บทที่ 887 หวันหวั่น หนูพยายามสักหน่อย
ฉินเฟิงแค่นเสียงเย็น “รั่วซีของพวกเราได้คุณปู่คุณย่าเธอเลี้ยงดูมากับมือตั้งแต่เล็ก มารยาททางสังคม การค้าขายลงทุน และศิลปะสี่แขนง[1]ล้วนเชี่ยวชาญหมด ผมกล้าพูดเลยว่าทั่วทั้งประเทศนี้ ไม่มีสาวงามพร้อมคนที่สองที่เทียบเธอได้แล้ว ถ้าหัวหน้าตระกูลยืนกรานจะเดินผิดทาง จะให้ผู้หญิงฐานะต่ำต้อยพรรค์นั้นเป็นนายหญิงตระกูลซือให้ได้ และหักหลังการหมั้นหมายของพวกเราสองตระกูล อย่างนั้นก็ขายหน้าตระกูลซือนั่นแหละ ผมไม่มีอะไรจะพูดอีก!”
ฉินเฟิงพูดจบ ก็สะบัดมือจากไปทันที
ฉินรั่วซีเป็นหญิงงามพร้อมอันดับหนึ่งไร้ซึ่งชื่อเสียงด่างพร้อย ถ้าไม่ใช่เพราะตระกูลใหญ่ต่างๆ รู้ว่าฉินรั่วซีจะเกี่ยวดองกับตระกูลซือในอนาคต เกรงว่าคนที่มาขอหมั้นหมายคงเหยียบธรณีประตูตระกูลฉินพังไปแล้ว…
สีหน้าซือหมิงหรงเปี่ยมด้วยความจริงจัง “พี่สะใภ้ ผมรู้ว่าพี่สะใภ้รักหัวหน้าตระกูลมาก แต่พี่ต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของตระกูลด้วยนะครับ หัวหน้าตระกูลไม่ฟังใครทั้งนั้น ตอนนี้ก็มีแค่พี่สะใภ้ที่กล่อมได้ผล ถ้าฝั่งตระกูลฉินเกิดเรื่องวุ่นวายอะไร กลัวว่าจะส่งผลให้ตระกูลซือวุ่นวายและเสี่ยงอันตรายอีก…”
นายหญิงใหญ่ที่หลับตาลงเล็กน้อยลืมตาช้าๆ “วุ่นวาย? วุ่นวายเท่าก่อนที่เจ้าเก้าจะกลับตระกูลซือไหมล่ะ ตอนนั้นถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าเก้า ตระกูลซือก็แตกเป็นส่วนๆ ไปแล้ว อีกอย่าง พวกเธอต้องทำความเข้าใจว่าตอนนี้ตระกูลซือต้องพึ่งพาเจ้าเก้า!”
และตอนนั้นตระกูลฉินอยู่ไหน อ้างว่าเป็นเรื่องในตระกูลซือไม่เหมาะจะแทรกแซงเลยทำแค่กอดอกยืนดู นั่งบนภูเขามองเสือสู้กัน
ตอนนี้ตระกูลฉินก็แค่เพราะเห็นเจ้าเก้ามีอำนาจ จึงนึกถึงการหมั้นหมายที่สองตระกูลตกลงกันไว้ตั้งแต่รุ่นก่อน คิดจะยืนข้างเจ้าเก้า ต้องการเกี่ยวดองเพื่อเพิ่มความมั่นคงให้ตำแหน่ง
ตอนนั้นถ้าไม่ใช่เพราะผลประโยชน์ของตระกูลที่ว่า และการบังคับลูกชายแต่งงานเกี่ยวดอง ก็คงไม่เกิดโศกนาฏกรรมมากมายขนาดนี้ตามมา…
เพื่อปกป้องทั้งตระกูล เธอสูญเสียลูกชายเพียงคนเดียวไปแล้ว แถมยังให้เจ้าเก้าต้องเผชิญความขมขื่นมากมาย…
เธอไม่อาจให้โศกนาฏกรรมเกิดขึ้นใหม่ได้…
ไม่ว่าในอนาคตเจ้าเก้าจะเลือกใครมาร่วมชีวิต ขอแค่แน่ใจว่าผู้หญิงคนนั้นจริงใจดูแลเจ้าเก้า เธอก็จะเคารพและสนับสนุนการเลือกของเขา
เธอเป็นคนของตระกูลซือ แต่ก็เป็นย่าของเจ้าเก้าด้วย…
…
ตกกลางคืน เยี่ยหวันหวั่นและซือเยี่ยหานไปบ้านใหญ่เพื่อร่วมโต๊ะอาหารกับคุณหญิงย่า
คุณหญิงย่ายืนขึ้น ขอบคุณเยี่ยหวันหวั่นด้วยสีหน้าจริงจัง “หวันหวั่น ย่าขอบคุณหนูจริงๆ หนูดูแลเจ้าเก้าดีขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะหนูทุ่มทั้งกายใจคอยอยู่ข้างเขา เจ้าเก้าก็คงจะ…”
ถ้าเมื่อก่อนเลือกปลูกถ่ายอวัยวะ เจ้าเก้าก็นับว่าอยู่ได้นานขึ้นอีกหน่อย แต่ก็แค่ไม่กี่ปี แถมยังต้องทรมานกับการผ่าตัดไม่หยุด แต่ตอนนี้ ร่างกายเจ้าเก้ากลับมีความหวังที่จะหายดีเต็มร้อยแล้ว
เยี่ยหวันหวั่นรีบเข้าไปประคองคุณหญิงย่า “คุณย่าคะ จริงจังเกินไปแล้ว นี่เป็นสิ่งที่หนูควรทำค่ะ”
คุณหญิงย่ามองหลานชายตัวเอง แล้วมองเด็กสาวที่อยู่ด้านข้างเขา สีหน้าเป็นห่วงเป็นใย “สภาพร่างกายของเจ้าเก้า ย่าฟังหมอซุนเล่าแล้ว เรื่องมีผู้สืบทอด ถึงอาจจะค่อนข้างยาก แต่ก็ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้เลย อีกอย่างร่างกายเขาก็กำลังดีขึ้นแล้ว เพราะงั้นหวันหวั่นเอ๊ย หนูพยายามสักหน่อย ยังอาจจะเป็นไปได้…”
ยังมีอีกอย่างที่เธอไม่ได้อธิบายคือ ฐานะในตอนนี้ของหวันหวั่น อยากเข้าตระกูลซือเป็นเรื่องยากเกินไปจริงๆ แต่ถ้าเธอมีทายาทของเจ้าเก้า อาศัยการมีบุตรก็จะได้แต้มต่อเยอะขึ้นมาก ตามหลักแล้วจะได้ใจคนส่วนใหญ่ทีเดียว…
“แค่กๆๆ…” ทันทีที่ได้ยินคำพูดนี้ เยี่ยหวันหวั่นก็เกือบสำลัก
เธอพยายามสักหน่อย?
คุณย่าคะ คำพูดนี้คุณย่าควรจะพูดกับหลานชายตัวเองไหม?
เรื่องอย่างนี้ คนที่มีสิทธิ์ลงมือคือผู้ชายไม่ใช่เหรอ
สมกับเป็นคุณย่าแท้ๆ คงจะรู้เหมือนกันว่าหลานชายตัวเองไม่สันทัดเรื่องด้านนี้เท่าไรนัก…
……………………………….
บทที่ 888 ตามใจเธอก็ได้
ซือเยี่ยหานเหลือบมองหญิงสาวด้านข้างที่มีสีหน้าอักอ่วนแวบหนึ่ง ก่อนเอ่ยปากหน้านิ่งว่า “คุณย่า ผมไม่มีลูกก็ไม่เป็นไร ยังไงคุณหมอซุนก็เคยบอกว่าสภาพร่างกายผมเป็นไปไม่ได้แล้ว หลังจากนี้พวกเราค่อยรับลูกบุญธรรมจากในตระกูลก็ได้”
น้ำเสียงของซือเยี่ยหานไร้ซึ่งหนทางให้เกลี้ยกล่อม
ไม่มีใครเข้าใจดีไปกว่าเขาแล้ว หวันหวั่นไม่ชอบเด็ก และไม่คิดจะมีลูกด้วย
คุณหญิงย่าได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้วแน่นทันที “เด็กคนนี้นี่! รับลูกบุญธรรมเป็นวิธีสุดท้าย หรือว่าชาตินี้หลานไม่อยากมีลูกของตัวเองเหรอ งั้นหวันหวั่นล่ะ หลานเคยคิดถึงหวันหวั่นบ้างหรือเปล่า”
เยี่ยหวันหวั่นก้มหน้างุด ไม่ได้แทรกบทสนทนาของทั้งสองคน
พูดความจริงแล้วกัน เธอไม่ติดอะไรจริงๆ…
ซือเยี่ยหานเอ่ยปาก “หวันหวั่นชอบเด็กมาก แล้วก็อยากมีลูกของพวกเรามากๆ เรื่องนี้ผมรู้สึกผิดต่อหวันหวั่น ผมจะพยายามชดเชยให้เธอสุดกำลัง”
เยี่ยหวันหวั่นฟังแล้วหน้าแข็งค้าง…
หา?
เธอเคยพูดแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร
เธอกระทั่งเคยพูดชัดว่าตัวเองเกลียดเด็กเล็กไม่ใช่เหรอ
ถ้าอย่างนั้น…ซือเยี่ยหานจงใจพูดแบบนี้…
จงใจพูดว่าร่างกายเขาไม่มีหวังแน่นอน พูดว่าเธอยากมีลูกมาก…
ทำให้คุณหญิงย่ารู้สึกว่าตระกูลซือผิดต่อเธอ…
ความจริงคุณหมอซุนเคยพูดว่า ตราบใดที่ร่างกายเขาฟื้นฟูอย่างราบรื่น เขาก็ไม่ต่างอะไรจากคนธรรมดาแม้แต่น้อย
นึกถึงจุดนี้แล้ว ในใจเยี่ยหวันหวั่นพลันเกิดความรู้สึกที่บอกไม่ถูก
ระหว่างทางกลับ
ที่นั่งเบาะหลังของรถเงียบกริบ ทั้งสองคนต่างไม่มีใครเอ่ยวาจา
เยี่ยหวันหวั่นเท้าคาง จ้องซือเยี่ยหานเนิ่นนานด้วยอารมณ์ซับซ้อน
ความจริงเธอสับสนมาก ไม่รู้ทำไม จิตใต้สำนึกของเธอเหมือนไม่ชอบเด็กเล็กมาก ด้านหนึ่งก็คิดว่าทั้งน่ารำคาญทั้งไม่น่ารัก อีกด้านก็คิดว่าชอบชีวิตอิสระไม่มีอะไรผูกมัด
ชีวิตในอนาคตอีกครึ่งหนึ่งในอุดมคติของเธอ คือควรจะท่องเที่ยวรอบโลกอย่างกระฉับกระเฉง ถ้ามีตัวภาระติดสอยห้อยหลังจะหมดสนุกขนาดไหนกัน?
สิ่งมีชีวิตอย่างลูก หน้าที่และความหมายหนักอึ้งเกินไปสำหรับเธอ
แต่ตอนนี้มาคิดดู ถ้าคนที่เธอมีลูกด้วยคือซือเยี่ยหานละก็…
เห็นเยี่ยหวันหวั่นจ้องตัวเองตาไม่กะพริบ ซือเยี่ยหานก็หันไปมองหญิงสาว ส่งสายตาสงสัยไป “คิดอะไรอยู่”
มือเล็กของเยี่ยหวันหวั่นเขี่ยคอเสื้อเขาอย่างสับสน “ที่รัก คุณชอบเด็กไหม”
ซือเยี่ยหานตอบ “ไม่ชอบ”
ชัดเจนแจ่มแจ้งพอ…
ถ้าลูกน้อยในอนาคตของพวกเธอสองคนรู้ว่าพ่อแม่มีทีท่าอย่างนี้ จะช้ำใจขนาดไหนกัน…
ถ้าในอนาคตพวกเธอมีลูกละก็
เยี่ยหวันหวั่นลองถามอีกครั้ง “แล้วถ้าตอนนี้ฉันชอบเป็นพิเศษ อยากมีสักคนโดยเฉพาะล่ะ!”
ซือเยี่ยหานเอ่ยถาม “เธออยากมีเหรอ”
เยี่ยหวันหวั่นตอบ “ฉันพูดว่าถ้าเฉยๆ! ถ้า!”
ซือเยี่ยหานเผยสีหน้าครุ่นคิด หลังผ่านไปนานเขาถึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงฝืนใจ “ตามใจเธอก็ได้”
สวี่อี้ซึ่งกำลังขับรถด้านหน้าพลางแอบมองด้านหลังหมดคำจะพูด
เจ้านาย ท่าทีฝืนใจของคุณไม่จริงใจสักนิดเดียวโอเคไหม…
…
ตอนกลางคืนของเมืองหลวงส่องสว่างไปด้วยแสงไฟ บนถนนกว้างใหญ่ยังคงมีรถเนืองแน่น ยานพาหนะขับผ่านไปมา
บนสะพานลอยที่ฝูงชนแน่นขนัดบางแห่ง
ชายหนุ่มสวมชุดคลุมยาวเรียบง่ายและแต่งตัวเหมือนนักพรตคนหนึ่งนั่งจับเท้าอยู่กับพื้นอย่างไร้ซึ่งภาพลักษณ์
คนสองคนที่อยู่ด้านข้าง คนหนึ่งนอนแน่นิ่งเหมือนคนตาย อีกคนที่แต่งตัวฉูดฉาดกำลังพลิกนิตยสารแฟชั่นเก่าเยินเล่มหนึ่งอย่างออกรส พอมีคนผ่านมาถึงจะร้องว้าวเป็นบางครั้ง
ตลอดทั้งคืน ทั้งสามคนไม่ได้ทำอะไรสักครั้ง ชามตรงหน้าจึงว่างเปล่า
นักพรตใจบริสุทธิ์เอ่ยอย่างไม่แยแส “ครั้งก่อนหัวหน้าตกลงกับเถ้าแก่เนี้ยแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าจะให้เถ้าแก่เนี้ยเยี่ยช่วยงานน่ะ”
อี้จือฮวาเหลือบมองอีกฝ่ายด้วยแววตาเหมือนมองคนโง่ “นั่นเป็นหนทางสุดท้ายต่างหาก จอมมารน้อยฉลาดขนาดนั้น หาคนมาส่งๆ มาจะหลอกได้ยังไง…”
ทั้งสองคนกำลังคุยเล่นกัน ก็พลันมีเสียง ‘แกร๊ง’ ดังขึ้น ในชามตรงหน้าสามคนพลันมีเงินหนึ่งปึกเพิ่มขึ้นมา แถมยังเป็นเงินยูโร…
แม่เจ้านี่มันอะไรเนี่ย!
เป็นเศรษฐีหน้าโง่คนไหนกัน
…………………………………………………
[1] ศิลปะสี่แขนง คือกู่ฉิน หมากกระดาน เขียนพู่กันจีน และวาดภาพจีน