บทที่ 81 แปลงร่างได้ตามต้องการ
ภายในห้องของผู้อาวุโสหลิวแห่งสำนักเทียนอวี้
ผู้อาวุโสหลิวที่นั่งอยู่บนเตียงปรับเปลี่ยนโฉมหน้าทันที เขาถือผลึกสีดำพร้อมโคจรพลังปราณในตัว จากนั้นแทงมันไปที่คอของเยว่เชียนเหลียนที่นั่งประมาทอยู่ตรงขอบเตียง
เสียงผลึกกระทบคอของเยว่เชียนเหลียน แต่เป็นผลึกสีดำเองที่แตกออกเป็นชิ้น ๆ เมื่อกระทบกับผิวอันบอบบาง
“เป็นไปได้อย่างไร?”
‘ผู้อาวุโสหลิว’ เบิกตากว้างก่อนจะเปล่งเสียงอย่างตกตะลึง
“สวัสดี!”
ทันใดนั้น เยว่เชียนเหลียนยื่นมือไปจับใบหน้า ‘ผู้อาวุโสหลิว’ อีกฝ่ายจึงสัมผัสได้ถึงพลังของเยว่เชียนเหลียนถึงกับตกตะลึงพร้อมเอ่ยขึ้น
“เจ้าไม่ใช่เยว่เชียนเหลียน เจ้าคือ…”
“ถูกต้อง!”
ใบหน้าของเยว่เชียนเหลียนค่อย ๆ บิดเบี้ยวแปรเปลี่ยนรูป เส้นผมสีดำเริ่มกลายเป็นสีขาว…จนเปลี่ยนเป็นคนที่ ‘ผู้อาวุโสหลิว’ ไม่ต้องการเห็นมากที่สุด
เขาชี้นิ้วโป้งไปที่ตัวเองพร้อมกล่าวอย่างภาคภูมิใจ
“ข้าเอง ไป๋ชิวหราน!”
หลังจากบ่มเพาะพลังมานาน ทักษะวิชาของเขาก็สามารถเปลี่ยนแปลงรูปกายได้ดั่งใจคิด ครั้งนี้ที่แปลงเป็นเยว่เชียนเหลียนก็เพราะต้องการทดสอบผู้อาวุโสหลิว
สีหน้าของ ‘ผู้อาวุโสหลิว’ เปลี่ยนไปอย่างมาก เขาคิดจะใช้วิชาหลบหนีทันที ทว่าถูกไป๋ชิวหรานใช้มือกดหน้าอกไว้
“อาการบาดเจ็บของผู้อาวุโสหลิวยังสาหัสนัก ดังนั้นต้องนอนพักฟื้นต่อไป”
พลังฝ่ามืออันหนักหน่วงกระแทกเข้าไปในร่างกาย เป็นผลให้แก่นแท้ของ ‘ผู้อาวุโสหลิว’ ถูกทำลายทันที พลังวิญญาณภายในไม่สามารถออกไปไหนได้อีก ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำก่อนจะกระอักเลือดออกมา
“ดูสิ เจ้าไอเป็นเลือดด้วย”
ไป๋ชิวหรานยิ้มอย่างอ่อนโยน จากนั้นจึงยกมือขึ้นกดหน้าผากของ ‘ผู้อาวุโสหลิว’
“ผู้อาวุโสหลิว หลับให้สบายเถอะ”
ขณะพูด ชายหนุ่มโคจรพลังปราณเข้าไปในร่าง ‘ผู้อาวุโสหลิว’ สิ่งนี้ทำให้ร่างของเขาถึงกับดิ้นพล่านจากความทรมาน และไม่นานก็เสียชีวิตตรงหน้าไป๋ชิวหราน
ร่างกายของเขากระตุกอย่างรุนแรง แขนขาขยับไปมาอย่างทุรนทุราย จากนั้นแสงสลัวของจิตวิญญาณลอยออกมาแล้วบินไปด้านนอก มันคือวิญญาณดั้งเดิม มีเพียงไป๋ชิวหรานที่สามารถทำเช่นนี้ได้ และมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
แต่ถึงแม้จะเห็น ไป๋ชิวหรานก็ไม่ได้สนใจนัก เขาปล่อยให้วิญญาณดั้งเดิมของ ‘ผู้อาวุโสหลิว’ หนีออกไปภายใต้การมองเห็นทุกอย่าง
หลังจากนั้นไม่นาน หลีจิ่นเหยากับถังรั่วเวยก็เปิดประตูเข้ามา ด้านหลังพวกนางมีเยว่เชียนเหลียนที่เผยท่าทีเศร้าโศกอยู่
“เจ้าจับได้แล้วสินะ?”
ไป๋ชิวหรานเอ่ยถาม
หลีจิ่นเหยาพยักหน้าก่อนจะนำศิลาวิญญาณสีเขียวขึ้นมา แสงของมันส่องสว่างวาบไปทั่วห้อง
นี่เป็นเหตุผลที่ไป๋ชิวหรานขอให้นางกับถังรั่วเวยมาเตรียมการอยู่ที่นี่ก่อน พวกนางได้จัดรูปแบบอาคมที่ซับซ้อนจากยมทูตเชวียหลิง ถึงแม้จะมีพลังไม่เทียบเท่ายมทูต แต่ก็สามารถจับวิญญาณในโลกมนุษย์ได้
“ดีมาก ส่งมาให้ข้า”
ไป๋ชิวหรานเก็บศิลาแล้วมองไปที่เยว่เชียนเหลียนที่เผยใบหน้าเศร้าโศก
“เสี่ยวเยว่ เจ้า…”
“ข้าไม่เป็นไรท่านบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิง”
เยว่เชียนเหลียนยิ้มอย่างขมขื่นพร้อมกล่าว
“เมื่อคิดดูให้ดีแล้ว ผู้อาวุโสหลิวไม่ได้เก่งกาจเรื่องการต่อสู้…แล้วเขาจะหนีจากเมืองโบราณได้อย่างไร แม้แต่ศิษย์พี่ยังทำไม่ได้…ข้าคิดว่าเซียนปฐพีอาจจะใช้โอกาสที่พวกเขาหนีออกมาจากเมืองโบราณแล้วโจมตีพี่ใหญ่จากด้านหลัง”
ไป๋ชิวหรานไม่รู้ว่าจะใช้คำไหนปลอบโยนในตอนนี้ ถึงแม้ชายตรงหน้าจะกลายเป็นเจ้าสำนักแล้ว ซึ่งเขาเฝ้าดูชายผู้นี้เติบโตมาโดยตลอด ในสายตา…เยว่เชียนเหลียนเป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่ง
“ข้าสบายดี บรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิง”
เยว่เชียนเหลียนมองไปที่ไป๋ชิวหรานพร้อมกล่าว
“เรื่องนี้ไม่ใช่ความรับผิดชอบของท่านด้วยซ้ำ ไม่จำเป็นต้องโทษตัวเอง เซียนปฐพีมีชีวิตอยู่แล้วในโลก ต่อให้ไม่มาในครั้งนี้ ครั้งหน้าก็คงมา ผู้ฝึกตนย่อมต้องฝ่าฟันอุปสรรคและสิ่งร้าย ๆ ตลอดเวลา ผู้อาวุโสหลิวกับพี่ใหญ่แค่โชคร้ายสิ้นลมระหว่างทางเท่านั้น”
ไป๋ชิวหรานทำได้เพียงเอื้อมมือไปตบไหล่
“อดทนไว้”
“ข้าเข้าใจ”
เยว่เชียนเหลียนพยักหน้า
“ข้าไม่ใช่เด็กน้อยเหมือนเมื่อวันวานอีกแล้ว ท่านนำวิญญาณของมันออกไปเถอะ ต่อให้ผู้อาวุโสหลิวกับพี่ใหญ่จะตายไป ข้าก็จะเป็นเจ้าสำนักเทียนอวี้ต่อไป”
ไม่นานเขาได้กล่าวต่อ
“บรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงไปจัดการเรื่องนี้ให้จบเสีย ข้าจะเขียนทำเรื่องการมรณะของทั้งสอง… โปรดอย่าปล่อยให้พวกเซียนปฐพีหนีไปได้”
“ข้าจะทำให้สำเร็จ”
ไป๋ชิวหรานพยักหน้าก่อนจะมองไปที่ถังรั่วเวยกับหลีจิ่นเหยา
“พวกเจ้าอยู่ที่นี่ ข้าจะไปจัดการเอง”
…
หลังออกจากสำนักเทียนอวี้ ไป๋ชิวหรานก็ตรงไปยังเมืองหลวงของจักรวรรดิโบราณในรัฐซ่างหลิง แต่ทันใดนั้นชายหนุ่มก็รู้สึกได้ว่าสถานที่แห่งนี้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
ลำแสงที่เปล่งออกมาจากเมืองโบราณหายไป ก่อนจะแทนที่ด้วยยอดเขาสูงหนึ่งพันจั้งในลักษณะกลับหัวอยู่กลางอากาศ อีกทั้งยังขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ยอดเขาดังกล่าวห้อยหัวลงมาเหนือพื้นดินของเมืองโบราณ
ไป๋ชิวหรานมองไปรอบ ๆ จนพบกลุ่มของซูเซียงเสวี่ยที่ประตูเมืองโบราณ ชายหนุ่มจึงเดินเข้าไปหาแล้วเอ่ยถาม
“เกิดอะไรขึ้น?”
“ระหว่างการต่อสู้ เขตอาคมถูกสร้างจนสำเร็จ”
ซูเซียงเสวี่ยมองขึ้นไปบนท้องฟ้าอีกครั้ง
“ข้าเกรงว่านี่คงเป็นจุดประสงค์หลักของพวกเซียนปฐพี พวกเขาปลุกสิ่งที่ต้องการได้แล้ว”
ผู้อาวุโสแห่งสำนักเสวียนฝ่ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าและกล่าว
“ภูเขาลูกนี้เชื่อมต่อกับโลกใบเล็ก ๆ อีกแห่งหนึ่ง มันคือถ้ำจื้อเซียน!”
ใบหน้าของเขาเผยความตื่นเต้นราวกับว่าอยากจะเข้าไปทันที
“รั้งตัวเขาไว้ ในสถานการณ์เช่นนี้ ข้าไม่อยากได้ยินผู้อาวุโสชิวอวี่เซวียนพูดพร่ำ”
ไป๋ชิวหรานเอ่ยเตือนและกล่าวต่อ
“ผู้บัญชาการจางและท่านอาจารย์เว่ยเฉิน ได้โปรดดูแลเขาให้ที อย่าให้เข้าไปได้”
คนทั้งสองพยักหน้าขึ้นลงเบา ๆ ไป๋ชิวหรานพุ่งไปหาหวงฝู่เฟิง มองไปยังศพที่นอนอยู่บนเปลหาม ชายหนุ่มรู้สึกหดหู่เล็กน้อย
“ข้าเสียใจสำหรับการสูญเสีย”
หลังจากนั้นชายหนุ่มก็ตบไหล่เจ้าสำนักอสูรสวรรค์พร้อมกล่าว
“เสี่ยวเยว่กำลังเตรียมพิธีศพ นำร่างของเขากลับไปสำนักเทียนอวี้ก่อนเถอะ”
“อืม…ตกลง”
หวงฝู่เฟิงตอบกลับ
“วิญญาณของเซียนปฐพีที่เจ้าสังหารล่ะ?”
ไป๋ชิวหรานถามอีกครั้ง
“อยู่ในกระบี่จี้หลิง”
หวงฝู่เฟิงตอบกลับ
“ข้าอยากพามันไปทรมานด้วยเตาหลอมวิญญาณในสำนักอสูรสวรรค์… บรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงต้องการจะทำสิ่งใด?”
ไป๋ชิวหรานอธิบายถึงข้อตกลงระหว่างเชวียหลิงสั้น ๆ ก่อนจะเอ่ยถาม
“เจ้ามอบวิญญาณของเขาให้ข้าได้หรือไม่?”
“บรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงรับรองได้หรือไม่ว่าเขาจะถูกทรมานเฉกเช่นเดียวกับเตาหลอมวิญญาณ?”
หวงฝู่เฟิงถามกลับ
“อืม…”
ไป๋ชิวหรานคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“หึ… จะเป็นเหมือนนรกบนดินเลยล่ะ”
“ดี”
หวงฝู่เฟิงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ จากนั้นก็นำกระบี่จี้หลิงออกมาจากด้านหลังแล้วมอบให้กับไป๋ชิวหราน
“ข้าคงรบกวนบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงเตรียมการแล้ว”
“ข้าไม่จำเป็นต้องจัดการ หากการต่อสู้เช่นนี้ล้มเหลว ยมโลกคงจัดการเรื่องนี้ต่อ”
ไป๋ชิวหรานหยิบกระบี่จี้หลิงแล้วหันไปพูดกับซูเซียงเสวี่ย
“ข้าจะออกไปสักพัก”
ชายหนุ่มถือกระบี่เดินออกไปในที่อับสายตา จากนั้นร่ายอาคมอัญเชิญยมทูต
สายลมพัดโชยมาเบา ๆ กระทบต้นหลิว จากนั้นร่างของเชวียหลิงก็ปรากฏขึ้นอย่างเงียบ ๆ ด้านข้างไป๋ชิวหราน