สุดโต่งเช่นนี้
ซ่งเฉินฟางและลู่หมิงที่ตามข้างกายอีอิ่นก็หัวเราะอย่างสดใสเช่นกัน “ทารกน้อยคนนี้ต้องรู้ว่าท่านจะให้ของกินแน่เลย ก็เลยเรียกท่านว่าปู่”
“ไม่ ไม่…” เยี่ยนเสี่ยวเป่าบอกว่า เป็นเพราะข้ามีมารยาทต่างหากเล่า
“รู้จักแย้งด้วย” ลู่หมิงยิ้มตาหยีพลางลูบศีรษะโล้นๆ ของเด็กน้อย “ข้าอายุมากเช่นนี้แล้ว เพิ่งเคยเห็นทารกน้อยฉลาดเป็นกรดเช่นนี้จริงๆ”
“ข้า! เก่ง!” เยี่ยนเสี่ยวเป่าบอกว่า ข้าเก่งที่สุดเลย!
“ใช่แล้ว เจ้าเก่งที่สุด” ซ่งเฉินฟางหยิกแก้มนุ่มๆ ของเขา
เยี่ยนเสี่ยวเป่ากลับมองอีอิ่นตาปริบ และยังยื่นมืออวบอ้วนไปทางเขา “อุ้ม…”
“เด็กดี” อีอิ่นรับทารกอ้วนท้วมเข้ามาด้วยสีหน้าอ่อนโยนเป็นพิเศษ
ส่วนเจ้าตัวน้อยก็สมแล้วที่เป็นปีศาจทารก ครานี้เขามิได้รีบคว้าน้ำเต้าของอีจี้จิ่วแล้ว เขาซบอ้อมอกของอีอิ่นอย่างเชื่อฟัง
กู้หยวนซูเดินผ่านมาพอดี เมื่อนางเห็นเข้าก็รู้สึกเคืองตา แต่นางยังดึงดันเข้ามากล่าวลา “อีจี้จิ่ว ข้ากลับวังก่อนแล้ว”
“เหนียงเหนียงเชิญตามสบาย” อีอิ่นลูบเด็กน้อยในอ้อมแขน มิได้มองกู้หยวนซูด้วยซ้ำ
กลับเป็นเยี่ยนเสี่ยวเป่าที่มองกู้หยวนซู ฝ่ายหลังฉวยโอกาสถลึงตาใส่เด็กน้อยตอนที่ไม่มีใครมองนาง
“เลว!” เยี่ยนเสี่ยวเป่าชี้ไปที่กู้หยวนซู เขามองไปที่อีอิ่นและฟ้องว่า “จ้อง! เป่า…”
กู้หยวนซู “…”
เมื่อนางคิดจะแย้งอะไรขึ้นมา อีอิ่นกลับกล่าวอย่างราบเรียบว่า “กุ้ยเฟยเหนียงเหนียง ถือสากับเด็กน้อย ไม่น่าจะเหมาะสมเท่าไรนะ”
“นั่นน่ะสิ กุ้ยเฟยเหนียงเหนียง เสี่ยวเป่าอายุเท่าไรเอง ท่านอายุเท่าไรแล้ว ท่านถลึงตามองเด็กน้อยคงไม่เหมาะสม” ลู่หมิงไม่ค่อยชอบพอครอบครัวตระกูลกู้อยู่แล้ว
ซ่งเฉินฟางเองก็ลูบหนวดพยักหน้า “เสี่ยวเป่าน่ารักเช่นนี้ กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงอย่าคิดเล็กคิดน้อยเพียงแค่เรื่องผายลมของเขาเลย คนเราต้องมีใจกว้าง”
“ข้าไม่ได้ทำเสียหน่อย เขาโกหก!” กู้หยวนซูโต้กลับอย่างคับแค้น
เยี่ยนเสี่ยวเป่ากอดอีอิ่นไว้อย่างคนถูกใส่ร้าย ทำท่าเหมือนจะร้องไห้ อย่าให้พูดเลยว่าท่าทีนั่นน่าสงสารเพียงใด ทำเอาอาจารย์อาวุโสสำนักศึกษาอีกสองท่านที่ตามอีอิ่นลงมาอดซุบซิบกู้หยวนซูมิได้ “ไม่ไหวๆ”
“ข้า…” กู้หยวนซูคับแค้นยิ่งนัก! เพราะ ‘การชี้นำ’ ของผู้อาวุโสสำนักศึกษาทำให้คนไม่น้อยเริ่มซุบซิบนางแล้ว
เหอซงเองจึงต้องรีบช่วยคลายสถานการณ์ “อาจจะเป็นเพราะเหนียงเหนียงช้อนตาขึ้นมาพอดี เด็กน้อยจึงเข้าใจผิดน่ะ เหนียงเหนียงกลับวังเถิด” อย่าทำให้ตนอับอายต่อหน้าผู้อื่นไปมากกว่านี้เลย
กู้หยวนซูจะทำอะไรได้ นางทำได้เพียงกล่าวลาอีอิ่นและคนอื่นๆ ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อเดินจากไป! นางยังเดินกระฟัดกระเฟียดไปตลอดทาง เยี่ยนเสี่ยวเป่ากลับยังคงชี้ไปที่นางและพูดอย่างน่าสงสารว่า “เลว! ดุ ดุ เป่า…”
“เสี่ยวเป่าไม่เป็นไรนะ ปู่อีให้เจ้าดื่มอันนี้” อีอิ่นพูดพลางให้ซ่งเฉินฟางเทของเหลวที่อยู่ในน้ำเต้าออกมา ทำเอาเด็กน้อยชะเง้อออกไปดูแล้ว
หลายคนเพิ่งรู้ว่าในขวดน้ำเต้าของอีจี้จิ่วบรรจุของเหลวสีขาวนวลอมชมพูไว้ และยังประกายระยิบระยับ ส่งกลิ่นหอมหวานเหมือนน้ำผึ้ง
“หอม! หอม!” เยี่ยนเสี่ยวเป่าหัวเราะร่าอย่างดีอกดีใจ
เยี่ยนอวี๋กลับเดินเข้ามาลูบศีรษะโล้นน้อยๆ “ใต้เท้าอี นี่มันยาสกัดตี้ซิน ล้ำค่าเกินไป ให้เสี่ยวเป่าไม่ได้”
เยี่ยนเสี่ยวเป่าชะงัก! เขาจับหน้าน้อยๆ ของตนไว้แล้ว
อีอิ่นส่ายศีรษะ ยังคงป้อนยาสกัดตี้ซินล้ำค่านั่นให้เด็กน้อย
แม้เยี่ยนเสี่ยวเป่าอยากทานมาก แต่เขาก็ยังคงมองไปที่ท่านแม่ของเขาก่อน “แม?”
“กินเถอะ” ต้าซือมิ่งจับมือภรรยาไว้ มืออีกข้างก็ลูบศีรษะเด็กน้อย “กินแล้วโตขึ้นต้องกตัญญูต่อปู่อีนะ”
“อื้อ…” เยี่ยนเสี่ยวเป่าอ้าปากอย่างดีใจ “อั้มม…”
ยาสกัดตี้ซินนั่นก็มีจิตวิญญาณ เมื่อเด็กน้อยอ้าปาก มันก็ไหลเข้าไปในปากและสลายเข้าไปในร่างกายของเขาทันที กลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่ว
ในระหว่างนี้เอง ร่างกายของเด็กน้อยก็เปล่งแสงประกาย แก้มของเขาก็แดงระเรื่อ ขนน้อยๆ บนศีรษะของเขาในที่สุดก็หนาขึ้นมาเล็กน้อย ทำให้เจ้าตัวน้อยที่รู้สึกคันหนังศีรษะก็กุมศีรษะน้อยๆ ไว้ “อ้ะเนะ?” ผมงอกแล้วหรือ
น่าเสียดาย… ไม่มีใครตอบเขา เพราะว่าทุกคนในตอนนี้ต่างถูกดวงตาโตที่กำลังเปล่งแสงสีม่วงเลือนรางดึงดูดไปแล้ว!
“พ่อ?”
เยี่ยนเสี่ยวเป่ามองท่านพ่อด้วยดวงตาสีม่วงจางๆ ที่กำลังกะพริบวูบวาบ ราวกับดวงตาของท่านพ่อ แต่ก็เหมือนกับว่าต้องมีสีเข้มกว่านี้ ทว่า…