บทที่ 263 ตาเฒ่าลึกลับ
บทที่ 263 ตาเฒ่าลึกลับ
คืนนั้น คุกที่เผ่ามารใช้กักขังผู้ฝึกตนที่พ่ายแพ้เกิดระเบิดขึ้นอย่างรุนแรง
เปลวเพลิงพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ทั้งลมกระโชกและคลื่นพลังมหาศาลกวาดบริเวณโดยรอบเป็นวงกว้าง ทั้งเศษซากปรักหักพัง ต้นไม้ และหิน ทำให้ชาวบ้านธรรมดาที่อาศัยอยู่ในเมืองใกล้เคียงแตกตื่น
หลังจากการระเบิดรุนแรงปะทุออก เผ่ามารที่อยู่ในเมืองจึงตื่นตระหนก พวกมันรีบสยายปีกยักษ์โผบินออกไปสำรวจ และเหล่าอสูรที่อยู่บนพื้นดินต่างวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว พวกมันหอบหิ้วผู้ฝึกตนที่ยอมจำนนแล้วมายังที่เกิดเหตุด้วย
ภายหลังจากที่ฝุ่นควันสลายหายไป เหล่าอสูรคำรามกึกก้องเมื่อพบว่าห้องขังทั้งหมดว่างเปล่า กำแพงสูงที่สร้างเอาไว้ก็พังทลายลงจนหมดสิ้นเช่นกัน
“ตามล่าพวกมัน…”
หลังจากเงียบงันไปชั่วขณะ อสูรยักษ์ก็คำรามออกมาอย่างเดือดดาล และเหล่าอสูรตนอื่น ๆ ต่างส่งเสียงคำรามตอบรับด้วยเช่นกัน เหล่าอสูรมากมายรวมถึงผู้ฝึกตนที่ยอมจำนนต่างก็เริ่มไล่ล่าผู้หลบหนีตามร่องรอยที่พวกเขาทิ้งเอาไว้
…
ผ่านพ้นพงไพรและภูผากว้างใหญ่ กลุ่มอดีตเจ้าสำนักทั้งหมดกำลังวิ่งหนีตายอย่างน่าอนาถ
“ข้าทำแว่นหาย แว่นตาของข้า!”
“สถานการณ์เช่นนี้ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นแล้ว ท่านเจ้าสำนัก รีบหนีก่อนเถิด!”
ชิวอวี่เซวียน เจ้าสำนักเสวียฝ่าถูกผู้เฒ่าในสำนักดึงตัวให้วิ่งตรงไปด้านหน้า
สำหรับขั้นการฝึกฝนของเขา เจ้าสำนักผู้นี้ฝึกฝนพลังเหนือธรรมชาติมากเกินไป เช่นนี้การมองเห็นจึงไม่ค่อยดีนัก และไม่สามารถมองเห็นได้หากไม่มีแว่นตาพิเศษ
เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกเผ่ามารค้นพบเมื่อขึ้นสู่ท้องฟ้า ทั้งกลุ่มจึงไม่กล้าที่จะบินขึ้นไป พวกเขาก็ทำได้เพียงหลบซ่อนอยู่ในภูเขาและใช้รากไม้ ของต้นไม้ใหญ่เพื่อหลบซ่อนเท่านั้น
“ในชีวิตของข้า สตรีผู้นี้ไม่เคยต้องอับอายเช่นนี้มาก่อน”
จี้หลิงอวิ๋นบ่นอุบในขณะมองดูโคลนที่เกาะอยู่บนฝ่าเท้าด้วยความหงุดหงิด
“อย่างที่ข้ากล่าว หากสู้ได้ก็จงต่อสู้ หากสู้ไม่ได้ เช่นนั้นก็จงวิ่งเสีย… นี่คือช่วงเวลาแห่งความเป็นและความตาย”
เจวี๋ยอวิ๋นจื่อกล่าว
“อีกอย่างที่เจ้าไม่เคยต้องอับอายเช่นนี้มาก่อน เป็นเพราะตอนนั้นเจ้างี่เง่า…”
“หุบปากเสีย!”
จี้หลิงอวิ๋นรู้สึกรำคาญก่อนจะแสร้งทำเป็นชักกระบี่ออก
“เอาล่ะ ผู้ทรงเกียรติทั้งสอง”
อวี้เมี่ยนฝูกล่าวคำออก
“คราวนี้พวกเราอย่าได้ทะเลาะกันเลย เจวี๋ยอวิ๋นจื่อ ยามนี้เราอยู่ห่างจากจุดอพยพเพียงใดหรือ?”
เจวี๋ยอวิ๋นจื่อหยิบเข็มทิศขึ้นมา เขามองดูมันสักครู่ก่อนจะตอบว่า
“ยังห่างไกลอีกหลายสิบลี้ ทั้งท่านอาจารย์และท่านเจ้าสำนักวิญญาณหยินจะคอยเราอยู่ที่นั่น”
“ประเสริฐแล้ว”
อวี้เมี่ยนฝูพยักหน้ารับ
“ว่าแต่… เหตุใดคนที่อยู่ในคุกถึงน้อยลง?”
เจวี๋ยอวิ๋นจื่อเก็บเข็มทิศพร้อมถามออกมาในขณะที่กำลังวิ่ง
“เหล่าอาวุโสระดับสูงและศิษย์ของสำนักกระบี่ชิงหมิงก็ถูกจับเช่นกัน แต่เหตุใดข้าถึงไม่เห็นพวกเขาเลย?”
“พวกเขาถูกเผ่ามารย้ายไปที่ไหนสักที่หนึ่ง และพวกเราก็ไม่ทราบเช่นกัน”
เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ อวี้เมี่ยนฝูก็ทอดถอนหายใจต่ำ
“สำนักพุทธเทียนเซิ่งของข้า ก็มีอาวุโสสองคน…”
เขาหยุดกล่าวอย่างกะทันหันพร้อมกับมองไปด้านหน้าด้วยความประหลาดใจ
“มีสิ่งใดผิดปกติหรือไม่?”
เมื่อเห็นท่าทีของเขา ทั้งเจวี๋ยอวิ๋นจื่อ จี้หลิงอวิ๋นและคนอื่น ๆ ต่างมองไปด้านหน้าเช่นกัน พวกเขาเห็นว่ามีอสูรสองตนรูปร่างคล้ายมนุษย์ ศีรษะและแขนขาคืออสูร มันหยุดยืนอยู่เบื้องหน้า
คลื่นพลังของอสูรเหล่านี้รุนแรงยิ่ง แน่นอนว่าที่พวกเขาหยุดไม่ใช่เพียงเพราะพบเจออสูรสองตนนี้ และไม่ใช่เพราะอสูรทั้งสองมีพลังมากเกินกว่าจะรับมือได้
แต่สิ่งที่ทำให้ทั้งกลุ่มหยุดนิ่งคือเสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่งของอสูรทั้งสองตรงหน้า
ตนหนึ่งเป็นสวมใส่อาภรณ์สีขาวเรียบง่าย และอีกตนหนึ่งเป็นสีแดงเลือดหมู
“มันคือเสื้อคลุมของสำนักพุทธเทียนเซิ่ง และสำนักกระบี่ชิงหมิง…”
อวี้เมี่ยนฝูเผยใบหน้ามืดมนก่อนกล่าวพึมพำออกมา
ในเวลานี้ อสูรทั้งสองตนเริ่มโจมตีพวกเขาแล้ว ตนหนึ่งอ้าปากพร้อมกับใช้พลังปราณกระบี่ออกมา อีกตนหนึ่งใช้แขนขาที่มีรูปร่างประหลาดเพื่อปลดปล่อยพลังเวทประหลาดออกมา อีกทั้งยังสวดบทพระสูตรร่วมด้วย
ทุกคนหลบสิ่งตรงหน้าอย่างรวดเร็ว เจวี๋ยอวิ๋นจื่อหยุดชั่วขณะก่อนจะดึงกระบี่ออกมา ตอนนี้ปราณกระบี่ระเบิดออกและมีพลังมากยิ่งขึ้นเมื่ออยู่ในเวลากลางคืน
กระบี่คมทองคำฟาดฟันผ่านอากาศไปอย่างรวดเร็ว แสงกระบี่ทอเป็นตาข่ายสีทองทรงพลัง มันห่อหุ้มร่างของอสูรทั้งสองตนเอาไว้ และค่อย ๆ รัดแน่นขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อสูรทั้งสองตนมีความแข็งแกร่งมาก แต่ตอนนี้พวกมันถูกเบี่ยงเบนความสนใจ กว่าที่ทั้งสองจะรู้ตัว ร่างก็ถูกฉีกขาดกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยด้วยพลังของปราณกระบี่ สุดท้ายก็ร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน
“ไปกันเถอะ”
หลังจากสังหารอสูรทั้งสองตนแล้ว เจวี๋ยอวิ๋นจื่อก็เก็บกระบี่ลงและไม่คิดหันกลับไปมอง
“อืม”
อวี้เมี่ยนฝูสูดลมหายใจลึก เขาสวดด้วยเสียงทุ้มต่ำ ก่อนจะวิ่งตามเจวี๋ยอวิ๋นจื่อออกไปอย่างไร้ความลังเล
คนกลุ่มนี้ทราบดีแก่ใจว่าการปรากฏตัวของอสูรทั้งสองหมายถึงสิ่งใด และสหายของพวกเขาที่ถูกพรากตัวไปได้พบเจอกับจุดจบที่น่าสมเพชและแสนสะพรึง
แต่ก็รู้ดีว่าสิ่งใดคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้
ทั้งกลุ่มวิ่งมาไกลกว่ายี่สิบลี้ เมฆทมิฬเริ่มปรากฏบนท้องฟ้า มันคือเหล่าอสูรที่บินได้กำลังยึดครองท้องฟ้าทั้งหมด ทั้งกลุ่มต้องเลี่ยงเส้นทางที่จะใช้และหลบซ่อนตัวอยู่ในป่าอย่างสิ้นหวัง ไม่มีใครคิดอยากถูกเหล่าอสูรพวกนั้นค้นพบในเวลานี้
จากซ้ายไปขวา เจวี๋ยอวิ๋นจื่อได้นำกองกำลังทหารกลุ่มใหญ่ค่อย ๆ วิ่งผ่านป่าไผ่บนภูเขา
ด้านข้างป่าไผ่มีชายชราคนหนึ่งกำลังขุดหน่อไม้ด้วยจอบเล็ก ๆ พร้อมด้วยตะกร้าไม้ไผ่วางอยู่ด้านข้าง
เมื่อเห็นว่ามีคนกลุ่มหนึ่งกำลังเร่งรีบ ชายชราจึงวางจอบลงพร้อมกับถามว่า
“พวกท่านทั้งหลาย รีบร้อนเช่นนี้ พบเจอเรื่องเลวร้ายมางั้นหรือ?”
“ท่านผู้เฒ่ารีบติดตามพวกข้าดีกว่า”
อวี้เมี่ยนฝูผู้ใจดีหยุด พร้อมกล่าวชักชวนชายชรา
“เก้ามหาทวีปสิบแผ่นดินถูกเผ่ามารรุกราน และกำลังหลบหนีพวกมันอยู่ มันอันตรายเกินไปหากท่านผู้เฒ่าจะอยู่ที่นี่เพียงลำพัง เหตุใดท่านถึงไม่วิ่งออกไปพร้อมพวกเรา”
“เผ่ามาร? โอ้ ข้าทราบแล้ว”
ชายชราครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาวางจอบเล็ก ๆ ลงก่อนจะหยิบม้วนภาพวาดที่อยู่ในตะกร้าไม้ไผ่ด้านหลังออกมา
“ให้ข้าช่วยเหลือพวกท่าน”
“หมายความว่าอย่างไร?”
เจวี๋ยอวิ๋นจื่อและคนอื่น ๆ ตกตะลึงไปชั่วขณะ ทว่าชายชรากลับไม่ตอบคำถาม
เขาเช็ดมือก่อนจะแก้เชือกสีแดงที่ผูกไว้กับม้วนคัมภีร์ จากนั้นจึงคลี่มันออก ไม่นานแสงสว่างเปล่งประกายออกมาและดึงเอาคนทั้งกลุ่มเข้าไปในม้วนภาพวาด
หลังจากเสร็จสิ้นแล้ว ชายชราเก็บม้วนภาพวาดกลับเข้าไปในตะกร้าไม้ไผ่ จากนั้นจึงเดินออกไปพร้อมกับฮัมเพลงพื้นบ้านมุ่งสู่ส่วนลึกของป่า และค่อย ๆ หายไป
หลังจากนั้นไม่นาน รอยแยกของอากาศปรากฏขึ้น ไป๋ชิวหรานก็ก้าวขาออกมาจากรอยแยก เขายืนอยู่ในป่าไผ่พร้อมกับมองทิศทางที่ชายชราหายตัวไป
“กระบวนท่าบิดเบือนมิติ กักเก็บผู้คนไว้ในภาพวาด… จื้อเซียน เจ้าเห็นมันหรือไม่?”
“เข้าใจแล้ว”
จื้อเซียนที่ห้อยอยู่กับเอวของเขากล่าวขึ้น
“นั่นคือจักรพรรดิเซียน นามว่าเซียนหงเฉิน ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้มีเจตนาร้าย”
“งั้นหรือ?”
ไป๋ชิวหรานหันศีรษะมองขึ้นไปบนท้องฟ้าอีกฟากหนึ่ง
“แล้วเจ้าคิดอย่างไรกับพวกมัน?”
บนท้องฟ้า เผ่ามารที่ทรงพลังกำลังร่อนลงมา
ผิวของมันเป็นสีฟ้าอมน้ำเงิน มีปีกสยายใหญ่ด้านหลัง มีเขาขนาดใหญ่ทั้งสามอยู่บนศีรษะ และหางราวกับแส้กระดูก ทว่าแขนขายืดหยุ่นและเรียวยาวราวกับมนุษย์
หลังจากที่ปีศาจที่มีความสูงเท่ากับมนุษย์ลงมาหยุดยืนบนพื้น พวกมันสั่นสะท้านเล็กน้อย ก่อนจะประสานมือ เงยศีรษะขึ้นพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงชัดเจน
“ให้ข้าได้ค้นหาต่อไป!”