ตอนที่ 596 ความลับของเทียนตี้! จิตวิญญาณผสานกับภรรยา!
หรงอี้ถามต่อว่า “มีปรากฏการพังทลายอย่างเช่นรอยแตกร้าวหรือการแตกสลายหรือไม่”
“…ยังไม่มีพ่ะย่ะค่ะ” พิกซีมั่นใจว่า แม้ก่อนหน้านี้มันจะไม่ได้ถูกสั่งให้สังเกตการณ์ แต่มันก็มีความรู้สึกไวต่อการเปลี่ยนแปลงของแวดล้อมเป็นอย่างมาก ดังนั้นหรงอี้จึงถามมันโดยตรง ไม่ได้เรียกลูกน้องคนอื่นมา
เพียงแต่ว่า… คำตอบของพิกซีกลับทำให้หรงอี้ขมวดคิ้ว “ได้ เจ้ากลับไปก่อน คอยจับตามองแดนมืดต่อไป จำคำถามของข้าให้ดี และคอยสังเกตรายละเอียดอย่างอื่นด้วย เมื่อเกิดปัญหาที่เจ้ารู้สึกว่าผิดปกติ ให้มารายงานทันที”
“พ่ะย่ะค่ะ เช่นนั้นข้าน้อย…” เดิมทีพิกซีอยากจะถามว่า มันจะมายังแดนเทพอย่างรวดเร็วได้อย่างไร
หยวนสื่อเทียนจุนก็ยื่นป้ายประกาศิตชิ้นหนึ่งให้มัน “นี่คือประกาศิตตำหนักสวรรค์ เจ้ามีป้ายประกาศิตนี้แล้วจะสามารถไปยังทุกๆ ที่ในสวรรค์เก้าชั้นฟ้า การป้องกันของตำหนักสวรรค์และแต่ละชั้นสวรรค์ก็จะไม่ขวางเจ้าเช่นกัน”
“ขอบคุณขอรับ” พิกซีรับป้ายประกาศิตมาก่อนจะกล่าวลาในทันที “ฝ่าบาท เช่นนั้นข้าน้อยกลับแดนมืดก่อนแล้ว”
“อืม” หรงอี้พยักหน้า ในขณะเดียวกันก็จับพู่กันเขียนบางอย่างลงในกระดาษ
หลังจากที่พิกซีจากไป หยวนสื่อเทียนจุนจึงถามว่า “จวินโฮ่ว ท่านรู้แล้วหรือ”
หรงอี้พยักหน้า “ความเป็นไปได้ว่าจะเกี่ยวข้องกับสวรรค์เก้าชั้นฟ้ากลืนกินแอตแลนสามส่วน และเกี่ยวข้องกับบัลเดอร์แห่งแอตแลนห้าส่วน รบกวนเทียนจุนส่งจดหมายให้เซ่าเฮ่า หลังจากเขาฟื้นตัวแล้ว ให้เขาไปแอตแลน ให้ซีหวังหมู่ไปทางเหนือหาปู่จิ่วก่อน”
“ได้” หยวนสื่อเทียนจุนวางใจลงเล็กน้อย ไม่ได้เสนอให้ปลุกเยี่ยนอวี๋ตื่นอีก แต่ขณะที่เขากล่าวลานั้น หางตาเหลือบไปเห็นว่าปฐมราชินียังกอดจวินโฮ่วอยู่เลย หลับไปแล้วยังไม่ยอมปล่อยมือ
หยวนสื่อเทียนจุนยิ้มก่อนจะออกไปจัดแจง
ทว่าหลังจากที่หยวนสื่อเทียนจุนจากไปแล้ว ต้าซือมิ่งก็ไม่ได้อยู่เฉย เขาที่มือข้างหนึ่งกอดภรรยายังคงเขียนบางอย่างต่อไป ขมวดคิ้วเป็นครั้งคราว บางครั้งก็ทำหน้าครุ่นคิด
…
ในขณะเดียวกัน หยวนสื่อเทียนจุนก็นำจดหมายไปให้เซ่าเฮ่าและก็ทูลรายงานสถานการณ์ที่ตนเองรู้แก่เทียนตี้
ในขณะเดียวกัน เทียนตี้ก็สัมผัสถึงสถานการณ์ของแดนมืดได้ เขาที่เดิมทีคิดจะไปแดนมืดด้วยตนเอง หลังจากได้รับสารจากหยวนสื่อเทียนจุนแล้วก็ขมวดคิ้ว “สามีคนนี้ของชูชูเชื่อถือได้หรือไม่”
“ข้าคิดว่าได้” เซ่าเฮ่าได้รับสารจากเทียนจุนพร้อมกับเทียนตี้ ดังนั้นจึงรู้ว่าสถานการณ์ในยามนี้เป็นเช่นไร ไม่รอให้ตนเองฟื้นตัวก็คิดจะไปแอตแลนทันที
แต่เทียนตี้รู้สึกไม่พอใจ “เขาดีขนาดนั้นเลยหรือ ข้าเห็นพวกเจ้าแต่ละคนคงถูกเขาซื้อตัวไปแล้ว เอาแต่ฟังเขา”
“จวินโฮ่วไม่เลวเลยมิใช่หรือ” เซ่าเฮ่าหัวเราะและถามกลับว่า “ตี้จวิ้น เจ้าก็แค่ยังอาลัยต่อนายท่าน คิดว่านางมีครอบครัวของตนเองแล้วจะปฏิบัติต่อเจ้าไม่เหมือนเดิม แต่ข้ารู้สึกได้ว่านายท่านดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก นายท่านในบัดนี้ นางชอบนายน้อย ชอบจวินโฮ่ว ชอบครอบครัวในโลกมนุษย์ นางมีความรู้สึกรักโลภโกรธหลง มีความรู้สึกเศร้าเสียใจและอิจฉา นางไม่ใช่ปฐมราชินีที่มีชีวิตอยู่เพื่อสวรรค์เก้าชั้นฟ้า นางมีชีวิตที่เป็นของนางเองแล้ว”
“แต่ว่าชูชูเช่นนี้ ทำให้นางไม่รู้จักการปูนบำเหน็จความดีความชอบและการตำหนิลงโทษอย่างชัดแจ้งและยุติธรรม นางถึงกับ…” เล่นพรรคเล่นพวก เทียนตี้รู้สึกว่าทั้งหมดนี้เป็นเพราะจวินโฮ่วนั่น
“ไม่ดีหรือ” เซ่าเฮ่ายังคงยิ้ม ยิ้มอย่างเต็มไปด้วยความหมาย “เจ้าไม่คิดหรือว่าแต่ก่อนนายท่านสุดโต่งเกินไป บางครั้งเทพบางองค์แม้จะมีผิด แต่ก็ไม่ถึงกับต้องลงโทษถึงตาย แต่นายท่านในตอนนั้นไม่สนใจ นางตัดสินความเป็นความตายจากความผิดถูกเท่านั้น แม้นี่จะไม่ได้แย่ โดยเฉพาะเมื่อตอนแรกเริ่มที่เราสร้างโลก ครานั้นกฎระเบียบยังไม่เสถียรจึงต้องเข้มงวด แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว ภายใต้การกัดกร่อนความรุ่งเรือง ทวยเทพดั้งเดิมบางองค์ลืมความตั้งใจเดิมไป แต่ขอเพียงตบหน้าแรงๆ สักทีพวกเขาก็จะตื่น เหมือนพ่อของจวนซวี หากเป็นเมื่อก่อน นายท่านต้องให้เขาตายแน่ แต่เจ้าและข้าต่างก็รู้ว่าตอนที่จวนซวีตาย เขาฝากฝังพ่อโง่เขลาคนนี้ไว้กับปฐมราชินีอย่างไร ดังนั้น… หากเขาตาย ปฐมราชินีคงต้องลงโทษตนเอง แต่ตอนนี้นายท่านรู้ว่าจะต้องทำอย่างไรไม่ให้พ่อของจวนซวีกระทำผิดอีก นอกจากนี้ยังทำให้เทพองค์อื่นๆ ไม่คิดอยากจะทำตาม ในขณะเดียวกันก็ไม่ต้องทำให้ตนเองลำบากใจ นี่คือการเปลี่ยนแปลงที่ดีมิใช่หรือ”
“…”
เทียนตี้เงียบ เพราะว่าสิ่งที่เซ่าเฮ่าพูด เขาเก็บไปคิดตาม เพียงแต่ว่า… เขายังคงรู้สึกไม่สบายใจ มักจะคิดว่าคนที่ตนเองใกล้ชิดที่สุดเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน กลายเป็นคนที่ตนเองไม่รู้จักและเข้าใจเช่นในอดีต คนที่ใกล้ชิดกับนางมากที่สุดไม่ใช่เขาหรือพี่น้องที่เขาคุ้นเคยอีกต่อไป
ความรู้สึกเช่นนี้… น่าอึดอัดใจมาก แต่ว่า… เทียนตี้รู้ว่าเซ่าเฮ่าพูดถูก ชูชูเช่นนี้ดีขึ้นกว่าเดิมมาก นางไม่เพียงแต่จะเป็นปฐมราชินีหยวนชูตำหนักไท่ชาง นางยังเป็นมารดาของเด็กน้อยคนหนึ่ง เป็นภรรยาของชายคนหนึ่ง เป็นบุตรสาวของบิดาคนหนึ่ง เป็นน้องของพี่ชายสองคน นางมีชีวิตที่มีสีสันเป็นของตนเอง ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ชูชูไม่เคยมีในอดีต ครานั้นนางมักจะทำงานเพื่อสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอย่างหนัก คอยกังวลในการชี้แนะพวกเขา บัดนี้…
“เจ้ามีอายุตั้งหลายล้านปีแล้ว ไม่ควรให้นายท่านเป็นห่วงอีก ให้นางวางใจเถอะ นางมีชีวิตอยู่เพื่อสวรรค์เก้าชั้นฟ้ามาเก้าสิบล้านปีแล้ว” เซ่าเฮ่ากล่าวอย่างสงบ
เซ่าเฮ่าหวังเป็นอย่างยิ่งว่านายท่านของพวกมันจะมีชีวิตอันสุขสบาย ได้เล่นกับเด็กน้อยทุกวัน ได้รักกับจวินโฮ่ว ได้เป็นบุตรสาวของท่านพ่อเยี่ยนและน้องสาวของพี่น้องตระกูลเยี่ยน
สวรรค์เก้าชั้นฟ้าที่เป็นภาระแห่งนี้ นางแบกรับมานานเกินไปแล้ว เหนื่อยเกินไปแล้ว
ส่วนเทียนตี้…
“อืม”
เขาที่ขานตอบแม้จะรู้สึกอึดอัดใจ แต่เขาก็รับรู้ได้จริงๆ ว่าชูชูในปัจจุบันมีความสุขกว่านางในอดีต ดังนั้นอันที่จริงเขาต้องเริ่มรับผิดชอบการบำรุงรักษาสวรรค์เก้าชั้นฟ้ามากขึ้น เพียงแต่ว่า…
“ทางฝั่งแอตแลนไม่ใช่ยิ่งเพิ่มภาระให้ชูชูหรือ” เดิมทีเทียนตี้อยากจะไป แต่ก็คิดว่าสวรรค์เก้าชั้นฟ้าเป็นรากฐานสำคัญ เขาควรจะปกป้องฐานหลักให้ดี
เซ่าเฮ่าหัวเราะ “วางใจเถอะ ยังมีข้ามิใช่หรือ ให้ข้าจัดการแอตแลนเถอะ”
“…ได้!” เทียนตี้รู้มาตลอดว่าพี่น้องคนนี้ของเขาอันที่จริงทั้งความสามารถและการตระหนักรู้ไม่ได้ด้อยไปกว่าเขา แต่มักจะยอมให้เขา บัดนี้ เขาเต็มใจที่จะเดินขึ้นมาเองย่อมเป็นเรื่องดี
“เช่นนั้นเราพี่น้องก็ช่วยกันแบ่งเบาภาระของนายท่านกัน” เซ่าเฮ่าพูดเสร็จก็จับไหล่ของเทียนตี้ไว้แน่น “แล้วก็หยุดเรียกว่าชูชูได้แล้ว ระวังนายท่านจะเอาเรื่องเจ้า นางต่อยตีคนตอนนี้ต้องเจ็บยิ่งกว่าเดิมแน่นอน”
เทียนตี้ “…รู้แล้ว”
เซ่าเฮ่าจึงยิ้มก่อนจะจากไป ไม่ได้พูดอะไรอีก แม้เขาจะเข้าใจทุกอย่างอย่างแจ่มแจ้ง แต่เขาจะไม่เรียกสติพี่น้องคนนี้ของเขาตลอดไป เพราะว่า… เซ่าเฮ่ารู้ตลอดว่า พี่น้องคนนี้ของเขาอันที่จริงไม่ได้เห็นปฐมราชินีเป็นเพียงคนสนิทธรรมดา แต่ยังมีความรักชายหญิงปะปนเข้ามาด้วย ทว่าพี่น้องคนนี้ของเขาไม่คู่ควรกับปฐมราชินี เมื่อก่อนไม่คู่ควร ตอนนี้ยิ่งไม่คู่ควร พูดตามตรง… อันที่จริงซีเหอเหมาะสมกับพี่น้องคนนี้ของเขาดี เพียงแต่ว่านางโลภมากไปหน่อย หากนางต้องการเพียงอำนาจ เช่นนั้นสองคนนี้จะเป็นคู่ที่สมบูรณ์แบบจริงๆ
พูดอย่างไรดีเล่า ในเรื่องของความรัก พี่น้องคนนี้ของเขาเรียกได้ว่าสวะ เช้าสามเย็นสี่ เห็นคนนี้ก็ดี คนนั้นก็สวย เป็นคนลุ่มหลงในโลกีย์ เช่นนี้คู่กับซีเหอไม่ดีหรอกหรือ หากปฐมราชินีหลงคนปัญญาอ่อนเช่นนี้และยังชอบคนปัญญาอ่อนเช่นนี้เข้าจริงๆ นั่นต้องเหนื่อยใจยิ่งกว่าการกังวลเรื่องสวรรค์เก้าชั้นฟ้าหลายร้อยเท่า
เทียนตี้ผู้อ่อนด้อยในเรื่องความรัก ครานี้เขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพี่น้องของตนไป๋ตี้เหน็บแนมเขาในใจอย่างไร เขากำลังรักษาเสถียรภาพของสวรรค์เก้าชั้นฟ้าและจับตาดูแดนมืดอย่างต่อเนื่อง
…
ในคืนนั้น ในที่สุดหรงอี้ก็วางพู่กันลง เมื่อมองคนที่อยู่ในอ้อมอกก็สบเข้ากับดวงตาคู่งามที่มีประกายสีม่วงเข้ม ทำให้เขารู้สึกราวกับว่าได้หลุดเข้าไปในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวที่เงียบสงบและลึกล้ำ
เยี่ยนอวี๋ที่ไม่รู้ว่าตื่นขึ้นตั้งแต่เมื่อใด นางยังคงอยู่ในท่านอนในอ้อมแขนของต้าซือมิ่ง จนเมื่อ ‘ถูกจับได้’ นางก็ยิ้ม
ดวงตาคู่นั้นเหมือนกับท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวระยิบระยับ สวยงามจนทั่วทั้งท้องฟ้าแพรวพรายไปด้วยแสง ทำให้หรงอี้ที่กอดนางจุมพิตลงบนดวงตาที่กำลังยิ้มคู่นั้น มือข้างหนึ่งก็ลูบคลำใบหน้าและลำคอของนาง “แอบตื่นมาตั้งแต่เมื่อไร หืม?”
เยี่ยนอวี๋ที่กอดต้าซือมิ่งไม่พูดอะไร นางก็จูบใบหน้าของชายคนนี้กลับ เสียงแหบแห้งและเกียจคร้านเล็กน้อยเหมือนคนเพิ่งตื่น “เจ้าทายสิ!”
หรงอี้ที่ประกบริมฝีปากนางทันที เขาก็รู้สึกว่าภรรยากลายเป็นคนซุกซนแล้ว ทั้งยังติดเขามากกว่าเดิม ไม่ใช่เพียงสัญชาติญาณแม้ตอนหลับ แต่ยามตื่นก็เป็นเช่นนี้ด้วย
เจ้าปลาน้อยตัวนี้…
หรงอี้ที่จูบเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์อย่างบรรจงอยู่พักใหญ่แล้ว หลังจากที่เขายับยั้งตนเองได้ ค่อยๆ ถอนจูบออกจากปากของนาง และจูบหน้าผากของนางเบาๆ จูบดอกไม้บนหน้าผากที่ปรากฏขึ้นแล้วไม่จางหายไปอีก “ตื่นมาก็ทรมานคนเลยนะ”
เยี่ยนอวี๋ที่ถูศีรษะของตนไปมาในซอกคอของสามี ขณะที่นางหอบเล็กน้อยก็ตอบอย่างนุ่มนวลว่า “ข้าจำได้แล้ว”
“อะไรหรือ” ต้าซือมิ่งตามไม่ทันในตอนแรก ทว่า… เพียงแค่ครู่หนึ่งเท่านั้น หรงต้าซือมิ่งจู่ๆ ก็บีบเอวของภรรยาไว้แน่น เขาประคองใบหน้าของนางออกจากซอกคอ ขมวดคิ้วเล็กน้อย “คืนนั้น?”
เยี่ยนอวี๋ที่ไม่อยากมองต้าซือมิ่ง นางมุดศีรษะกลับไป จากนั้นก็ตอบอย่างเขินอายว่า “อืม” จำได้หมดแล้ว ในที่สุดก็รู้ว่าเสี่ยวเป่ามาได้อย่างไรแล้ว
“…ฮึ” หรงอี้ที่หัวเราะเบาๆ เขาก็ไม่ได้ถามรายละเอียดอะไร เพียงแค่จูบผมของนางอย่างมีความสุข มือข้างหนึ่งประคองท้ายทอยของนางไว้ “ที่เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์หลับไปนานเช่นนี้ เพราะเหนื่อยอยู่ในความฝันหรือ”
เยี่ยนอวี๋ “…” นางไม่อยากพูดแล้ว!
ทว่าต้าซือมิ่งยังคงหัวเราะ อีกทั้งยังหัวเราะเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ ราวกับเสียงพิณอันไพเราะ ฟังดูมีความสุขมาก ทำเอาปฐมราชินีเยี่ยนที่ได้ยินดังนั้นอดหงุดหงิดไม่ได้ นางจึงอ้าปากกัดคอของเขา
ซี้ด ต้าซือมิ่งที่ร้องซี้ดเบาๆ เขาหันหน้ามาจูบปากที่กระทำความผิดนั้นทันที
เยี่ยนอวี๋ไม่ให้เขาจูบ นางมุดเข้าไปในซอกคอเขา… การกระทำเล็กๆ น้อยที่เต็มไปด้วยความรักของนางทำให้หรงอี้รู้สึกเอ็นดูจนอดจูบใบหูที่แดงระเรื่อของนางไม่ได้ ก่อนจะพูดอย่างนุ่มนวลและรักใคร่ว่า “เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์เด็กดี ให้สามีจูบหน่อยนะ”
เยี่ยนอวี๋หน้าแดงทันที รู้สึกเขินอายจึงอยู่นิ่งๆ ในซอกคอของต้าซือมิ่ง ท่าทางเขินอายที่ดูบอบบางและอ่อนโยนนั่นทำให้หรงอี้รู้สึกอยากจะปกป้องนางไว้ในอ้อมอกเช่นนี้ตลอดไป งดงามและน่ารักเช่นนี้ได้อย่างไร เขาจึงไม่อยากพูดถึงอะไรทั้งนั้น…
ผ่านไปครู่ใหญ่ เยี่ยนอวี๋พูดขึ้นก่อนว่า “เจ้าไม่สงสัยหรือ หรือว่าเจ้าก็จำได้แล้วเหมือนกัน”
ขณะที่ถาม เยี่ยนอวี๋ก็เงยหน้ามองต้าซือมิ่ง ต้าซือมิ่งที่ถูกมองเช่นนี้ เขาก็หลุบตาลง “เปล่า” คำถามนี้แทงใจจริงๆ
ทว่า… ต้าซือมิ่งที่หยิบกระจกที่พกติดตัวตลอดเวลาออกมา เขาก็ให้ภรรยาส่องกระจก “เจ้าลองดูหน้าผากเจ้าสิ”
เยี่ยนอวี๋ที่ยังไม่รู้ว่าหน้าผากตนเองมีอะไร นางเพิ่งเห็นว่าที่แท้บนหน้าผากของนางมีดอกไม้ดอกหนึ่ง สีของมัน…
หรงอี้ที่จูบดอกไม้ดอกนั้นของภรรยา เสียงของเขาเจือรอยยิ้มที่มิอาจจางหายไปได้ “ก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าเหตุใดเจ้าจึงมีเครื่องหมายนี้ ตอนนี้ดูท่าจะเกี่ยวข้องกับข้า เป็นเครื่องหมายที่ข้าทิ้งไว้”
การรับรู้นี้เพียงพอที่จะทำให้ต้าซือมิ่งมีความสุขจนตัวลอย ทำให้เขารู้ว่านี่คือเครื่องหมายของเขาแม้เขาจะจำอะไรไม่ได้ ทำให้เขาจูบหน้าผากของภรรยาอย่างรักใคร่ยิ่งกว่าเดิม “ลืมไม่ลงเลยสินะ”
เยี่ยนอวี๋เงียบอีกครั้ง ยังเบือนหน้าหนีด้วย ทว่าต้าซือมิ่ยังคงรู้สึกมีความสุขต่อไป แต่เยี่ยนอวี๋ที่เบือนหน้าหนีมองไปที่รูปบนโต๊ะใบนั้น นางนั่งตัวตั้งตรงทันที “นี่คือ…”
“ทางเหนือของแอตแลนหรือก็คือจักรวาลที่ถูกแอตแลนกลืนกินก่อนหน้านี้ ตอนที่ข้ากลืนกินสวนเอเดน ก็รับรู้ถึงดินแดนแห่งนั้น พบว่ามันมีจุดที่น่าสนใจ” หรงอี้ตอบพลางหยิบรูปวาดขึ้นมา
เยี่ยนอวี๋ยื่นมือไปรับมา เห็นอักษรลึกลับมากมายบนรูปวาดนั่น อีกทั้ง… นี่ยังไม่ใช่สิ่งสำคัญ… สิ่งที่สำคัญคือ รูปร่างสุดท้ายที่เกิดจากอักษรเหล่านี้คือ โลงศพโลงหนึ่ง?!
“นี่มัน…”
เยี่ยนอวี๋มองไปที่ต้าซือมิ่ง “เกี่ยวข้องกับเจ้าหรือ!”
“อาจจะใช่” หรงอี้ที่กอดภรรยาไว้ก็อธิบายว่า “ข้าวาดสิ่งที่ข้ารับรู้ได้เมื่อครู่นี้จากความจำ พบว่ามันเป็นค่ายกลผนึกมิติแห่งหนึ่ง แต่หลายปีมานี้ผู้ปกครองทางเหนือคือบัลเดอร์ แอตแลน เขาใช้อักษรเหล่านี้เป็นเช่นกัน ดังนั้นบางทีอาจจะเกี่ยวข้องกับเขา มิใช่ข้า”
“เช่นนั้นเราไปดูกันตอนนี้เลย!” เยี่ยนอวี๋เป็นนักเคลื่อนไหว
แต่หรงอี้ไม่ได้ปล่อยมือ ยังคงใช้หน้าผากเขาแตะหน้าผากนางเบาๆ “บางที เราลองใช้อีกวิธีหนึ่งก่อนก็ได้ เปิดจิตเหนือสำนึกของเจ้าให้ข้าเข้าไป”
“?” เดิมทีเยี่ยนอวี๋ไม่ค่อยเข้าใจ แต่นางก็ทำตามแล้ว
จากนั้นนางก็รู้สึกว่าสามีตัวน้อยวิจิตรคนนั้นไหลเข้าไปในหน้าผากของนางแล้ว!?
จากนั้น…