บทที่ 314 เหตุใดถึงอยู่ในขั้นสร้างรากฐานเท่านั้น?
บทที่ 314 เหตุใดถึงอยู่ในขั้นสร้างรากฐานเท่านั้น?
ณ แดนเซียนตะวันออก ในหอจักรพรรดิของเซียนจักรพรรดิตะวันออกชิง
จักรพรรดิเซียนตะวันออกชิงนั่งอยู่บนบัลลังก์ เขามองภาพฉายตรงหน้าด้วยสีหน้าหม่นหมอง
ภาพตรงหน้าคือภาพที่จักรพรรดิเซียนกลับมาแล้ว ทั้งยังเชิญจักรพรรดิเซียนทั้งสี่เข้าพบ หลังจากการแพร่ภาพจบลง ฝ่ายข่าวสารของแดนเซียนกลางปิดผนึกภาพนี้ในหินฉายภาพทันที และมันถูกวางขายในเมืองเซียนของแดนเซียนอู่ฟาง!
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์นี้ แม้จักรพรรดิเซียนทั้งสี่ทิศต้องการจะหลีกเลี่ยง แต่ก็ไม่อาจทำได้ ประการแรกคือจักรพรรดิเซียนองค์แรกแห่งแดนเซียนอู่ฟางคือผู้ก่อตั้งและผู้ปกครองสูงสุดของแดนเซียนทั้งห้าทิศ คำพูดของจักรพรรดิเซียนทั้งสี่ไม่มีน้ำหนักพอที่จะล้มล้างได้
ประการที่สอง พวกเขาประเมินศักดิ์ศรีของจักรพรรดิเซียนองค์แรกต่ำเกินไป ในหมู่ผู้ฝึกตนของแดนเซียน แม้เซียนที่เกิดและเติบโตในแดนเซียนภายใต้การปกครองของพวกเขา แต่ทั้งหมดย่อมเชื่อฟังจักรพรรดิเซียนองค์แรกอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
แม้เซียนเหล่านั้นจะอยู่ในการควบคุมและการข่มเหงของพวกเขา แต่ในขณะนี้ การกลับมาของจักรพรรดิเซียนองค์แรกกลายเป็นสิ่งที่สนับสนุนพวกเขาอย่างแข็งแกร่ง
พวกเขากล้าหาญที่จะห้ามปรามคนเหล่านี้ที่เคยยอมจำนนย่อมลุกขึ้นมาต่อต้านแน่นอน เพราะการสนับสนุนที่แข็งแกร่งหวนคืนกลับแล้ว
พวกเขาไม่มีสิทธิ์ต่อต้าน เพราะช่องว่างความแข็งแกร่งแต่ละระดับของแดนเซียนนั้นยิ่งใหญ่เกินไป ผู้ที่สามารถเข้าถึงขั้นเซียนได้ แน่นอนว่าย่อมเป็นผู้ที่จงรักภักดีต่อจักรพรรดิเซียน แต่เดิมกองกำลังทั้งสี่ของแดนเซียนจะต้องถูกรวมเข้าด้วยกันเพื่อให้มีอำนาจเหนือกว่าแดนเซียนกลาง เมื่อมีการต่อต้าน จักรพรรดิเซียนจากทุกทิศจะแบ่งกองกำลังของตนออกปราบปราม
ในเวลานั้น กองกำลังของแดนเซียนกลางเต็มไปด้วยชื่อเสียง และจักรพรรดิเซียนองค์แรก และจักรพรรดิเซียนกลางนำกองทัพออกมา อีกทั้งยังสามารถเอาชนะพวกเขาได้โดยง่ายดาย
“ฝ่าบาท”
ผู้ใต้บังคับบัญชาคนโปรดของจักรพรรดิชิง และบุตรชายของเขา มหาเซียนซือ เดินเข้ามาจากด้านนอกของห้องโถง เมื่อเห็นว่าจักรพรรดิชิงกำลังเปิดภาพฉายซ้ำ ๆ เขาจึงร้องเรียกด้วยเสียงทุ้ม ก่อนจะเดินตรงเข้าไปประจำตำแหน่งโดยไม่กล่าวสิ่งใด
เมื่อได้ยินมหาเซียนซือกล่าวทักทาย จักรพรรดิชิงก็ปิดภาพฉายก่อนจะกล่าวตอบ
“มีสิ่งใด?”
“อาวุโสเซียนหลินที่หลบหนี ถูกจับกุมได้แล้ว”
มหาเซียนซือกล่าวรายงานคำเบา
“ในที่สุดข้าก็ได้ยินข่าวดีเสียที”
แววตาของจักรพรรดิชิงวูบไหว และเมื่อเห็นสิ่งนี้ มหาเซียนซือถึงกับรู้สึกโล่งใจ
จักรพรรดิเปรียบดั่งพยัคฆ์ร้าย และจักรพรรดิชิงใช้ประโยคนี้เสมอ แม้เขาจะเป็นบุตรชายคนโตที่ได้รับขนานนามว่าเป็นมหาเซียนแห่งยุคสมัย ทว่าเขาก็ยังไม่กล้าประมาท
เพราะในสายตาของจักรพรรดิชิงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นบุตรหรือผู้โปรดปราน ทั้งหมดล้วนไร้ประโยชน์…
“ฝ่าบาท พวกเราจะทำสิ่งใดต่อไปหรือ?”
มหาเซียนซือกล่าวถามคำเบา
“จักรพรรดิเซียนองค์แรกต้องการให้พวกเราเข้าพบ เกรงว่าเขาคิดจะกำจัดพวกเราให้สิ้นซากในการเชิญคราวนี้”
จักรพรรดิชิงเยาะเย้ย
“ข้าได้รับสาส์นอย่างเป็นทางการจากฝ่ายข่าวสาร มันระบุว่าจักรพรรดิเซียนอู่ฟางจะไม่นำกองทัพมา มีเพียงผู้ติดตามไม่กี่ร้อยคนเท่านั้น ฮึ่ม ข้าค่อนข้างมั่นใจ”
“เป็นไปได้หรือไม่ว่าจักรพรรดิเซียนองค์แรกต้องการใช้กองกำลังส่วนตัวเพื่อเอาชนะสี่ต่อหนึ่ง?”
มหาเซียนซือส่ายศีรษะก่อนจะกล่าว
“แม้พลังการต่อสู้ของจักรพรรดิเซียนองค์แรกจะยอดเยี่ยมทั้งในอดีตและปัจจุบัน แต่ฝ่าบาทกับจักรพรรดิเซียนทั้งสามยังคงมีไพ่ตายในมือ เขาจะเย่อหยิ่งได้ถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?”
“แน่นอนว่าเขาทำได้”
จักรพรรดิชิงกล่าวตอบอย่างไม่ลังเล ก่อนจะเปิดภาพฉายซ้ำอีกครั้ง
“ไม่ต้องกล่าวถึงพลังของเขาเอง เจ้าดูสองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังของเขาเสียก่อน”
เขาชี้ไปที่ภาพตรงหน้า
มหาเซียนซือมองตามนิ้วมือไป
“คนแรก คือจักรพรรดิเซียนกลาง เล่อเจิ้นเทียน และอีกคนคือ… จักรพรรดิภูตผีงั้นหรือ?”
“ถูกต้องแล้ว จักรพรรดิภูตผีเข้าสู่ยมโลกเมื่อหลายสิบปีก่อน ในการต่อสู้ผ่านจิตสำนึก แม้ว่าพวกเราทั้งห้าจะรวมพลังกัน แต่ก็ยังพ่ายแพ้ต่อเขา”
จักรพรรดิชิงเผยใบหน้ามืดมน
“ด้วยพลังของจักรพรรดิเซียนองค์แรกและจักรพรรดิเซียนกลาง พวกเราทั้งสี่ยังยากจะรับมือ… กล่าวถึงเรื่องนี้แล้ว เรื่องที่ให้เจ้าส่งสายไปสืบที่ยมโลกเพื่อตรวจสอบจักรพรรดิภูตผีเป็นอย่างไรบ้าง?”
“รายงานฝ่าบาท เราคัดลอกแบบฝึกที่จักรพรรดิภูตผีศึกษาเสร็จสิ้นแล้ว หลังจากพระองค์เสด็จขึ้นครองบัลลังก์ เขาก็หมกตัวอยู่ในหอตำราของยมโลก”
มหาเซียนซือตอบกลับ
“ข้าสบายใจแล้ว เจ้ากระทำเรื่องต่าง ๆ ได้ดี”
จักรพรรดิชิงกล่าวชมเชยพร้อมถามต่อ
“กระทำโดยแนบเนียนใช่หรือไม่ คงไม่มีปัญหาตามมาภายหลัง?”
“ไม่ควรเป็นเช่นนั้น จักรพรรดิภูตผีจัดการระบบทั้งหมดใหม่ทันทีที่เข้ารับตำแหน่ง เขาเป็นผู้นำในด้านการต่อสู้ให้กับยมทูตด้วยตนเอง อีกทั้งยังฝึกสอนทุกคนที่อยู่ในหอตำราของยมโลก”
มหาเซียนซือส่ายศีรษะ
“จักรพรรดิภูตผีเชื่อในเครื่องรางและความแข็งแกร่งของตนเอง เขาไม่สนใจขั้นพลังของการฝึกเท่าไรนัก ครั้งหนึ่งเคยกล่าวว่าการฝึกตนในแบบเดียวกัน แต่เปรียบเทียบการฝึกฝนโดยผู้ที่แข็งแกร่งและผู้ที่อ่อนแอ ผลลัพธ์ของมันจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง”
“สิ่งที่เขากล่าวเป็นความจริง”
จักรพรรดิชิงกล่าวต่อ
“เช่นนั้นจงแสดงให้ข้ารับชม”
มหาเซียนซือปรบมือ ในไม่ช้าก็มีคนรับใช้เข็นคัมภีร์ต่าง ๆ ออกมาให้กับจักรพรรดิชิง เขาหยิบยกมันขึ้นอ่านสองสามหน้าก่อนจะกล่าวสรรเสริญ
“แน่นอนว่าช่วงเริ่มต้นของการกลั่นลมปราณเป็นสิ่งที่แตกต่างกันมาก”
เขาพลิกไปสองสามหน้าและพบว่าไม่มีสิ่งใด เช่นนั้นจึงกล่าวถามอย่างสงสัย
“หืม แล้วเหตุใดถึงอยู่ในขั้นสร้างรากฐานเท่านั้น?”
“ไม่เพียงแต่ในหัวข้อนี้เท่านั้น อาจมีเหตุผลบางประการ การฝึกฝนทั้งหมดของจักรพรรดิภูตผีถูกเขียนไว้เพียงช่วงสร้างรากฐาน”
เมื่อกล่าวจบ มหาเซียนซือเผยสีหน้ากังวลออกมาเช่นกัน
“เห็นได้ชัดว่า ด้วยความสามารถ เขาสามารถเขียนขั้นตอนเล็ก ๆ น้อย ๆ ของช่วงการกลั่นลมปราณด้วยวิธีของตนเอง มีหลายครั้งที่ผู้ฝึกตนระดับการสร้างรากฐานถูกข่มเหงด้วยพลังปราณของเขา แต่ถึงแม้จะเขียนวิธีการสร้างรากฐาน ทว่าไม่ได้เขียนถึงวิธีขั้นต่อไป เมื่อเหล่ายมทูตในยมโลกกล่าวถาม เขาก็ตอบเพียงว่าต้องใช้จินตนาการ…”
จักรพรรดิชิงฉีกคัมภีร์ในมือด้วยความโกรธจัด ทั้งหมดถูกเผาวอดด้วยฝ่ามือเดียว เขาคำรามอย่างโกรธเคือง
“คนหน้าซื่อใจคดผู้นี้แสร้งปกปิดความลับ!”
พื้นฐานที่ใหญ่ที่สุดสำหรับการเข้ารับตำแหน่งจักรพรรดิเซียนคือทักษะพลังเหนือธรรมชาติที่ได้รับสืบทอดมาจากจักรพรรดิตะวันออกไท่อี มันคือทักษะที่สามารถจับเคล็ดลับการฝึกฝนของพลังอื่น ๆ ได้ จักรพรรดิตะวันออกไท่อีใช้ทักษะนี้เพื่อยึดอำนาจเหล่าทวยเทพที่ไม่เชื่อฟัง!
ในหมู่พวกเขา ความสกปรกของเขาและจักรพรรดิตะวันออกไท่อีไม่ปรากฏ อย่างไรก็ตาม หลังจากวางอุบายบางอย่าง จักรพรรดิชิงจึงประสบความสำเร็จในการลอกเลียนทักษะของจักรพรรดิตะวันออกไท่อี และก้าวสู่ตำแหน่งจักรพรรดิเซียนตะวันออกเช่นทุกวันนี้ได้
เขาต้องการที่จะฉกฉวยการฝึกอื่น ๆ เพราะต้องการเสริมความแข็งแกร่งให้กับตนเอง แต่ถึงอย่างนั้นยังไม่สามารถฝึกฝนจนบรรลุขั้นต่อไปได้เพียงใช้แค่คัมภีร์ที่มีการเขียนถึงการปรับแต่งลมปราณ และการสร้างรากฐานเหล่านี้!
“ลืมมันไปซะ ตราบใดที่สิ่งนั้นสมบูรณ์แบบ ต่อให้มีจักรพรรดิเซียนอีกโหลก็ย่อมตายตก”
จักรพรรดิชิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาสงบจิตใจลงพร้อมออกคำสั่ง
“ไปซะ… ไปให้อาหารสุนัขที่ไม่เชื่อฟังเหล่านั้น พวกมันคงจะหิวโหยไม่น้อย”
เมื่อได้ยินคำสั่งของจักรพรรดิชิง ร่องรอยความขุ่นเคืองและความหวาดกลัวก็ปรากฏขึ้นในแววตาของมหาเซียนซือทันที ทว่าเขารีบก้มต่ำเพื่อปกปิดมันแล้วตอบรับหนักแน่น
“ทราบแล้ว”
เขาหันหลังกลับ และเดินออกจากห้องโถงใหญ่อย่างเงียบเชียบ เสียงคร่ำครวญขอความเมตตาจากอาวุโสเซียนหลินดังขึ้นที่ภายนอกของห้องโถง