ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年] – บทที่ 9 ผู้ที่ยังอยู่ขั้นกลั่นลมปราณไม่ถือว่าเป็นผู้ฝึกตนที่แท้จริง

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

บทที่ 9 ผู้ที่ยังอยู่ขั้นกลั่นลมปราณไม่ถือว่าเป็นผู้ฝึกตนที่แท้จริง

กึก

ถังเวยกัดฟันแน่น ตอนนี้เจ้าตัวกำลังกำหมัดอย่างสั่นเทา

ถึงแม้ไป๋ชิวหรานยังไม่ได้ทราบตัวตนที่แท้จริงของนาง แต่จะไม่ให้นางรู้สึกโกรธในใจได้อย่างไร

ขณะเดียวกันไป๋ชิวหรานก็ดูเหมือนจะไม่ได้สังเกตเห็นท่าทีของนางเลย เขาค่อย ๆ ลุกขึ้นปัดเศษฝุ่นและเหยียดนิ้วออก

แสงสว่างปรากฏขึ้นที่ปลายนิ้วของเขาเป็นผลให้ถังเวยมองเห็นกองกระดูกที่สูงเป็นภูเขาอยู่บนพื้น

“แน่นอนว่าตัวการหลักคงอยู่ด้านล่างนี้” ไป๋ชิวหรานมองดูศพบนพื้น จากนั้นจึงเริ่มใช้สัมผัสเทวะสำรวจความลึก “ไปกันเถอะน้องถัง”

เมื่อตระหนักได้ว่าเวลานี้ยังไม่สมควรจะมาโกรธ ถังเวยจึงระงับอารมณ์ไว้พร้อมสูดหายใจลึก “ท่านจะไปที่ใด?”

“ไปตัดรากถอนโคนปีศาจตนนี้” ขณะพูด ไป๋ชิวหรานได้จุดไฟขึ้นตรงนิ้วและเดินเข้าไปยังส่วนลึก

ถังเวยวิ่งตามเขาพร้อมเอ่ยถาม “หมายความว่าอย่างไร? อสูรซากศพพวกนั้นไม่ใช่ปีศาจหรือ?”

“นั่นไม่ใช่ตัวจริง พวกมันเป็นแค่เศษเสี้ยวของมันเท่านั้น” ไป๋ชิวหรานเดินไปข้างหน้าพร้อมอธิบาย “เดินไปอีกสักสองก้าวเจ้าก็จะเห็นเอง ตัวจริงของมันอยู่ข้างใน”

ทั้งสองเหยียบโครงกระดูกที่กองอยู่กับพื้นและเดินตรงเข้าไป ไป๋ชิวหรานพาถังเวยตะลุยความมืดตามไอปีศาจที่ลอยออกมา ถึงแม้บรรยากาศรอบด้านจะชวนน่าขนลุกและน่าสะพรึง แต่กลับไม่มีอสูรซากศพปรากฏตัวหรือโจมตีเข้ามาอีก

หลังจากเดินไปได้ชั่วครู่ ไป๋ชิวหรานก็หยุด

“ดูสิ” เขายกมือขึ้นผลักแสงที่อยู่ในมือให้ลอยไปกลางอากาศ จากนั้นมันพลันปล่อยแสงสว่างจ้าราวกับดวงอาทิตย์ขนาดเล็กส่องสว่างไปทั่วถ้ำ

ภายใต้แสงไฟ ถังเวยมองเห็นทุกอย่างชัดเจน และอดที่จะอ้าปากค้างไม่ได้

พื้นที่ของถ้ำใต้ดินนี้กว้างใหญ่กว่าถ้ำข้างบนหลายเท่า ถังเวยสังเกตเห็นกองกระดูกกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ กล่าวได้ว่าพื้นดินทั้งหมดเป็นสีขาวจากโครงกระดูก อีกทั้งยังมีซากศพจำนวนนับไม่ถ้วน

ด้านหน้าของถังเวยและไป๋ชิวหราน บนเนินเขาที่เกิดจากการทับถมของซากศพ มีศพผู้หญิงเปลือยเปล่าและน่าสยดสยองนั่งอยู่ ร่างกายส่วนล่างของมันถูกผสานเข้ากับกองภูเขาซากศพเหล่านี้อย่างสมบูรณ์ ดูเหมือนว่ามันจะกำลังดูดซับความตายและความแค้นที่ไม่สิ้นสุดจากกองซากศพอยู่ หลังจากนั้นไม่นาน ไป๋ชิวหรานและถังเวยได้สังเกตเห็นว่าปากของศพผู้หญิงกำลังอ้าออกพร้อมกับลำคอที่เริ่มโป่งพองขึ้น

“นั่นมันตัวอะไรกัน?!” ถังเวยเอ่ยถามด้วยความรู้สึกขนลุก

“มันคืออสูรที่เกิดจากศพสตรีที่ได้รับการดูดซับพลังหยินและความแค้นอันทรงพลัง โดยปกติพวกเราจะเรียกมันว่ามารดาอสูรซากศพ ซึ่งถือว่าเป็นอสูรที่อยู่ในระดับสูงของพวกอสูรซากศพ” ไป๋ชิวหรานตอบกลับ

“แต่มันค่อนข้างแปลก โดยปกติมารดาอสูรซากศพนั้นไม่ควรถือกำเนิดในโลกมนุษย์ เว้นแต่จะมีการตายจำนวนมาก อสูรดังกล่าวก็มีแนวโน้มที่จะปรากฏขึ้นได้ เหตุใดถึงมีมันอยู่บนภูเขาที่รกร้างเช่นนี้?”

“ไว้ค่อยคิดเรื่องนั้นทีหลัง” ถังเวยรู้สึกว่าท้องของมารดาอสูรซากศพกระตุก “ดูเหมือนว่ามันกำลังจะโจมตีพวกเรา!”

หลังจากถังเวยพูดจบ ร่างของมารดาอสูรซากศพที่นั่งอยู่บนเนินเขาร่างไร้วิญญาณก็พองตัวในลักษณะที่แปลกประหลาด เห็นได้ชัดเจนว่ากำลังมีบางสิ่งที่รูปทรงคล้ายมนุษย์ไหลผ่านช่องท้องขึ้นไปยังปากของมันราวกับอสรพิษที่กำลังจะคายเหยื่อที่กินเข้าไป ทันใดนั้นมารดาอสูรซากศพก็สำรอกซากศพที่รูปร่างคล้ายมนุษย์ออกมา อีกทั้งยังมีเมือกใสปกคลุมทั้งตัว

ร่างดังกล่าวกลิ้งลงมาจากภูเขาซากศพ จากนั้นมันจึงลุกขึ้น ปรากฏว่าเป็นอสูรซากศพ มันคำรามใส่ไป๋ชิวหรานและถังเวย

“เอ่อ…ไอ้ตัวแบบนี้” ไป๋ชิวหรานขมวดคิ้วจากความขยะแขยง “ข้าไม่อยากสัมผัสมัน”

แต่ดูเหมือนอสูรซากศพจะไม่สนใจคำพูดของเขา อสูรซากศพที่ปกคลุมไปด้วยเมือกและมีกลิ่นเหม็นคาวพลันพุ่งมาหาพวกเขาด้วยความเร็วเหนือมนุษย์

ไป๋ชิวหลานกระแทกฝ่ามือออกไป จากนั้นพลังปราณของเขาได้กลายรูปเป็นฝ่ามือขนาดใหญ่บดขยี้อสูรซากศพในทันที แต่ทันใดนั้น มารดาอสูรซากศพก็คายอสูรซากศพตัวใหม่ออกมาอีก

“มันไม่มีขีดจำกัดเลยหรือ?” ถังเวยถามขณะใช้มือปิดจมูกและแอบไปหลบด้านหลังไป๋ชิวหราน

“กล่าวโดยปกติก็คือ ด้วยกระบวนการป้องกันตัวเอง มารดาอสูรซากศพสามารถใช้ซากศพรอบด้านเปลี่ยนให้เป็นอสูรซากศพได้ ยกเว้นแค่กระดูกเท่านั้น” ไป๋ชิวหรานตอบ

“แล้วพวกเราจะทำอย่างไร?” ถังเวยเร่งถาม “ท่านยังมีพลังปราณพอจะสู้กับพวกมันอยู่หรือเปล่า?”

“ไม่มีปัญหา แค่จัดการอสูรซากศพและมารดาอสูรซากศพพร้อมกันก็พอ”

เมื่อเห็นอสูรซากศพอีกสองตัวกำลังกระโจนเข้ามา ไป๋ชิวหรานก็ยกมือขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้ใช้พลังฝ่ามือ แต่เปลี่ยนเป็นประกบสองนิ้วแทน

“ผนึกอัสนี”

เปรี๊ยะ!

มังกรสายฟ้าสีเงินพุ่งออกมาจากปลายนิ้วของเขาพร้อมด้วยเสียงคำราม อสูรซากศพที่พุ่งเข้ามาถูกลำแสงอัสนียิงทะลุจนเป็นผุยผง จากนั้นสายฟ้ายังไม่ถูกทำลาย มันก็พุ่งเข้าโจมตีมารดาอสูรซากศพต่อทันที

พลังแห่งการปัดเป่าความชั่วร้ายพร้อมกับความร้อนสูงบรรจุอยู่ในสายฟ้าก่อนหน้านี้ มันทำให้เกิดการระเบิดครั้งใหญ่และสามารถเผามารดาอสูรซากศพได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ถังเวยเห็นมารดาอสูรซากศพกำลังบิดแขนขาอย่างทรมานอยู่ในเปลวเพลิงพร้อมส่งเสียงร้องที่แปลกประหลาด สิ่งนี้แทบจะทำให้นางรู้สึกคลื่นไส้ แต่หลังจากนั้นไม่นาน เปลวเพลิงก็แผดเผามารดาอสูรซากศพจนกลายเป็นขี้เถ้า

ถังเวยมองอย่างกังวล “จบแล้วงั้นหรือ?”

ไป๋ชิวหรานพยักหน้า “มันคงจบแค่นั้นนั่นล่ะ มารดาอสูรซากศพถูกกำจัดและไม่มีอสูรซากศพปรากฏตัวอีก… อย่างไรก็ตามยังมีอสูรซากศพที่ถูกเศษหินฝังอยู่ด้านนอก พวกมันคงจะขวางทางออกเอาไว้ เมื่อข้าออกไปค่อยจัดการพวกมันพร้อมกัน”

“ขอบคุณท่านมาก ไป๋ชิวหราน” ถังเวยถอนหายใจด้วยความโล่งอก “หากท่านไม่มาที่นี่ เช่นนั้นข้าคงตายไปแล้ว”

“ไม่เป็นไร” ไป๋ชิวหรานเผยรอยยิ้ม “แค่กำจัดความอยุติธรรม”

“ว่าแต่ว่าท่านแข็งแกร่งระดับไหนกัน? ข้าว่ามารดาอสูรซากศพนี้อยู่ขั้นที่สูงกว่ากลั่นลมปราณเสียอีก? แต่ท่านกลับสังหารพวกมันได้ด้วยกระบวนท่าเดียว ยิ่งกว่านั้น ดูเหมือนมารดาอสูรซากศพจะไม่มีอยู่ในบันทึกตำราของตระกูลข้าด้วย?” ถังเวยถามอีกครั้ง

“ไป๋ชิวหราน ท่านเป็นใครมาจากไหนกันแน่?”

“หากข้าบอกว่าเป็นศิษย์ของสำนักกระบี่ชิงหมิง เจ้าจะเชื่อหรือไม่?” ไป๋ชิวหรานกล่าวด้วยรอยยิ้ม

ถังเวยมองเขาอย่างเคร่งขรึมก่อนจะหัวเราะออกมา

“ท่านโกหก ไม่ว่าท่านจะกระทำสิ่งใด ท่านก็ยังอยู่เพียงขั้นกลั่นลมปราณเท่านั้น ข้าเห็นว่าท่านแทบไม่มีรากฐานพลังของผู้ฝึกตนเลย มนุษย์ที่อยู่ขั้นกลั่นลมปราณอย่างท่านกับข้าไม่มีทางเป็นผู้ฝึกตนในสายตาผู้อื่นได้หรอก เช่นนั้นท่านจะเป็นศิษย์สำนักกระบี่ชิงหมิงได้อย่างไร?”

ใบหน้าไป๋ชิวหรานเปลี่ยนเป็นมืดมน ทว่าถังเวยที่กำลังหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังอยู่ไม่ได้สังเกตเห็นสีหน้าของเขาเลยแม้แต่น้อย

หลังจากนั้นไม่นานไป๋ชิวหรานจึงถอนหายใจออกมา

“ลืมมันไปเสียเถอะ ในเมื่อเจ้าต้องการคิดเช่นนั้น…ตอนนี้ยังไม่สายเกินไป ข้าจะพาเจ้าออกไปข้างนอกก่อน ข้าไม่อยากอยู่ในถ้ำเน่า ๆ นี้อีกต่อไปแล้ว”

…………………………………………………………………….

talk : อย่ามาจี้ใจดำกันจะได้ไหม!!! (ไป๋ชิวหรานไม่ได้กล่าว)

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

Status: Ongoing
ณ สำนักกระบี่ชิงหมิง ที่แห่งนี้ยังมี ‘อาจารย์ลุง’ ซึ่งเป็นที่กล่าวขวัญและพบหน้าค่าตาได้ยากอยู่คนหนึ่ง …ที่ถึงแม้จะอยู่เพียงแค่ขั้นพลังชั้นต่ำสุดอย่างกลั่นลมปราณ แต่จะหาใครแกร่งเท่า คงไม่มีอีกแล้ว!‘ไป๋ชิวหราน’ ชื่อนี้ไม่มีใครที่เป็นศิษย์ในสำนักกระบี่ชิงหมิงจะไม่รู้จัก ศิษย์ลูกรักของผู้ก่อตั้งสำนัก อีกทั้งยังเคยเป็นถึงความหวังของสำนักอีกด้วย ใครต่อใครก็บอกว่าเขาเป็นคนมีพรสวรรค์ แต่การที่ไปชิวหรานผู้นี้ต้องมาติดแหง็กอยู่ที่ขั้น ๆ เดิมมาถึงสามพันปี มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ ๆ สวรรค์ต้องเล่นตลกกับเขาอยู่แน่นอน นอกจากจะต้องเร่งบรรลุไปที่ขั้นสูงกว่านี้ให้ไว ๆ เพื่อหลีกหนีความตายแล้ว ยังต้องมารับมือกับเรื่องวุ่นวายทางโลกที่ ‘คนอื่น ๆ’ ชอบพามาหาเขาแบบไม่หยุดไม่หย่อนอีก เห็นเขาใจดีแบบนี้ใช่ว่าจะทำอะไรกับเขาก็ได้นะ!เส้นทางการฝึกตนนั้นไม่เคยง่ายดาย ไป๋ชิวหรานผู้นี้รู้ซึ้งดี ฉะนั้นใครก็ตามที่กล้ามาดูถูกขั้นพลังของเขา ก็เตรียมตัวชักกระบี่มาคุยกันได้เลย!ความตายที่คอยรังควาญไป๋ชิวหรานคือสิ่งใด ขั้นพลังที่เขามักแอบตัดพ้อถึงมันนั้นสูงส่งหรือต่ำเตี้ยเรี่ยดินเพียงไหน โปรดติดตามได้ใน ‘ข้าก็แค่กลั่นลมปราณสามพันปี’

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท