บทที่ 219 รำลึกความหลัง
“หลังจากที่ท่านส่งภรรยาของท่านไปยังต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ฝูซาง นายหญิงก็ริเริ่มสั่งสอนให้ข้าทำการฝึกตน”
หลินรุ่ยที่ยืนอยู่เหนือหัวเรือบอกเล่าให้ไป๋ชิวหรานได้รับทราบ
“ในปีที่ห้าสิบหลังจากนั้น บ่าวสามารถเปลี่ยนแปลงร่างกายของตนได้สำเร็จ นับแต่นั้นเป็นต้นมา นายหญิงจึงได้ตั้งชื่อให้กับบ่าว และขอให้คอยติดตามนางในฐานะสาวรับใช้”
“อ๋อ”
ไป๋ชิวหรานพยักหน้ารับ จากนั้นชี้ไปยังเต่าทมิฬขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านหน้าลำเรือ แล้วเอ่ยถาม
“แล้วเจ้าตัวนี้ล่ะ? ข้าได้ยินแม่นางเฟิงเจียนเรียกเขาว่าท่านตา เรียกเจ้าว่าท่านยาย”
“เป็นสามีของข้าเองเจ้าค่ะ”
หลินรุ่ยก้มศีรษะลงพร้อมเอ่ยตอบ
“เขาเป็นลูกหลานจากเผ่าพันธุ์เต่าทมิฬ ได้รับการสั่งสอนโดยจักรพรรดิเซียนให้ได้รับการฝึกฝนจนกลายเป็นผู้ฝึกตนฝ่ายมาร ชื่อคือเจี่ยเฉวียน จักรพรรดิเซียนส่งเขาให้คอยลาดตระเวนไปรอบ ๆ ฝูซางเพื่อให้ดูแลรักษาความปลอดภัย ส่วนนายท่านของเขาคือเทพธิดาซีเหอ และเทพอีกาสามขา”
จากนั้นพวกเจ้าก็ตกหลุมรักซึ่งกันและกัน และอยู่ด้วยกันสืบมา
ไป๋ชิวหรานกล่าวเสริมภายในใจ
“เป็นเช่นนี้นี่เอง”
เมื่อได้ยินว่าหลินรุ่ยมีสามีแล้ว ซูเซียงเสวี่ยพลันถอนหายใจออกด้วยความโล่งอก สีหน้าของนางแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนลง
ประเพณีการยกสาวรับใช้ใกล้ชิดของตนให้คอยปรนนิบัติสามียังเป็นที่นิยมในเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดิน นับประสาอะไรกับแนวคิดของคนในสมัยโบราณ…
หลินรุ่ยมีชีวิตอยู่มาเป็นเวลายาวนาน แม้ว่าซูเซียงเสวี่ยจะไม่ใช่สตรีที่แสดงออกผ่านสีหน้าและท่าทางอย่างตรงไปตรงมาว่ายินดีหรือโกรธเคือง ทว่าสามารถล่วงรู้ความคิดของอีกฝ่าย ดังนั้นจึงเผยรอยยิ้มกว้าง
“สมัยที่ข้าและสามีร้องขอการแต่งงานจากนายหญิง ความสัมพันธ์ระหว่างเผ่ามนุษย์กับอสูรเผ่ามารนั้นค่อนข้างตึงเครียดมากทีเดียว เราพร้อมที่จะหลบหนีออกไปด้วยกันอยู่รอมร่อ แต่ต้องขอบคุณนายหญิงของข้าที่ให้การอนุญาต”
“เข้าใจแล้ว”
ซูเซียงเสวี่ยหันมองไปทางไป๋ชิวหรานแล้วตอบกลับ
“หากข้าเป็นนางก็คงอนุญาตเช่นเดียวกัน”
ความเร็วในการลากลำเรือของเจี่ยเฉวียนนั้นรวดเร็วยิ่ง ทุกคนต่างหันหน้าพูดคุยกันมากขึ้นพร้อมหัวเราะกันไปพลาง ขณะที่เขาพาลำเรือแล่นไปยังสถานที่ตั้งของมหาวิหารฝูซาง ฉับพลันพื้นที่โดยรอบเริ่มเกิดความแปรปรวน หลีจิ่นเหยาที่สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงอันคุ้นเคยนั้นจึงโพล่งขึ้นด้วยความประหลาดใจ
“นี่คือ?”
“ใช่แล้ว นี่คือกระบวนการบิดเบือนห้วงมิติ”
ชายหนุ่มพยักหน้าแล้วกล่าวต่อไป
“มหาวิหารถูกแปรเปลี่ยนให้ไปอยู่ในห้วงมิติอื่น… เคล็ดลับเช่นนี้ผู้ใดเป็นคนสร้างขึ้นกัน หลานเอ๋อร์หรือว่าลี่?”
หลินรุ่ยรีบตอบกลับ
“เป็นฝีมือของจักรพรรดิเซียนไป๋ลี่เจ้าค่ะ”
“ประเสริฐยิ่ง คุ้มค่ากับที่ข้าเพียรสั่งสอน”
ไป๋ชิวหรานวิเคราะห์เพียงครู่ก็สามารถจดจำเคล็ดลับนี้ได้อย่างรวดเร็ว จึงหันไปสอนให้ถังรั่วเวยที่กำลังเหม่อมองดูทะเลเมฆหมอกเป็นบทเรียน
“เจ้าเห็นสิ่งนี้หรือไม่? จงเรียนรู้เพิ่มเติมจากศิษย์น้องของเจ้าเสีย”
“อะไรกัน?”
ถังรั่วเวยได้ยินแล้วพลันเกิดความสับสนขึ้นมาทันที
“หมายความว่าอย่างไร? ข้าไปมีศิษย์น้องตั้งแต่เมื่อใดกัน?”
“เด็กโง่เอ๋ย”
ไป๋ชิวหรานส่ายหน้าพร้อมถอนหายใจ
“วิชาหลอมสร้างกายของเจ้าหยุดชะงักเมื่อไปถึงระดับที่สามสิบห้า ดังนั้นต้องรู้ก่อนว่าห้าระดับขั้นสุดท้ายที่เริ่มต้นจากระดับขั้นที่สี่สิบห้า จะเป็นด่านสุดท้ายที่สามารถเปลี่ยนชีวิตของเจ้าไปตลอดกาล”
ถังรั่วเวยมองค้อนเขาเล็กน้อย ทว่าไม่กล่าวคำใดออกมา
แม้ว่าพรสวรรค์ของนางนับว่าไม่เลว แต่เมื่อเปรียบเทียบกับไป๋ลี่ที่ครอบครองสรีระเซียนเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ จึงนับว่ายังอ่อนแอกว่ามาก แน่นอนว่าไป๋ชิวหรานมักจะย้ำเตือนอยู่เสมอว่าพรสวรรค์ไม่สามารถใช้เพื่อแก้ไขปัญหาทั้งหมดได้ ประเด็นสำคัญคือความทะเยอทะยาน ความพากเพียร สติสัมปชัญญะ และแง่มุมอื่น ๆ ที่อย่างไรไป๋ลี่ก็ยังอยู่เหนือกว่าถังรั่วเวยอยู่ดี
เป้าหมายของเขาคือการสร้างความหวังให้เผ่ามนุษย์ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ทว่าเป้าหมายของถังรั่วเวยคือการทำให้ร่างกายตนเองมีหน้าอกที่ใหญ่ขึ้นเท่านั้น บางทีสิ่งเดียวที่ทั้งสองสามารถแข่งขันจนสูสีได้ อาจเป็นความมุ่งมั่นที่จะไล่ตามเป้าหมายให้สำเร็จ
กลุ่มทะเลเมฆหมอกก่อตัวขึ้นเป็นอุโมงค์แห่งห้วงอวกาศ หลังจากที่เต่าทมิฬยักษ์นำลำเรือผ่านชั้นบรรยากาศขึ้นไปแล้ว กลุ่มเมฆหมอกพลันสลายหายไป ในที่สุดทุกคนก็มาถึงที่ตั้งของมหาวิหารฝูซาง
สิ่งที่ปรากฏต่อหน้าทุกคนในเวลานี้คือกิ่งก้านสาขาขนาดใหญ่ที่ทอดยาวข้ามเมฆ กิ่งก้านหนาทึบที่ชอนไชคดเคี้ยวเข้าไปท่ามกลางก้อนเมฆนั้นไม่อาจคาดคะเนความยาวได้ เป็นเสมือนกับทิวเขาที่โผล่พ้นเมฆหมอกขึ้นมา มหาวิหารฝูซางที่ถูกกล่าวขานถึงแต่เพียงตำนานถูกสร้างขึ้นเหนือยอดไม้เหล่านี้
“นั่นคือกิ่งก้านสาขาของต้นไม้ใดกัน?”
ซูเซียงเสวี่ยมองไปยังกิ่งไม้ที่ใหญ่โตประหนึ่งภูเขาพร้อมเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจยิ่ง
“มันคือกิ่งไม้ที่งอกเงยออกมาจากต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ฝูซาง”
หลินรุ่ยอธิบาย
“เมื่อครั้งจักรพรรดิเซียนย้ายต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ฝูซางออกไป เทพธิดาซีเหอได้แบ่งกิ่งก้านสาขาหนึ่งไว้ให้กับนายหญิง ก่อนที่ท่านจะได้เปลี่ยนมันให้กลายเป็นวิหาร นี่จึงเป็นที่มาของมหาวิหารฝูซาง”
เจี่ยเฉวียนลากดึงลำเรือขึ้นจอดเทียบฝั่ง หลินรุ่ยร่ายเวทคาถาให้บันไดเลื่อนลงจากเรือ นางพาทุกคนเดินลงไปตามบันไดดังกล่าวสู่กิ่งไม้ที่ทอดยาวตรงหน้า เต่าทมิฬก็กระโดดขึ้นจากก้อนเมฆ กลายร่างเป็นชายวัยกลางคนที่มีรูปร่างท่าทางซื่อสัตย์ ก้าวเดินติดตามหลินรุ่ยไป
ภายในวิหารมีผู้คนมากมาย ทว่าล้วนแล้วแต่เป็นสตรี เมื่อเห็นเช่นนี้ไป๋ชิวหรานจึงกล่าวว่า
“ที่นี่มีสตรีอาศัยอยู่มากมายเสียจริง”
“นอกจากสามีของข้าแล้ว ภายในมหาวิหารฝูซางก็ไม่มีบุรุษอื่นอีก”
หลินรุ่ยตอบกลับ
“ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงคำครหา ข้าและสามีจึงอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ห่างไกลออกไปจากบริเวณรอบวิหาร”
“เพราะเหตุใดกัน?”
“เพราะนายหญิงเคยกล่าวไว้ว่าตัวนางเป็นสตรีที่แต่งงานแล้ว จึงเป็นการไม่เหมาะสมหากจะอยู่ใกล้ชิดกับบุรุษอื่นจนเกินงาม”
หลินรุ่ยเหลือบมองชายหนุ่มครู่หนึ่งก่อนกล่าวต่อไป
“หญิงสาวส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ที่นี่ ล้วนเป็นเด็กกำพร้าที่นายหญิงรับมาจากโลกมนุษย์เพื่ออุปถัมภ์ผ่อนคลายความเบื่อหน่ายในบางครั้ง หรือเป็นศิษย์ที่มาร่ำเรียนวิชาโดยเฉพาะ ก่อนหน้านี้เคยมีศิษย์ชายมาขอฝากตัวร่ำเรียนที่นี่ ทว่านายหญิงไม่ยอมรับให้ผ่านประตูวิหาร ทว่ารับไว้เป็นศิษย์แต่เพียงในนามเท่านั้น ถึงกระนั้นท่านก็ยังพร่ำสอนพวกเขาถึงเคล็ดวิชาต่าง ๆ อย่างไม่น้อยหน้า”
“แล้วหากบรรดาหญิงสาวที่นี่ถึงคราวแต่งงานเล่า?”
ไป๋ชิวหรานหันไปมองนางพร้อมเอ่ยถาม
“ศิษย์ชายจะออกไปใช้ชีวิตด้วยตนเองหลังจากจบการศึกษาเล่าเรียน ส่วนหญิงสาวที่อาศัยอยู่ที่นี่สามารถออกไปจากที่นี่เพื่อแต่งงานมีสามีได้ แต่ต้องไปพบอาจารย์ของพวกนางเพื่ออนุญาตลาออกก่อน”
หลินรุ่ยตอบกลับ
“สำหรับพวกเขาแล้ว มหาวิหารฝูซางเปรียบเสมือนบ้านหลังที่สองของครอบครัว แน่นอนว่าศิษย์ชายไม่สามารถอาศัยอยู่ที่นี่ได้ตามต้องการ สามีกับตัวข้าได้รับการยกเว้นให้อาศัยอยู่ที่นี่ เพราะเราได้รับความไว้วางใจ และเพื่อที่จะรับใช้นายหญิงได้สะดวก”
หลินรุ่ยนำกลุ่มคนผ่านเข้าไปด้านในจนถึงใจกลางของวิหาร ที่มีห้องโถงขนาดใหญ่โตโอ่อ่า ลักษณะคล้ายคลึงกับวิหารที่เขาและเจียงหลานเคยอาศัยอยู่ร่วมกัน สมัยที่ยังเป็นแม่ทัพภายใต้บังคับบัญชาของจักรพรรดิตะวันออก
สาวรับใช้หลายคนเดินไปมาอยู่นอกห้องโถงใหญ่ ไป๋ชิวหรานจดจำพวกนางได้ทันที พวกนางคือสาวรับใช้ที่จักรพรรดิตะวันออกไท่อีมอบเป็นของกำนัล สาวรับใช้เหล่านี้ต่างจดจำเขาได้ในทันทีด้วยเช่นกันจึงพากันโค้งคำนับด้วยความประหลาดใจระคนยินดี พร้อมกล่าวว่า
“นายท่านกลับมาแล้ว! คำนับนายท่านเจ้าค่ะ”
การแสดงออกของบรรดาสาวรับใช้เหล่านี้ยิ่งทำให้เห็นถึงสถานะและตัวตนของไป๋ชิวหรานชัดเจนขึ้นไปอีก ทว่า หลังจากเห็นพวกนางคุกเข่าคำนับไป๋ชิวหรานอย่างนอบน้อม สีหน้าของเฟิงเจียนเหยาพลันซีดเผือดอีกครั้ง
“เสี่ยวเหยา เจ้ากลับไปก่อนเถอะ”
หลินรุ่ยหันไปสั่งความกับเฟิงจินเหยา จากนั้นหันกลับไปหาไป๋ชิวหราน ก้มศีรษะพร้อมกล่าวว่า
“โปรดเข้าไปด้านในเถิด นายหญิงอยู่ด้านในเจ้าค่ะ… นางรอคอยท่านมานานเหลือเกินแล้ว”
“ข้ารู้”
ชายหนุ่มมองตรงไปยังวิหารตรงหน้า ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก
เขาก้าวเดินไปข้างหน้า ขณะเดียวกันซูเซียงเสวี่ยก็เอื้อมมือออกไปคว้าแขนหลีจิ่นเหยาและถังรั่วเวยที่ต้องการติดตามเขาเข้าไปไว้เสียก่อน
“ช้าก่อน ปล่อยให้พวกเขาใช้เวลาอยู่ร่วมกันตามลำพังสักครู่”
ซูเซียงเสวี่ยประมุขแห่งสำนักเหอฮวนพยักพเยิดไปทางแผ่นหลังของเขา
ไป๋ชิวหรานเดินขึ้นบันไดไป ก่อนจะผลักประตูวิหารให้เปิดออก ภายในอีกฝั่งของประตู มีการตกแต่งอย่างวิจิตรตระการตาที่คุ้นเคย เช่นเดียวกันกับวิหารที่เคยอาศัยอยู่บนดินแดนตะวันออกไม่มีผิดเพี้ยน
ร่างเล็กกะทัดรัดที่คุ้นเคยเป็นอย่างดีนั่งอยู่บนพรมกลางห้องโถง นางสวมใส่ชุดกระโปรงสีขาวเรียบง่ายทว่าดูแล้วสง่างามยิ่ง เสื้อคลุมแขนยาวรวมถึงชายกระโปรงแผ่ออกไปตามพื้น ผมยาวสลวยสีดำสนิทถูกรวบขึ้น เผยให้เห็นลำคอระหงรวมถึงแผ่นหลังบางส่วนที่ขาวผ่องราวหิมะ
เมื่อได้ยินเสียงผลักประตู นางจึงหันมองย้อนกลับไปพร้อมเผยรอยยิ้มพิมพ์ใจให้กับไป๋ชิวหราน…