บทที่ 289 ขึ้นสู่สวรรค์
บทที่ 289 ขึ้นสู่สวรรค์
จื้อเซียนสอนพื้นฐานให้กับเขาควบคู่ไปกับการใช้ความสามารถในยุคเผ่าเทพ เช่นนี้ไป๋ชิวหรานจึงสามารถศึกษาพลังเหนือธรรมชาติกระบวนท่าบิดเบือนมิติได้อย่างง่ายดาย
ดังที่ทราบ พลังเหนือธรรมชาตินี้เดิมทีเขาสอนมันให้แก่ไป๋ลี่ จากนั้นไป๋ลี่จึงส่งต่อมันให้กับเผ่าพันธุ์มนุษย์เผื่อแพร่กระจายวิชานี้ออกไป
หลังจากเรียนรู้เคล็ดวิชานี้แล้ว ไป๋ชิวหรานคว้าไหล่ของถังรั่วเวยไว้มั่น ก่อนจะหันมองเซียนหงเฉิน
“มีสิ่งใดที่ข้าต้องทราบอีกหรือไม่?”
“แผ่นป้ายนี้ จะช่วยดูแลท่านอาจารย์”
เซียนหงเฉินมอบแผ่นป้ายชิ้นหนึ่งให้กับไป๋ชิวหราน
“หากท่านบินสู่แดนเซียนจากตรงนี้ ท่านจะเข้าสู่แดนเซียนตะวันออก หลังจากที่ไปถึงแดนเซียนแล้ว ท่านสามารถเปิดใช้งานอาคมนี้ และสามารถพิจารณาการใช้งานมันได้ด้วยตนเอง เพราะหลังจากที่เปิดใช้งานแล้ว… จะมีคนพาท่านไปยังแดนเซียนกลาง”
ชายหนุ่มหยิบแผ่นป้ายนี้พร้อมเก็บมันไว้ เซียนหงเฉินโค้งคำนับอีกครั้ง
“ศิษย์เป็นเซียนที่อยู่ในแดนเซียนกลาง เมื่อกลับไปที่แดนเซียน ข้าจะต้องตรงเข้าสู่แดนเซียนกลางทันที ดังนั้นโปรดยกโทษให้ข้าที่ไม่อาจติดตามไปได้”
“ไม่เป็นไร”
ไป๋ชิวหรานถาม
“แล้ว?”
“แล้ว…”
เซียนหงเฉินมองหลีจิ่นเหยา แววตาของเขาฉายความลุ่มลึกออกมา ด้ายสีแดงแห่งโชคชะตารอบร่างกายของหลีจิ่นเหยาวนเวียนอยู่รอบ ๆ ไป๋ชิวหรานตลอดเวลา มันพยายามจะเชื่อมโยงเข้ากับนิ้วของชายหนุ่มอย่างขะมักเขม้น
เขากะพริบตาพร้อมกล่าวว่า
“ท่านอาจารย์โปรดกอดแม่นางหลีไว้ให้แน่นมากที่สุด… และต้องแน่นมากที่สุดเท่าที่จะทำได้”
ก่อนไป๋ชิวหรานจะตอบรับ หลีจิ่นเหยาก็ร้องออกมาอย่างยินดี พร้อมกับกอดลำคอเขาด้วยแขนเรียวยาว
เมื่อกลิ่นหอมหวานกระทบใบหน้าของเขา ยอดอกชูชันติดหนึบอยู่กับอ้อมแขนอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
“เป็นอย่างไร?”
หลีจิ่นเหยาเข้ามากระซิบข้างใบหูของไป๋ชิวหราน
“ท่านบรรพชนกระบี่ หลีจิ่นเหยาตัวหนักเกินไปหรือไม่?”
ไป๋ชิวหรานกลอกตาไปมาก่อนจะตอบว่า
“อืม แต่อย่าได้หยาบคายนัก…”
มีแรงสั่นสะเทือนเล็กน้อยในฝ่ามือของเขา
อีกด้านหนึ่ง เซียนหงเฉินดึงเชือกสีทองออกจากแขนเสื้อ ก่อนจะม้วนมันรอบข้อมือ เขาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและกล่าวพึมพำ
“เอ่อ แค่ก ๆ แม่นางหลีโปรดจับให้แน่นก็เพียงพอ ทว่าไม่ต้องเกี่ยวพันท่านบรรพชนกระบี่เช่นนั้น”
“โอ้…”
หลีจิ่นเหยารีบชักขาและแขนกลับด้วยความผิดหวัง
“ขออนุญาต…”
เซียนหงเฉินกล่าวขอโทษไป๋ชิวหรานและหลีจิ่นเหยา จากนั้นเขายกมือขึ้นพร้อมโยนเชือกสีทองออกไปผูกทั้งสองเอาไว้ด้วยกันอย่างแน่นหนา
ร่างกายของพวกเขาทั้งสองถูกรัดไว้แน่น แม้ว่าจะบีบลึกเข้าไปในเนื้อหนังของทั้งคู่ ทว่ากลับไม่มีความเจ็บปวดใด ๆ แต่การใกล้ชิดกับผู้อื่นมากเกินไปเช่นนี้ ทำให้ไป๋ชิวหรานรู้สึกอึดอัดไม่น้อย…
การอุ้มสตรีนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่หากถูกบีบบังคับให้พันแน่นติดกันเช่นนี้ เชื่อได้ว่าคงไม่มีผู้ใดสบายใจ
ในทางกลับกัน หลีจิ่นเหยาคล้ายว่ามีความสุขยิ่ง ไม่เพียงแต่รอยยิ้มจะเบ่งบานทั่วใบหน้าแล้ว แต่นางจะใช้ศีรษะของตนเองลูบไล้หน้าอกของไป๋ชิวหรานพร้อมหัวเราะคิกคักอย่างมีความสุข
“แม่นางหลี”
เมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว เซียนหงเฉินกล่าวกระตุ้น
“อ่า เอาล่ะ โปรดใช้ทักษะของท่านเพื่อบิน”
“เอ๊ะ? โอ้”
หลีจิ่นเหยาลังเลเล็กน้อย อย่างไรก็ตามนางมีพลังปราณที่แท้จริงของผู้ฝึกตนมหายานในคฤหาสน์สีม่วง ความมืดมิดเริ่มเปล่งแสงสว่างออกมาทีละน้อย
ในไม่ช้า โลกก็ตอบรับการเรียกขานของนาง ห้วงมิติปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า เมฆสีทองและหลากสีเผยให้เห็นเด่นชัด มันปกคลุมทั่วท้องฟ้าเป็นระยะทางกว่าหลายพันลี้
ไม่นานก็ปรากฏช่องว่างขึ้นบนท้องฟ้า และมีทางเข้ามิติไปสู่กระแสความว่างเปล่า ภายในมีลำแสงสีสันหลากหลาย และขณะนั้นแรงโน้มถ่วงดึงหลีจิ่นเหยาและไป๋ชิวหรานให้เข้าสู่ทางเดินในมิติ
ห้วงมิติที่เปิดออกทำให้สติของผู้ฝึกตนมากมายนับไม่ถ้วนภายในเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดินตื่นขึ้น ทั้งเจ้าสำนัก และอาวุโสระดับสูงต่าง ๆ ทุกคนล้วนมองขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างพร้อมเพรียง ซูเซียงเสวี่ย หวงฝู่เฟิง และผู้ฝึกตนจู๋เฟิงที่สามารถทะยานขึ้นสู่แดนเซียนได้ ต่างรู้สึกหวั่นไหวในส่วนลึกของจิตใจ
ในเวลานี้ ไป๋ชิวหรานกับหลีจิ่นเหยาถูกดึงเข้าไปในกระแสแห่งความว่างเปล่าบนท้องฟ้าแล้ว ช่วงเวลาที่ทั้งสองเดินทางผ่านไป กระแสแห่งความว่างเปล่าได้ปิดตัวลง แรงดึงที่ดูดซูเซียงเสวี่ยและคนอื่น ๆ ค่อย ๆ จางหายไป เหลือเพียงเมฆสีทองเท่านั้นที่ยังคงกระจัดกระจายไปทั่วท้องฟ้า กว่าจะหายไปหมดสิ้นนั้นก็ใช้เวลาเนิ่นนาน
…
หลีจิ่นเหยากับไป๋ชิวหรานข้ามมิติผ่านกระแสความว่างเปล่า และหลังจากที่ทั้งสองเข้ามาแล้ว พวกเขาพบกับกระแสความว่างเปล่าไร้ซึ่งขอบเขต มีพายุพลังงานมากมายอยู่ภายในนี้ และทั้งหมดเริ่มโจมตีทั้งสองอย่างไร้รูปแบบ พลังเหนือธรรมชาติของหลีจิ่นเหยากลายเป็นลำแสงเปล่งประกายออกมา มันปกป้องนางจากการโจมตีของพายุแห่งความว่างเปล่า!
ในทางกลับกัน ไป๋ชิวหรานถูกลำแสงเปล่งประกายดึงออกไปอีกทาง และเขาไม่กล้าที่จะใช้พลังของตนเอง เพราะเกรงว่าแสงป้องกันบนร่างกายของหลีจิ่นเหยาจะถูกทำลายไปด้วย ดังนั้นจึงทำได้เพียงใช้ใบหน้ารับการโจมตีเอาไว้เมื่อพายุแห่งความว่างเปล่าบุกเข้ามา
หลังจากผ่านการป้องกันคราวนี้มาได้ ไป๋ชิวหรานยังคงสบายดี ทว่าเสื้อผ้าอาภรณ์บนร่างกายกลับขาดรุ่งริ่ง และมันน่าอับอายไม่น้อย…
หลังจากเดินทางผ่านกระแสแห่งความว่างเปล่ามาชั่วขณะหนึ่ง ก็มีแสงสว่างใหญ่โตค่อย ๆ ปรากฏขึ้นตรงหน้าทั้งสอง
สิ่งเหล่านี้เป็นโลกขนาดใหญ่ที่เป็นอิสระและเชื่อมต่อกัน ทั้งหมดมีห้าโลก มันกว้างใหญ่และไร้ที่สิ้นสุด ทั้งสองไม่อาจมองเห็นจุดจบของสถานที่ตรงหน้าได้ ทั้งไป๋ชิวหรานกับหลีจิ่นเหยาทำได้เพียงเหาะเหินไปตลอดทาง และไม่อาจทราบได้ว่าจุดสิ้นสุดของมันอยู่ที่ใด
รอบโลกทั้งห้ามีลำแสงหลายเส้นล้อมรอบพวกมันเอาไว้ และหมุนไปอย่างเชื่องช้า เมื่อทั้งสองเข้าไปใกล้ พวกเขาพบว่ามันเป็นอาคมที่เต็มไปด้วยอักขระลึกลับมากมายนับไม่ถ้วน
ลำแสงอาคมเหล่านี้ก่อตัวเป็นเกราะป้องกันเพื่อไม่ให้สิ่งแปลกปลอมในกระแสแห่งความว่างเปล่าเข้าสู่โลกทั้งห้า หลังจากเข้าใกล้ม่านกั้นมิติแล้ว ลำแสงที่เคยปกป้องร่างกายหลีจิ่นเหยาได้เปลี่ยนเป็นลำแสงพุ่งตรงเข้าไปในมิติตรงหน้าอย่างกะทันหัน สิ่งกีดขวางในอากาศเปิดออกทำให้ทั้งสองได้เข้าไปด้านใน
หลังจากข้ามมาสำเร็จ สิ่งกีดขวางที่เปิดออกก็เริ่มฟื้นฟูตนเอง ไป๋ชิวหรานรู้สึกถึงบางอย่าง มีการเปลี่ยนแปลงของลำแสงอาคม ดูเหมือนว่าทั้งหลีจิ่นเหยาและไป๋ชิวหรานจะมีการเชื่อมโยงที่แปลกประหลาดกับเขา
หลังจากตระหนักได้ถึงสิ่งนี้ เชือกสีทองที่เคยพันรอบร่างกายพลันคลายออก มันกลายเป็นมังกรทองและโค้งศีรษะให้กับไป๋ชิวหราน จากนั้นมันก็โผบินไปยังโลกที่ใหญ่ที่สุดในโลกทั้งห้า
“ดูเหมือนว่าจะผ่านพ้นมาได้ด้วยดี”
ไป๋ชิวหรานกล่าวขึ้นขณะปล่อยหลีจิ่นเหยา
“จิ่นเหยา ข้าล่วงเกินเจ้า”
“ไม่ต้องรู้สึกผิด!”
หลีจิ่นเหยายังไม่คิดปล่อยมือ แต่กลับกระชับมือของไป๋ชิวหรานไว้แน่น
นางกอดชายหนุ่ม ก่อนจะกล่าวด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
“ท่านบรรพชนกระบี่ แดนเซียนนี้กว้างใหญ่นัก เพื่อไม่ให้เราสองคนพรากจากกัน ข้าจึงคิดว่าเราควรจะกอดกันไว้เช่นนี้”
ไป๋ชิวหรานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และรู้สึกว่านางมีเหตุผล ดังนั้นเขาจึงเพิกเฉยต่อการกระทำของนางและก้าวเดินต่อไป
ด้วยวิธีนี้ หลีจิ่นเหยากับไป๋ชิวหรานก็กอดกันไว้แน่น แรงดึงดูดอันยิ่งใหญ่ที่ไม่อาจอธิบายได้ดึงทั้งหมดเข้าสู่โลกใบใหญ่นั้นอย่างไม่อาจต้านทาน…