ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年] – บทที่ 260 สำนักอสูรสวรรค์

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

บทที่ 260 สำนักอสูรสวรรค์

บทที่ 260 สำนักอสูรสวรรค์

สำนักกระบี่ชิงหมิงล่มสลาย?

ไป๋ชิวหรานตกตะลึง

“เกิดอะไรขึ้น?”

“หากนายท่านถามว่าเกิดสิ่งใดขึ้น มันไม่ใช่เรื่องที่คนธรรมดาเช่นพวกเราจะทราบได้”

ชายวัยกลางคนเผยสีหน้าเขินอายออกมา

“ข้าทราบเพียงว่ากู่โจวถูกยึดครองหมดสิ้น และราชาแห่งรัฐเหล่านั้นก็ตายตกไปหมดแล้ว”

กู่โจวทั้งหมด ดังนั้นรัฐซ่างเสวียนคงจะล่มสลายด้วยเช่นกัน เช่นนั้นครอบครัวของรัวเว่ยก็…

ไป๋ชิวหรานคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามว่า

“ถ้าเช่นนั้นข้าจะถามสหายอีกนิด เจ้าทราบถึงสถานการณ์ของสำนักเหอฮวนและสำนักอสูรสวรรค์หรือไม่?”

“ทั้งสองสำนักนี้เป็นสำนักอสูรไม่ใช่หรือ?”

ชายวัยกลางคนส่ายศีรษะ

“เราจะทราบได้อย่างไร เราไม่ทราบด้วยซ้ำว่าพวกเขาอยู่ที่ใด”

“อวิ๋นโจวกับเป่ยหมิงพ่ายแพ้แล้วหรือ?”

ไป๋ชิวหรานถาม

“อวิ๋นโจวถูกยึดครอง และหอหยกแห่งเซียนตูดูเหมือนจะพ่ายแพ้เช่นกัน แต่เป่ยหมิงคล้ายว่ายังคงอยู่”

ชายวัยกลางคนตอบกลับ

“เป็นเช่นนั้น ข้าเข้าใจแล้ว”

ชายหนุ่มกล่าวพร้อมประสานมือ

“ขอบคุณสำหรับคำตอบของเจ้า สหาย ข้าทำพวกเจ้าเสียเวลาไม่น้อย”

“ด้วยความยินดี”

ชายวัยกลางคนโบกมือพร้อมกล่าวว่า

“ตอนนี้ความขัดแย้งภายในเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดินทำให้ทุกสิ่งแหลกสลาย พวกเราเป็นเพียงรากหญ้าที่ต้องการเอาชีวิตรอด เราจึงต้องพึ่งพาเหล่าเซียนและพวกท่านย่อมนำชัยชนะกลับมา เพียงตอบคำถามเล็กน้อยเช่นนี้จึงไม่ใช่เรื่องยากเย็น”

“แล้วพวกเจ้าผ่านมาทางนี้มีจุดประสงค์ใดหรือ?”

หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง ไป๋ชิวหรานจึงกล่าวถาม

“นายท่าน เรากำลังจะมุ่งสู่เมืองเปี๋ยหยวนในหลินโจวเพื่อหลบซ่อนตัว นอกจากนี้ที่นั่นยังมีสถานที่ลี้ภัย”

ชายวัยกลางคนตอบกลับ

ไป๋ชิวหรานดึงกระบี่ออกมาก่อนจะเหยียดมือออกพร้อมเปิดช่องว่างบนอากาศโดยตรง รอยแยกค่อย ๆ แตกออก ภาพที่อยู่ฝั่งตรงข้ามแปลกประหลาด มันดูเหมือนประตูเมืองขนาดใหญ่

“ผ่านรอยแยกนี้ไป แล้วสหายจะสามารถเข้าสู่เปี๋ยหยวนในหลินโจวได้”

ไป๋ชิวหรานกล่าวกับชายวัยกลางคน

“พวกเรายังมีเรื่องต้องทำ จึงขอโทษด้วยที่ไม่สามารถไปส่งได้ ข้าขอตัวก่อน”

เขาพาสตรีทั้งสองทะยานออกไปกลายเป็นลำแสงสู่ท้องฟ้า ผู้คนในขบวนรถม้าพลันตื่นตระหนก

หลังจากผ่านไปสักครู่หนึ่ง คนในขบวนก็กล่าวขึ้นมาว่า

“ท่านผู้นำ เราควรทำเช่นไรต่อ?”

“ข้าไม่เคยพบเจอสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน ความอัศจรรย์นี้คืออะไรกัน?”

ชายวัยกลางคนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะมองช่องว่างตรงหน้า

“เอาล่ะ ทำตามที่เซียนเซิงกล่าว หากเขาต้องการทำร้ายเรา เขาย่อมไม่ทำให้ยุ่งยากเช่นนี้ ไปกันเถอะ!”

เขาขี่ม้าและเป็นผู้นำขบวนเข้าสู่ช่องว่างในอากาศ หลังจากรู้สึกมึนงงเล็กน้อย ชายวัยกลางคนถึงกับตกตะลึงเมื่อพบว่าพวกเขาอยู่ในที่แห่งหนึ่งซึ่งห่างไกลจากสถานที่เดิมกว่าหลายพันลี้ และตรงหน้าคือประตูเมืองเปี๋ยหยวน!

เมื่อมองย้อนกลับไป ขบวนรถม้าของเขากำลังเคลื่อนผ่านรอยที่น่าอัศจรรย์มายังสถานที่แห่งนี้

“เขาคือเซียนที่แท้จริง…”

ชายวัยกลางคนอดไม่ได้ที่จะพึมพำ

ในอีกด้านหนึ่ง ไป๋ชิวหรานนำหลีจิ่นเหยาและซูเซียงเสวี่ยเหาะเหินออกจากรัฐหลินโจว

“หากพี่ใหญ่เมื่อครู่ไม่ได้ปดพวกเรา ยามนี้หอหยกแห่งเซียนตู สำนักกระบี่ชิงหมิง สำนักเหอฮวน และสถานที่อื่น ๆ ล้วนแต่พ่ายแพ้หมดสิ้น ส่วนสำนักเสวียนฝ่า และสำนักพุทธเทียนเซิ่งทางตะวันตกของกู่โจวก็ไม่อาจปกป้องตนเองได้”

ใบหน้าของไป๋ชิวหรานบิดเบี้ยว

“ตอนนี้ขึ้นอยู่กับห้าพันธมิตรผู้ฝึกตนฝ่ายธรรมและผู้ฝึกตนฝ่ายมาร มีความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะยังอยู่ และคาดว่าคงอยู่ในสำนักอสูรสวรรค์ในเป่ยหมิง และสำนักวิญญาณหยินที่อยู่ในส่วนลึกของรัฐนี้”

“ข้าไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกับบุตรของเหมยเฉียวหรือไม่…”

ใบหน้าของซูเซียงเสวี่ยเต็มไปด้วยความกังวลใจ

“ไม่ต้องกังวล”

ไป๋ชิวหรานปลอบโยนซูเซียงเสวี่ยก่อนจะกล่าวว่า

“บุตรของเหมยเฉียวฉลาดและยังทราบวิธีป้องกันตัว… นอกจากนี้แม้ว่าจะมีบางอย่างผิดปกติกับนาง หรือหากวิญญาณของนางเข้าสู่ยมโลก ข้าจะสามารถรับรู้ได้ทันที”

“อืม”

ซูเซียงเสวี่ยพยักหน้าพร้อมกับผ่อนคลายจิตใจได้เล็กน้อย

“แล้ว… ท่านบรรพชน เราจะไปไหนกันต่อหรือ?”

หลีจิ่นเหยากล่าวถาม

“ไปที่สำนักอสูรสวรรค์ก่อน”

ชายหนุ่มตอบกลับ

“เราจะไปหาคนที่รู้จักดีก่อน แล้วค่อยวางแผนหลังจากทราบถึงสถานการณ์ทั้งหมด”

เขาหันกระบี่และบินสู่เป่ยหมิง ซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักอสูรสวรรค์

ที่ตั้งของสำนักอสูรสวรรค์คือภูเขาเปาที่มีชื่อเสียงของเป่ยหมิง ในเป่ยหมิงปกคลุมด้วยหิมะตลอดทั้งปี เช่นนี้ที่ตั้งของสำนักอสูรสวรรค์จึงราวกับว่ามีจิตวิญญาณของเซียนลอยล่องตลอดเวลา

และสำนักอสูรสวรรค์ที่ทรงพลังไม่คิดจะปกปิดตนเอง โดยพื้นฐานแล้ว ตราบใดที่คนผู้นั้นคือผู้ฝึกตน ทุกคนจะทราบดีว่าสำนักอสูรสวรรค์ตั้งอยู่ที่ใด

ระหว่างทาง ไป๋ชิวหรานและอีกสามคนได้พบกับเผ่ามารมากมาย แต่พวกมันถูกหลีจิ่นเหยาใช้ ‘วิชาลับ’ ยามนี้เผ่ามารเหล่านี้แข็งแกร่งกว่าแต่ก่อนมาก แม้แต่เผ่ามารระดับต่ำที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนยังสร้างภัยคุกคามยิ่งใหญ่ได้ แต่พวกมันก็ไม่สามารถรุกรานหลีจิ่นหยาแห่งสำนักอสูรสวรรค์ได้

หลังจากเอาชนะขวากหนามทั้งหมดได้ ทั้งสามก็พุ่งขึ้นเหนือท้องฟ้าเพื่อตรงไปยังสำนักอสูรสวรรค์ พวกเขามองเห็นก้อนเมฆบนเทือกเขาอสูรสวรรค์จากระยะไกล และเห็นลำแสงสีชาดกำลังเปล่งประกายสลับไปมา ดูเหมือนว่าภูเขาอสูรสวรรค์ยังไม่ถูกทำลายลง

ไป๋ชิวหรานนำซูเซียงเสวี่ยกับหลีจิ่นเหยาตรงมาที่ด้านหน้าของประตูทางเข้าภูเขาอสูรสวรรค์ และต้องการปิดประตู แต่เมื่อเห็นว่าค่ายกลทั้งหมดกำลังทำงานอยู่ สภาพแวดล้อมภายนอกกับภายในสำนักอสูรสวรรค์จึงถูกแยกออกจากกัน

“เข้ามาได้อย่างไร?”

ซูเซียงเสวี่ยเหลือบมองหลีจิ่นเหยา

“จิ่นเหยา ศิษย์ของสำนักอสูรสวรรค์ได้รับการสอนสั่งเพื่อรับมือสถานการณ์เช่นนี้หรือไม่?”

“โดยปกติแล้วเป็นเช่นนั้น”

หลีจิ่นเหยาพยักหน้า และทันใดนั้นนางก็ชักกระบี่ออกมา ใบมีดคมปลาบปรากฏขึ้นตรงหน้า

เมื่อเห็นว่านางเริ่มเคลื่อนไหวและกำลังจะฟาดฟันกลุ่มตรงหน้า ไป๋ชิวหรานก็คว้าข้อมือของนางเอาไว้อย่างรวดเร็ว

“เจ้าคิดทำสิ่งใด?”

ไป๋ชิวหรานกล่าวถาม

“นี่คือค่ายกลป้องกันภูเขาของสำนักเจ้าไม่ใช่หรือ?”

หลีจิ่นเหยากะพริบตาอย่างไร้เดียงสา

“แต่อาจารย์เคยกล่าวว่าหากสำนักเกิดปัญหา ศิษย์ของสำนักอสูรสวรรค์จะต้องพึ่งพาความสามารถของตนเอง…”

“ทั้งสหาย ศิษย์พี่ ศิษย์น้อง ผู้อาวุโสประจำสำนัก หรือแม้แต่เจ้าสำนักทั้งหมดย่อมเปิดการใช้งานค่ายกลป้องกันนี้เพราะสถานการณ์ที่วิกฤตอย่างแน่นอน”

ไป๋ชิวหรานเบิกตากว้าง

“แล้วหากผิดพลาด เจ้าไม่เกรงว่ามันจะเกิดปัญหางั้นหรือ?”

“เรื่องนี้… กฎของสำนักอสูรสวรรค์คือเมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับตน ให้กล่าวโทษความแข็งแกร่งของตัวเอง…”

หลีจิ่นเหยาคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวตอบด้วยรอยยิ้ม

“นอกจากนี้ หากมีอะไรเกิดขึ้น ท่านบรรพชนก็อยู่ที่นี่ไม่ใช่หรือ?”

“กล่าวได้ดี”

ซูเซียงเสวี่ยลูบฝ่ามือของตนเองพร้อมกับถอนหายใจกับเหตุผลของหลีจิ่นเหยา

“ก่อนหน้านี้สำนักอสูรสวรรค์เป็นสำนักอันดับหนึ่งของเผ่าอสูร และพวกเรายังได้รับการสรรเสริญจากสำนักเหอฮวน”

“แล้วตอนนี้ล่ะ?”

หลีจิ่นเหยาเก็บกระบี่ในมือก่อนจะมองไป๋ชิวหรานแล้วถามว่า

“จะเปิดหรือไม่เปิด? เช่นนั้นให้ท่านบรรพชนตัดสินใจแล้วกัน”

ไป๋ชิวหรานลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะกัดฟันตอบกลับ

“เช่นนั้นจงเปิด”

อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่ใช่ค่ายกลป้องกันสำนักกระบี่ชิงหมิงของเขา เขาคิดเช่นนั้น

หลีจิ่นเหยาพยักหน้าเมื่อได้ยินอีกฝ่ายกล่าวเช่นนั้น จากนั้นจึงดึงกระบี่คู่ของตนออกมาอย่างมีความสุข ก่อนจะฟาดฟันกระบี่เป็นรูปกากบาททรงพลัง และเมื่อแผ่นดินสั่นสะเทือน ทำให้เกิดช่องว่างขนาดใหญ่ตรงค่ายอาคมป้องกันของสำนักอสูรสวรรค์

“ผู้ใด!”

ครู่ถัดมา เสียงร้องรุนแรงดังขึ้นจากด้านในของสำนักอสูรสวรรค์ พร้อมกับลำแสงของกระบี่พาดผ่านท้องฟ้า

“ผู้ใดกล้าหาญมาเยือนประตูสำนักอสูรสวรรค์!”

หลีจิ่นเหยาถอยกลับไปครึ่งก้าว ในเวลานี้มีร่างหนึ่งปรากฏกายออกมาจากสำนักอสูรสวรรค์ เขาพุ่งตรงเข้าหาทั้งสาม

เขาคือหวงฝู่เฟิง

อีกฝ่ายเห็นไป๋ชิวหรานยืนอยู่ตรงหน้าอย่างชัดเจน พร้อมด้วยซูเซียงเสวี่ย หลีจิ่นเหยาด้านหลัง ความโกรธเคืองบนใบหน้ากลับกลายเป็นความตื่นเต้น

“เป็นพวกท่านนั้นเอง… บรรพชนกระบี่สำนักชิงหมิง ท่านกลับมาแล้ว!”

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

Status: Ongoing
ณ สำนักกระบี่ชิงหมิง ที่แห่งนี้ยังมี ‘อาจารย์ลุง’ ซึ่งเป็นที่กล่าวขวัญและพบหน้าค่าตาได้ยากอยู่คนหนึ่ง …ที่ถึงแม้จะอยู่เพียงแค่ขั้นพลังชั้นต่ำสุดอย่างกลั่นลมปราณ แต่จะหาใครแกร่งเท่า คงไม่มีอีกแล้ว!‘ไป๋ชิวหราน’ ชื่อนี้ไม่มีใครที่เป็นศิษย์ในสำนักกระบี่ชิงหมิงจะไม่รู้จัก ศิษย์ลูกรักของผู้ก่อตั้งสำนัก อีกทั้งยังเคยเป็นถึงความหวังของสำนักอีกด้วย ใครต่อใครก็บอกว่าเขาเป็นคนมีพรสวรรค์ แต่การที่ไปชิวหรานผู้นี้ต้องมาติดแหง็กอยู่ที่ขั้น ๆ เดิมมาถึงสามพันปี มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ ๆ สวรรค์ต้องเล่นตลกกับเขาอยู่แน่นอน นอกจากจะต้องเร่งบรรลุไปที่ขั้นสูงกว่านี้ให้ไว ๆ เพื่อหลีกหนีความตายแล้ว ยังต้องมารับมือกับเรื่องวุ่นวายทางโลกที่ ‘คนอื่น ๆ’ ชอบพามาหาเขาแบบไม่หยุดไม่หย่อนอีก เห็นเขาใจดีแบบนี้ใช่ว่าจะทำอะไรกับเขาก็ได้นะ!เส้นทางการฝึกตนนั้นไม่เคยง่ายดาย ไป๋ชิวหรานผู้นี้รู้ซึ้งดี ฉะนั้นใครก็ตามที่กล้ามาดูถูกขั้นพลังของเขา ก็เตรียมตัวชักกระบี่มาคุยกันได้เลย!ความตายที่คอยรังควาญไป๋ชิวหรานคือสิ่งใด ขั้นพลังที่เขามักแอบตัดพ้อถึงมันนั้นสูงส่งหรือต่ำเตี้ยเรี่ยดินเพียงไหน โปรดติดตามได้ใน ‘ข้าก็แค่กลั่นลมปราณสามพันปี’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท