ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年] – บทที่ 232 ผนึกของโลกอสูร

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

บทที่ 232 ผนึกของโลกอสูร

“โปรดรีบลุกขึ้นเถิด”

ไป๋ชิวหรานยื่นมือพยุงชายชราขึ้นจากพื้นและถามว่า

“ไม่ทราบว่าเจ้าเป็นใคร?”

“ชายชราผู้ต่ำต้อยคือหนึ่งในภูตผีที่บรรพชนเซียนเคยช่วยให้พ้นจากเทพผู้ชั่วร้าย”

ชายชราดูซาบซึ้งระคนตื่นเต้นและตอบว่า

“ไม่สำคัญหรอกว่าท่านจะจำผู้ต่ำต้อยเช่นข้าไม่ได้ แต่ชายผู้ต่ำต้อยจะไม่มีวันลืมตัวตน ท่านสร้างยมโลกขึ้นมาและมอบความหวังให้กับพวกข้า”

“แค่ก อย่างนี้นี่เอง”

เมื่อได้ยินชายชราชื่นชมมากขนาดนี้ ไป๋ชิวหรานจังรู้สึกอายเล็กน้อย เมื่อเห็นดังนั้น เจียงหลานจึงกล่าวแนะนำว่า

“ชายชราผู้นี้คืออิ๋นฉีเฉิง เคยเป็นหนึ่งในสามยมโลกผู้คอยดูแลยมโลกจากเสี่ยวเหลียน ท่านผู้ทรงเกียรติอิ๋น ตอนนี้เขาถอนตัวมาอยู่ที่นี่แล้ว แต่น่าจะเป็นหนึ่งในผู้ที่มีความรู้ดีที่สุดในยมโลก”

ไป๋ชิวหรานพยักหน้า ชำเลืองมองเจียงหลานด้วยความซาบซึ้ง อีกฝ่ายยิ้มตอบกลับมา หลังจากท่านผู้ทรงเกียรติอิ๋นได้ฟังคำแนะนำของเจียงหลานแล้ว เขาก็เข้าใจในทันทีแล้วกล่าวว่า

“บรรพชนอยากถามอะไรเกี่ยวกับยมโลกหรือ ชายชราผู้ต่ำต้อยรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง”

“เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าช่วงนี้ยมทูตยุ่งอยู่กับเรื่องอะไร?”

ไป๋ชิวหรานถามเขา

“ข้ารู้”

ท่านผู้ทรงเกียรติอิ๋นตอบ

“การจลาจลประจำวันของโลกอสูร บรรดาผู้กระทำผิดกำลังถูกปราบปราม หลานสาวของข้าเพิ่งไปเป็นผู้ช่วยฝึกหัด ไม่นานมานี้ยุ่งตัวเป็นเกลียวทั้งกลางวันและกลางคืน ไม่ได้กลับบ้านมากินข้าวเย็นหลายวันแล้ว”

“เรื่องนี้… ไม่ได้เกิดขึ้นทุกวันใช่หรือไม่?”

ไป๋ชิวหรานขมวดคิ้วขณะถาม

“อย่างที่ท่านทราบ ทุกวันนี้มีภูตผีทรงพลังอยู่ทุกหนแห่งในโลกมนุษย์ มีแม้กระทั่งอสูรที่เดินทางไปโลกมนุษย์เพื่อกระทำเรื่องชั่วโดยตรง”

“มีเรื่องเช่นนั้นด้วยหรือ?”

ท่านผู้ทรงเกียรติอิ๋นขมวดคิ้วแล้วตอบว่า

“น่าจะเป็นปัญหาเรื่องการจัดวางในส่วนลึกของโลกอสูรแล้ว”

“หมายความว่าอย่างไร?”

ไป๋ชิวหรานถาม

“ท่านบรรพชนเซียนไม่ทราบหรือ?”

ท้ายที่สุดท่านผู้ทรงเกียรติอิ๋นเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ

“จริงสิ ว่าไปหลายปีที่ผ่านมา นอกจากจักรพรรดิและจักรพรรดินีเซียนแล้ว พวกข้าไม่ทราบเลยว่าบรรพชนไปที่ใด พวกข้าล้วนคิดว่าท่าน…”

“แค่ก ผู้เฒ่าอิ๋น เรื่องนี้เก็บเป็นความลับด้วยล่ะ”

“ขออภัย”

ท่านผู้ทรงเกียรติอิ๋นกล่าวขอโทษ จากนั้นครุ่นคิดสักพักและยังคงจับมือไป๋ชิวหรานและเจียงหลานต่อว่า

“พวกท่านคงยังไม่ทราบ ความจริงโลกอสูรไม่ได้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของกงล้อสังสารวัฏหกวิถีเท่านั้น แต่ยังทำให้ผู้คนกลับชาติมาเกิดในฐานะอสูรอีกด้วย อีกประการหนึ่ง ในส่วนลึกของโลกอสูรมีการปราบปรามวิญญาณเทพบางองค์ที่พ่ายแพ้พวกเราในตอนแรก”

“วิญญาณเทพหรือ?”

ไป๋ชิวหรานขมวดคิ้วขณะถาม

“เจ้าเด็กน้อยไป๋ลี่คนนี้ ข้าปล่อยให้ไปกำจัดวัชพืช แต่ยังจะเก็บวิญญาณเทพเอาไว้อีก… จะเก็บไว้ทำไมกัน เอาไปฉลองงั้นหรือ?”

“ท่านเข้าใจท่านจักรพรรดิเซียนผิดแล้ว”

ท่านผู้ทรงเกียรติอิ๋นคำนับขณะกล่าว

“ไม่ใช่ว่านายท่านไม่อยากฆ่า แต่พวกมันฆ่าไม่ตายต่างหาก”

“ไม่ใช่ฆ่าไม่ได้ แต่ไม่ได้ลงมือฆ่าต่างหาก”

ไป๋ชิวหรานขมวดคิ้วขณะถามว่า

“ข้าไป๋ชิวหรานสามารถฆ่ามันได้ แต่จักรพรรดิเซียนกลับฆ่าไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”

“ท่านถ่อมตัวเกินไปแล้ว แม้ตอนนี้จะผ่านมาหลายแสนปีแล้ว แต่จักรพรรดิเซียนยังถือว่าตนเองห่างชั้นจากท่านบรรพชนเซียนอีกมากนัก”

ท่านผู้ทรงเกียรติอิ๋นตอบ

“เทพเหล่านั้นล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตที่เกิดมาจากกฎเกณฑ์ บ้างพัวพันกับกฎเกณฑ์ที่มีปัญหา ทันทีที่ถูกฆ่าเกรงว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ระหว่างสวรรค์และปฐพี บ้างก็มีคุณสมบัติพิเศษ ทำให้วิญญาณเทพยังคงเกิดใหม่ซึ่งยากที่จะทำลายได้ ดังนั้นจักรพรรดิเซียนทำได้เพียงสะกดพวกมันไว้ในโลกอสูร ด้วยหวังว่าจะใช้พลังการเกิดใหม่เพื่อกำจัดพลังงานในโลกอสูร ซึ่งทำให้สามารถกัดกินวิญญาณพวกมันในระยะยาวได้”

“อย่างนี้นี่เอง”

สีหน้าของไป๋ชิวหรานอ่อนลงเล็กน้อย จากนั้นถามว่า

“แสดงว่าในครั้งนี้ มีบางอย่างผิดปกติกับผนึกที่นี่งั้นหรือ?”

“น่าจะเป็นเช่นนั้น แต่ว่า…”

ท่านผู้ทรงเกียรติอิ๋นลังเลก่อนกล่าวว่า

“ชายชราผู้ต่ำต้อยสงสัยว่ามีคนทรยศอยู่ในยมโลก”

ไป๋ชิวหรานและเจียงหลานมองหน้ากัน จากนั้นกล่าวว่า

“เชิญว่าต่อ”

“โลกอสูรต่างเหมือนกับโลกสวรรค์และโลกมนุษย์ หรือแม้กระทั่งวิถีผีเปรต หรือวิถีนรก มันคือโลกที่ท่านจักรพรรดิเซียนนำเหล่าเซียนสร้างด้วยกัน ผนึกเหล่านี้ถูกติดตั้งโดยตัวท่านจักรพรรดิเซียนเอง หากไม่ใช่บุคคลระดับเซียนอาวุโสสองคนขึ้นไปย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะคลายออก”

ท่านผู้ทรงเกียรติอิ๋นกล่าวต่อว่า

“แต่ตัวตนเช่นนั้น อย่าว่าแต่ในโลกอสูรเลย ต่อให้ตามหาทั่วยมโลกก็ไม่อาจหาคนเช่นนั้นพบได้ ดังนั้นชายชราผู้ต่ำต้อยจึงสงสัยว่า… ยมโลกน่าจะมีคนทรยศและเกรงว่าจะเป็นท่านผู้ทรงเกียรติ”

“ตอนนี้มีเซียนอาวุโสคนไหนอยู่ในยมโลก?”

ไป๋ชิวหรานถามท่านผู้ทรงเกียรติอิ๋น

“ผู้มีเกียรติสามท่านของยมโลกคือระบบหมุนเวียน นอกจากพวกข้าสามคนที่อยู่ในยมโลกเป็นเวลานานแล้ว เซียนอาวุโสที่เหลือผู้เคยรับใช้ในฐานะท่านผู้ทรงเกียรติทั้งสามล้วนกลับสู่แดนเซียนไปแล้ว”

ท่านผู้ทรงเกียรติอิ๋นตอบ

“เซียนอาวุโสที่ยังอยู่ในยมโลก รวมถึงสามยมโลก ประกอบด้วยท่านผู้ทรงเกียรติหลี่จากแดนเซียนตะวันออก ท่านผู้ทรงเกียรติหลานจากแดนเซียนใต้ และท่านผู้ทรงเกียรติเหล่ยจากแดนเซียนกลาง นอกจากสามยมโลกแล้ว ยังมีท่านเซียนราชานรกในสิบวิหารเหยียนหลัวอีก… อา สวะเพิ่งดูแลโลกมาได้ไม่นาน ดูเหมือนจะทะลวงไปถึงระดับเซียนอาวุโสแล้ว”

“เชวียหลิงหรือ?”

ไป๋ชิวหรานขมวดคิ้ว

“เขาถึงกับเป็นเซียนอาวุโสเชียวหรือ?”

“หาเป็นเช่นนั้นไม่ ก็แค่กุ้ยเซียนธรรมดาเท่านั้น”

ท่านผู้ทรงเกียรติอิ๋นส่ายหน้า

“ภายหลังข้าได้ยินมาว่าเขาได้รับหมายจับที่ไม่สามารถดำเนินการให้เสร็จสิ้นได้ แต่จู่ ๆ รากฐานการฝึกฝนก็พัฒนาอย่างก้าวกระโดด ไม่ทราบได้ว่าเกิดอะไรขึ้น…”

“นั่นสิ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่…”

ไป๋ชิวหรานจำได้ว่าเขากับเชวียหลิงต่อสู้กันซ้ำไปมาตั้งแต่ช่วงสองพันปีก่อน ดังนั้นจึงรู้จักอีกฝ่ายเป็นอย่างดี

“หมายความว่า เซียนอาวุโสปัจจุบันที่อยู่ในยมโลกประกอบกับพวกเจ้าสามคน รวมทั้งสิ้นก็มีเพียงแปดคนสินะ”

เจียงหลานก้มศีรษะขณะครุ่นคิดสักพัก

“ดูท่าน่าจะเป็นจำนวนเท่ากับเซียนอาวุโสในแดนเซียน”

“ขอรับ เดิมจักรพรรดิเซียนวางแผนจะให้เป็นเช่นนั้น”

ท่านผู้ทรงเกียรติอิ๋นขณะตอบ

“ยมโลกคือส่วนหนึ่งของแดนเซียน หากบอกว่าเป็นโลกที่สำคัญที่สุดก็ไม่ใช่การกล่าวเกินจริง ส่วนเหตุผลที่ทำไมจักรพรรดิภูตผีถึงยังว่างเปล่าอยู่นั้น น่าจะเป็นเพราะ…”

เขามองไป๋ชิวหราน

“เจ้าจะบอกว่าเป็นเพราะข้าคือผู้ฝึกตนขั้นกลั่นลมปราณสินะ”

ไป๋ชิวหรานเชยคางก่อนถามว่า

“ทำไมข้าต้องเป็นจักรพรรดิภูตผีด้วย? ไม่สิ เจ้าควรถามให้ฉลาดกว่านี้ ไม่อย่างนั้นชีวิตจะไม่ยืนยาว”

“อึ่ก”

ท่านผู้ทรงเกียรติอิ๋นคิดว่าเขากำลังจะไปแล้วจึงรีบกล่าวว่า

“มิกล้า ๆ เป็นเรื่องยากนักที่จะได้พบบรรพชนเซียน ข้าจึงอยากขอโอกาส ขอให้ชายชราผู้ต่ำต้อยและผู้อื่นได้รับใช้พวกท่านทั้งสอง เพื่อเป็นการตอบแทนความเมตตาที่ฟื้นฟูพวกข้าและเผ่าพันธุ์มนุษย์ขึ้นมา”

“ดี แต่ไม่ใช่ตอนนี้ หาใช่เวลามาเกียจคร้านไม่”

ไป๋ชิวหรานตอบ

“ท่านบรรพชนเซียนหมายความว่าอย่างไร?”

“ต้องขอโทษท่านผู้ทรงเกียรติอิ๋นด้วย”

ไป๋ชิวหรานกล่าวกับอีกฝ่าย

“บอกข้ามาว่าสมรภูมิระหว่างยมโลกและโลกอสูรอยู่ที่ใด ว่าไป… ถ้าเจ้าสามารถพาข้าไปที่นั่นได้ แบบนั้นจะยิ่งดีเข้าไปใหญ่”

ท่านผู้ทรงเกียรติอิ๋นเข้าใจว่าไป๋ชิวหรานหมายถึงอะไรจึงคำนับให้แล้วกล่าวว่า

“ขอรับ บรรพชนเซียนผู้ชอบธรรม”

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

Status: Ongoing
ณ สำนักกระบี่ชิงหมิง ที่แห่งนี้ยังมี ‘อาจารย์ลุง’ ซึ่งเป็นที่กล่าวขวัญและพบหน้าค่าตาได้ยากอยู่คนหนึ่ง …ที่ถึงแม้จะอยู่เพียงแค่ขั้นพลังชั้นต่ำสุดอย่างกลั่นลมปราณ แต่จะหาใครแกร่งเท่า คงไม่มีอีกแล้ว!‘ไป๋ชิวหราน’ ชื่อนี้ไม่มีใครที่เป็นศิษย์ในสำนักกระบี่ชิงหมิงจะไม่รู้จัก ศิษย์ลูกรักของผู้ก่อตั้งสำนัก อีกทั้งยังเคยเป็นถึงความหวังของสำนักอีกด้วย ใครต่อใครก็บอกว่าเขาเป็นคนมีพรสวรรค์ แต่การที่ไปชิวหรานผู้นี้ต้องมาติดแหง็กอยู่ที่ขั้น ๆ เดิมมาถึงสามพันปี มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ ๆ สวรรค์ต้องเล่นตลกกับเขาอยู่แน่นอน นอกจากจะต้องเร่งบรรลุไปที่ขั้นสูงกว่านี้ให้ไว ๆ เพื่อหลีกหนีความตายแล้ว ยังต้องมารับมือกับเรื่องวุ่นวายทางโลกที่ ‘คนอื่น ๆ’ ชอบพามาหาเขาแบบไม่หยุดไม่หย่อนอีก เห็นเขาใจดีแบบนี้ใช่ว่าจะทำอะไรกับเขาก็ได้นะ!เส้นทางการฝึกตนนั้นไม่เคยง่ายดาย ไป๋ชิวหรานผู้นี้รู้ซึ้งดี ฉะนั้นใครก็ตามที่กล้ามาดูถูกขั้นพลังของเขา ก็เตรียมตัวชักกระบี่มาคุยกันได้เลย!ความตายที่คอยรังควาญไป๋ชิวหรานคือสิ่งใด ขั้นพลังที่เขามักแอบตัดพ้อถึงมันนั้นสูงส่งหรือต่ำเตี้ยเรี่ยดินเพียงไหน โปรดติดตามได้ใน ‘ข้าก็แค่กลั่นลมปราณสามพันปี’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท