[เล่มที่ 6 เรื่องราววุ่นวายในไท่ชาง ] ตอนที่ 517 แย่งสวามีของข้า ทุบตีให้ตาย!
เมื่อสิ้นเสียงรายงาน… เหล่าเทพยังไม่ทันตั้งสติได้ เยี่ยนอวี๋ก็เอ่ยขึ้นว่า “ทุบตีให้ตาย!”
สีหน้าของเหล่าเทพในท้องพระโรงมิอาจใช้คำพูดมาบรรยายได้ ทว่าในเมื่อเยี่ยนอวี๋เอ่ยขึ้นแล้ว ซีหวังหมู่จึงจู่โจมใส่เป็นคนแรก
“สุนัขตัวเมียที่ไหนกัน บังอาจทำให้ชื่อเสียงของจวินโฮ่วข้าเสื่อมเสีย ไปตายซะเถอะ!” เมื่อเห็นเจ้าสิ่งชั่วร้ายนอกตำหนัก ซีหวังหมู่ก็คำรามอย่างดุร้ายและยังทุบลงไปด้วยกระบองจริงๆ (ไม่รู้ว่ากระบองจากที่ไหน)…
“แสงอมตะ!” เห็นได้ชัดว่าแขกไม่ได้รับเชิญที่มาถึงหน้าประตูมิใช่เทพไร้ความสามารถ พวกเขาปล่อยแสงสีขาวแสบตา สว่างจนเทพทั่วทั้งสวรรค์เก้าชั้นฟ้าล้วนเห็นกันหมด เหล่าทวยเทพแสดงสีหน้าเคร่งขรึมในทันที ต่างให้ความสนใจกับการต่อสู้นอกท้องพระโรง
ผู้ที่ระเบิดแสงแรงกล้าออกมาคือชายวัยกลางคนที่อ้างตนว่าเป็นกษัตริย์จุ่นเอ่อร์เก๋อ สวมชุดรัดรูปสีฟ้า เสื้อคลุมสีแดง ในมือของเขาถือดาบยาวแหลมคมรูปร่างพิเศษ เขากำลังถือดาบกันกระบองของซีหวังหมู่ไว้
ในขณะเดียวกัน หญิงสาวที่อ้างตนเป็นองค์หญิงเอเลน่าถามตำหนักสวรรค์ว่า “นี่คือวิธีการรับแขกของพวกเจ้าสวรรค์ชั้นเก้าหรือ”
เอเลน่าสวมชุดสีทอง ศีรษะสวมมงกุฎประดับอัญมณีสีสันสดใส ลำคอขาวนวลดั่งหิมะยังใส่สร้อยอัญมณีงดงาม เยี่ยนเสี่ยวเป่าเหม่อมอง
แม้เด็กน้อยจะยังเล็ก แต่ก็มีสายตาที่ดีมาก เขาสามารถมองเห็นเอเลน่าที่อยู่ด้านนอกสุดและไกลสุดผ่านอาคารที่ทับซ้อนกันเป็นชั้นๆ เป็นเพราะสีของนางเป็นที่สะดุดตามาก
แต่เอเลน่าที่อยู่ด้านนอกตำหนักสวรรค์กลับไม่สามารถมองเห็นเยี่ยนอวี๋และพรรคพวกที่นั่งอยู่บนจุดสูงสุดของท้องพระโรงผ่านพระราชวังสวรรค์ นอกจากเป็นความฉลาดทางสถาปัตยกรรมแล้วยังมีประโยชน์ในการปิดกั้นการมองเห็น ดังนั้น… เยี่ยนอวี๋ที่มองเห็นเอเลน่าชัดเจนเช่นกันนางก็ถามต้าซือมิ่ง “เจ้ารู้จักนางหรือ”
“รู้จักแน่นอน ไม่เช่นนั้นจะมาหาถึงหน้าประตูได้อย่างไร!” เทียนตี้พูดทันที แต่เขาปิดกั้นเสียงระหว่างพวกตนและเหล่าทวยเทพในท้องพระโรงไว้แล้ว ไม่ได้ให้พวกเขาได้ยินสิ่งที่ตนพูด
ต้าซือมิ่งไม่สนใจเทียนตี้ เขาขมวดคิ้ว “ ‘ข้า’ ผมสีทองอาจจะรู้จัก”
“ดังนั้น สิ่งที่นางพูดถูกต้อง?” สายตาของเยี่ยนอวี๋ลุ่มลึกขึ้น
ต้าซือมิ่งที่ไม่ได้มองสายตาของภรรยาเพราะยังคงมองสำรวจเอเลน่า เขาก็เอ่ยว่า “อัปลักษณ์เกินไป ข้าไม่ชอบ”
“ใช่!” เยี่ยนเสี่ยวเป่าก็เห็นด้วยอย่างจริงจัง “มีแค่มุกที่สวย”
เมื่อพูดจบ สองพ่อลูกตระกูลหรงก็มองไปที่เยี่ยนอวี๋โดยพร้อมเพียงอย่างไม่ได้นัดหมายและแทบจะพูดพร้อมขึ้นพร้อมกันว่า “ภรรยา/แม่ สวย”
นัยน์ตาเยี่ยนอวี๋ปรากฏรอยยิ้ม หากไม่ใช่เพราะเหล่าขุนนางทั้งพระโรงมองอยู่ นางคงจูบสองพ่อลูกคู่นี้ไปแล้ว ทว่าคนโตไม่ได้จูบ แต่ก็จูบคนเล็กแล้ว
“ฮ่า…” เยี่ยนเสี่ยวเป่าที่ถูกจูบหัวเราะร่า ท่าทางน่ารักน่าชังประหนึ่งภาพวาด ทำเอาเหล่าเทพมากมายที่กำลังมองทางนี้หัวใจละลายไปหมด
ขอไม่พูดถึงอย่างอื่น นายน้อยท่านนี้น่ารักจังเลย โอ๊ยๆ
เทพอาวุโสบางองค์ก็ลูบเคราและยิ้มอย่างใจดี “นายน้อยน่ารักจริงๆ ฉลาดเป็นเลิศ”
“เจ้าก็ไม่ดูหน่อยเลยว่าคือลูกของใคร” เทียนอ๋องเบิกฟ้าหัวร้อนอีกแล้ว “ทารกน้อยของปฐมราชินีย่อมเหมือนปฐมราชินีที่สุด จะไม่น่ารักได้อย่างไร นี่คือสมบัติอันดับหนึ่งของสวรรค์เก้าชั้นฟ้า!”
“ไม่เกินจริงเลย” ปัวเหร่อเทียนอ๋องเห็นด้วย
หลันเย่ว์เทียนอ๋องและเทพองค์อื่นๆ ต่างยิ้มให้เสี่ยวเป่า เยี่ยนเสี่ยวเป่ารู้สึกเขิน ใบหน้าขาวนวลน้อยๆถูกย้อมด้วยสีชมพู แต่เขายังกุมมือขอบคุณอย่างมีท่ามีทางให้เหล่าเทพที่ชมเขา “ขอบคุณ…”
“เด็กดี!”
“งดงามจริงๆ!”
“น่ารักจังเลย!…”
ทั่วทั้งท้องพระโรงพากันชื่นชมไม่หยุดจนไม่มีเทพสักองค์สนใจแขกไม่ได้รับเชิญจากต่างแดนที่อยู่ข้างนอก
ทว่าหันหลิว บิดาของกษัตริย์จวนซวีพลันเอ่ยปาก “ปฐมราชินี บุตรของท่านคนนี้ไม่เลว แต่สวามีที่ท่านเลือกท่านนี้ ดูท่าจะมีปัญหามากมาย”
ทั่วทั้งตำหนักเงียบงัน
ทุกคนล้วนรู้ดีว่าจู้หรง หลานของกษัตริย์จวนซวี ก่อนหน้านี้ถูกปฐมราชินีหยวนชูเล่นงานจนพิการ ว่ากันว่ายังนอนอยู่ในเมืองเฉาอวิ๋น ปู่ทวดเช่นหันหลิวคนนี้คงจะมาร้องทุกข์ขอความเป็นธรรม
มิหนำซ้ำ… อาจจะไม่พอใจที่ปฐมราชินีลงมือ มิเช่นนั้นจะพูดเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร เพียงแต่ว่าไม่ว่าอย่างไรหันหลิวก็ไม่กล้าระบายความโกรธใส่ปฐมราชินี ได้แต่ระบายใส่สามีท่านนี้ของปฐมราชินี ไม่รู้ว่าปฐมราชินีจะตอบกลับอย่างไร ถึงอย่างไรหันหลิวก็เป็นบิดาของกษัตริย์จวนซวี อาจจะไว้หน้าเขาบ้าง ตำหนิจวินโฮ่วของตนเองสักสองสามคำ แต่แล้ว…
เยี่ยนอวี๋มองหันหลิวอย่างเหยียดหยามแล้วก็ถามว่า “หนักศีรษะเมืองเฉาอวิ๋นของเจ้ารึ”
หันหลิวตะลึงงัน เห็นได้ชัดว่าไม่คิดว่าปฐมราชินีจะถามคำถามเช่นนี้
เยี่ยนอวี๋กวาดตามองเหล่าทวยเทพ พูดขึ้นทีละคำว่า “ข้าถือกำเนิดตั้งแต่ยุคไท่อี้จนถึงปัจจุบัน มิเคยเกรงกลัวปัญหา มิหนำซ้ำหรงอี้สวามีของข้าช่วยข้าไว้มากมาย หากปราศจากเขา วันนี้ข้าคงไม่ได้กลับมาที่นี่ หากพวกเจ้าไม่พอใจหรือคัดค้านสวามีข้าก็เท่ากับไม่พอใจและคัดค้านข้า ข้าจะพูดเรื่องนี้เพียงครั้งเดียว ขอให้ทุกท่านจำให้ขึ้นใจ”
เมื่อสิ้นเสียง… เหล่าทวยเทพพากันคุกเข่าลง “พ่ะย่ะค่ะ ปฐมราชินี!”
สายตาของเยี่ยนอวี๋หยุดอยู่ที่หันหลิวอีกครั้ง ฝ่ายหลังคุกเข่าลงทันที “กระหม่อมจะจำให้ขึ้นใจ”
“ดีมาก” เยี่ยนอวี๋เก็บสายตากลับมาก่อนจะเอ่ยว่า “หลานเจ้าจู้หรงรู้ว่าข้าคือปฐมราชินีหยวนชู กลับยังบังอาจทรยศ ข้าไม่เคยคิดแก้แค้นหลังเกิดเรื่องเพราะเห็นแก่จวนซวี แต่ก็เป็นเพียงครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น เมืองเฉาอวิ๋น ระวังการกระทำของพวกท่านเอาไว้ให้ดี”
“…ขอบพระทัยปฐมราชินี” หันหลิวสีหน้าย่ำแย่สุดขีด ได้แต่กล่าวขอบคุณ เหงื่อซึมหน้าผาก เห็นได้ชัดว่าถูกแรงกดดันศักดิ์สิทธิ์ของเยี่ยนอวี๋กดทับจนแทบจะแตกสลายแล้ว
ทว่าอันที่จริงเยี่ยนอวี๋ไม่ได้เจาะจงที่หันหลิวเป็นพิเศษ นางเพียงแค่ไม่พอใจที่หันหลิวพาดพิงถึงสามีของนาง ดังนั้นความสูงส่งและความเยือกเย็นที่เผยออกมาให้เห็นจากกลิ่นอายก็เพียงพอที่จะทำให้หันหลิวที่โตแต่ตัว ตบะไม่โตไปด้วยหวาดหวั่นอย่างยิ่ง
ในขณะที่เยี่ยนอวี๋ลงโทษหันหลิวสถานเบาเสร็จ ซีหวังหมู่ก็อัดจุ่นเอ่อร์เก๋อจนศีรษะบวมนูน
เสียงของเอเลน่าดังชัดขึ้น “พวกข้าเป็นทูตจากดินแดนแอตแลน! แดนสวรรค์ชั้นเก้าคิดจะสังหารทูตหรือ!”
เมื่อเสียงของนางดังขึ้น…
เยี่ยนอวี๋มองไปที่หยวนสื่อเทียนจุน
หยวนสื่อเทียนจุนรีบถ่ายทอดเสียงไปในทันที “ในเมื่อท่านรู้จักพูดจาดีๆ แดนสวรรค์ชั้นเก้าของข้าย่อมต้อนรับเป็นอย่างดี เชิญซีหวังหมู่ต้อนรับทูตทั้งสองจากแอตแลนเข้ามา”