ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年] – บทที่ 403 กรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

บทที่ 403 กรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง

บทที่ 403 กรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง

พริบตาแรกที่ดวงอาทิตย์แตะขอบฟ้า เทพกระบี่หลี่เสียนจิ้งก็เผชิญหน้ากับนักรบลึกลับจากอาณาจักรยามากุจิ

ก่อนที่ผู้ใดจะได้เคลื่อนไหว ปราณกระบี่ของสองผู้ฝึกตนก็ตรงเข้าปะทะกันอย่างต่อเนื่องกลางอากาศ! กลิ่นอายเย็นเยือกทำให้สายลมพัดเอาความตื่นเต้นคละคลุ้งทั่วลานประลอง

“ผู้อาวุโสหลี่” หลังจากเผชิญหน้ากันครู่หนึ่ง นักรบจากอาณาจักรยามากุจิก็กล่าวขึ้นก่อนว่า “ที่ผ่านมานั้นข้าเกลียดชังคนจากอาณาจักรชางลี่เป็นที่สุด แต่ท่านคือคนเดียวที่เป็นข้อยกเว้น ท่านคือนักสู้และนักกระบี่ที่น่ายกย่อง ในการต่อสู้คราวนี้ ข้าหวังว่าจะได้รับชมทักษะกระบี่ที่แท้จริงของท่าน! โปรดชี้แนะด้วย!”

หลังจากกล่าวเช่นนั้น เขาก็เอามือไพล่หลังพร้อมโค้งคำนับให้หลี่เสียนจิ้งอย่างจริงใจ

หากเป็นนักกระบี่ชางลี่ผู้อื่นที่อยู่ตรงหน้า นักรบจากอาณาจักรยามากุจิคงไม่คิดทำเช่นนี้ เพราะผู้ตัดสินประกาศเริ่มการแข่งขันแล้ว หากเขากล้าหาญที่จะโค้งคำนับนักกระบี่ชางลี่เหล่านั้น แน่นอนว่าอีกฝ่ายย่อมใช้สถานการณ์นี้ลอบโจมตีเขาอย่างไร้ยางอายอย่างแน่นอน

แต่เพราะฝ่ายตรงข้ามคือหลี่เสียนจิ้ง เทพกระบี่แห่งชางลี่ เช่นนั้นเขาจึงวางใจได้

เมื่อได้ยินคำกล่าวจริงใจของนักรบอาณาจักรยามากุจิแล้ว หลี่เสียนจิ้งจึงพยักหน้า ท่าทางของเขาในวันนี้แปลกประหลาดไปสักหน่อย เขาปิดปากแน่น ไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใด ราวกับว่ากำลังอดกลั้นบางอย่างอยู่

มันได้ผล…

เมื่อเห็นท่าทางของหลี่เสียนจิ้ง เจ้าชายโหยวก็ลอบมีความสุข

“อาวุโสหลี่ เกิดสิ่งใดกับท่าน?”

แม้กระทั่งผู้นำนักรบอาณาจักรยามากุจิยังสังเกตเห็นความแปลกประหลาดนี้

“มีสิ่งใดไม่สบายใจหรือไม่?”

“…”

หลี่เสียนจิ้งโบกมือเพื่อแสดงออกว่าเขาสบายดี แต่ทันใดนั้น เขาก็ส่งเสียงคำรามออกมาราวกับว่ามีสัตว์ร้ายอยู่ในกาย

“นี่มัน…”

เสียงของเขาทำให้ทุกคนตื่นตระหนก แม้แต่นักรบจากอาณาจักรยามากุจิที่กำลังต่อสู้ยังสั่นสะท้าน เขาแทบจะถือกระบี่ในมือไว้ไม่ไหว

เมื่อเห็นโลหิตคลั่งในดวงตา เจ้าชายโหยวก็เผยความตื่นเต้นพร้อมกับชี้ไปที่หลี่เสียนจิ้ง

“ไม่ดีแล้ว! หลี่เสียนจิ้งเป็นบ้าไปแล้ว!”

คำพูดของเขาสร้างความแตกตื่นให้กับผู้ชมโดยรอบ แต่จู่ ๆ เทพกระบี่ชางลี่ที่ยืนอยู่บนเวทีก็สามารถยับยั้งความเกรี้ยวกราดนั้นได้ และกลับสู่รูปลักษณ์ที่น่าเบื่อหน่ายก่อนหน้านี้

“ข้าเป็นบ้าอะไร?”

หลี่เสียนจิ้งมองเจ้าชายโหยว… ก่อนจะกล่าวอย่างใจเย็น

“น… นี่เป็นการเคลื่อนไหวครั้งแรกที่ข้าคิดค้นขึ้นมาหลังจากอาศัยอยู่ในชนบทห่างไกลของต้าเซีย มันถูกเรียกว่า อสูรกายเห่าหอน เพียงเพื่อใช้ข่มขู่ศัตรูก่อนการต่อสู้เท่านั้น เป็นอย่างไรบ้าง… หวาดกลัวงั้นหรือ?”

ผู้นำนักรบจากอาณาจักรยามากุจิจึงกล่าวด้วยความพรั่นพรึงว่า

“ข้าหวาดกลัวจริง ๆ!”

“ข้าเพียงแค่คำราม เหตุใดเจ้าชายโหยวถึงมั่นใจนักว่าข้าเกิดคลุ้มคลั่ง?”

ในเวลานี้ หลี่เสียนจิ้งมองเจ้าชายโหยวพร้อมกล่าวอย่างมีความนัย

อ๊ะ!

เจ้าชายโหยวตื่นตระหนกก่อนจะมองไปรอบ ๆ ทว่าชายชราที่ดูธรรมดาข้างเขากลับหายตัวไปในฝูงชน

เมื่อเห็นว่าผู้สมรู้ร่วมคิดหนีไป เจ้าชายโหยวก็หงุดหงิดขึ้นมา และกว่าเขาจะคิดหาคำแก้ตัวได้ คำถามของหลี่เสียนจิ้งก็ดังขึ้นอีกครั้ง

“เป็นไปได้หรือไม่ว่าเจ้ากระทำสิ่งใดกับข้า?”

คำว่า ‘เจ้า’ ถูกเน้นน้ำหนัก ชัดเจนว่าเทพกระบี่ถูกราชวงศ์ในอาณาจักรของเขากดขี่ข่มเหงเสมอมา และนี่คือการตัดขาดโดยสมบูรณ์!

แม้ชาวชางลี่จะไม่ได้รับความนิยมในอาณาจักรต้าเซีย แต่เทพกระบี่หลี่เสียนจิ้งแห่งชางลี่นั้นเป็นที่เคารพนับถืออย่างมากจากทั้งสามอาณาจักร ว่ากันว่านักรบจากอาณาจักรต้าเซีย และอาณาจักรยามากุจิไม่พอใจที่เจ้าชายโหยวเคยกำจัดเทพกระบี่ชางลี่

“ข้ารู้ดี… เมื่อนานมาแล้ว มีข่าวลือว่าเทพกระบี่ชางลี่ได้สละตำแหน่ง และไม่คิดเข้าร่วมการประลองในสมาพันธ์กระบี่คราวนี้ ทั้งหมดก็เพื่อให้เทพกระบี่คนใหม่ได้รับชัยชนะในการต่อสู้ ข้ายังคิดอยู่ว่าเทพกระบี่จะพ่ายแพ้ต่อผู้อื่นได้อย่างไร? ตอนนี้ดูเหมือนว่าแท้จริงแล้วจะมีพวกบ้าอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้!”

เสียงที่หยาบคายดังขึ้น ในขณะเดียวกันผู้คนจากอาณาจักรต้าเซียต่างโห่ร้องใส่เจ้าชายโหยว

“บัดซบ!”

“ผู้ใดมันกล้าหยาบคายใส่องค์ชายผู้นี้!”

เมื่อได้ยินถ้อยคำเสียดแทง เจ้าชายโหยวก็อดไม่ได้ที่จะพูดบ้าง

“ข้าเอง!”

ชายชราผมขาว รูปร่างสูง ร่างกายเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อเดินออกจากฝูงชน เขาส่งเสียงคำรามใส่องค์ชายโหยว

“อะไร? ไม่เห็นด้วยงั้นหรือ? ข้าย่อมปฏิบัติต่อเจ้าอย่างดีหากเจ้ามีความสามารถ เช่นนั้นจงปฏิบัติให้ข้าผู้นี้เห็นทีเถิดว่าเจ้ามีความสามารถ!”

เจ้าชายโหยวมองชายชราตรงหน้า อีกฝ่ายสวมเสื้อกั้ก ท่อนแขนเปลือยเปล่า และมีกล้ามที่แขนแทบจะหนาเท่าศีรษะของเขา

ทั้งยังมีกระบี่ยักษ์พาดอยู่บนหลัง เมื่อกระบี่ยักษ์ถูกเหวี่ยงออก การเคลื่อนไหวหรือทักษะใดย่อมไม่สำคัญ น้ำหนักของมันสามารถบดขยี้มนุษย์ให้แหลกเป็นเศษเนื้อได้

ปัจจุบันเขาเป็นนักกระบี่อันดับสองในอาณาจักรต้าเซีย อดีตผู้นำสำนักกระบี่ และเป็นปรมาจารย์กระบี่ผู้ยิ่งใหญ่ ฉินตงหลาย

‘กระบี่ปิดผนึก’ ของเขาทรงพลังและแข็งแกร่ง มันสามารถทำลายทุกสิ่งตรงหน้าได้อย่างง่ายดาย เขาเป็นคนนอกรีตในหมู่นักกระบี่ และเป็นผู้ที่ยากจะรับมือมากที่สุด

แม้แต่ตอนหลี่เสียนจิ้งเผชิญหน้ากับบุคคลผู้นี้ ยังต้องใช้ความพยายามอย่างหนักในการเคลื่อนไหว การเข้าใจจุดอ่อนเล็ก ๆ น้อย ๆ ทำให้เขาสามารถเอาชนะปรมาจารย์กระบี่ผู้นี้ได้

เมื่อเวลาผ่านไป ฐานการฝึกฝนของปรมาจารย์กระบี่ผู้ยิ่งใหญ่นี้ยิ่งซับซ้อนมากขึ้น และฐานการฝึกฝนลมปราณของเขาก็ดูเหมือนว่าจะอยู่ในจุดสูงสุดของขอบเขตความเป็นมนุษย์แล้ว สำหรับการต่อสู้กับเจ้าชายโหยวตรงหน้า เขาเพียงแค่ดีดนิ้ว ทุกสิ่งก็จบสิ้น

แน่นอนว่านี่เป็นภาพลวงตาที่เกิดจากสัญชาตญาณของชาวชางลี่ ความจริงแล้ว หากต้องการจะต่อสู้ ไม่ว่าการฝึกฝนพลังปราณภายใน หรือวิชากระบี่ ปรมาจารย์ผู้นี้ก็ยังอยู่เหนือกว่าเจ้าชายโหยวมาก แม้จะออมแรงให้กว่าเจ็ดในสิบก็ยังมีโอกาสชนะ

แต่ในฐานะองค์ชายแห่งอาณาจักรชางลี่ เจ้าชายโหยวก็กล่าวตอบอย่างเคร่งขรึม

“เช่นนั้นก็มาดูกันว่าเจ้ามีความสามารถหรือไม่!”

ทั้งสองนัดหมายต่อสู้กัน ส่วนเรื่องการวางโอสถหลี่เสียนจิ้งกลายเป็นเรื่องขบขันไปเสียแล้ว

บนเวที หลี่เสียนจิ้งและผู้นำนักรบแห่งอาณาจักรยามากุจิได้เริ่มเผชิญหน้ากันอีกครั้ง

“อาวุโสหลี่”

ก่อนจะเริ่มต่อสู้ ผู้นำนักรบอาณาจักรยามากุจิกล่าวยืนยันเป็นครั้งสุดท้าย

“จริงหรือไม่? ที่ชาวชางลี่กระทำการข่มเหงท่าน”

“ไม่ต้องกังวลหรอก”

ใบหน้าของหลี่เสียนจิ้งยังคงสงบนิ่ง

“เทพอาวุโสก่อสร้างรากฐานย่อมปกป้องข้า… ไม่เป็นไร!”

ผู้นำนักรบอาณาจักรยามากุจิสูดลมหายใจลึก ก่อนจะกระชับกระบี่ในมือ แผดเสียงคำรามลั่นพร้อมพุ่งทะยานไปหา

พลังปราณกระบี่โบยบิน ลำแสงกระบี่พัวพันประสานเกิดเป็นความงดงามและปราดเปรียวของท่วงท่ากระบี่ในมือทั้งสอง

หลังจากผ่านไปสิบสามกระบวนท่า กระบี่ของผู้นำนักรบแห่งอาณาจักรยามากุจิก็ร่วงหล่น และกระบี่ของหลี่เสียนจิ้งก็พาดลงที่ลาดไหล่ของเขาอย่างง่ายดาย

“ยังไม่เพียงพอ”

เทพกระบี่ชางลี่กล่าวอย่างใจเย็น

“กลับไปฝึกฝนใหม่ซะ ทักษะกระบี่ของเจ้ายังไม่มั่นคงมากพอ”

ผู้นำนักรบแห่งอาณาจักรยามากุจิสูดลมหายใจลึก ก่อนจะคว้ากระบี่ที่รักเพียงชิ้นเดียวที่เหลือกลับเข้าฝักที่เอวของตนเอง

“ขอบคุณอาวุโสที่ชี้แนะ”

เขาโค้งคำนับให้หลี่เสียนจิ้งอีกครั้ง

“ทำให้สำเร็จ”

ในทางกลับกัน เทพกระบี่ชางลี่กล่าวกับเขาในฐานะคนจากอาณาจักรต้าเซีย

หลังรู้แพ้รู้ชนะ เสียงปรบมือก็ดังขึ้นจากด้านล่างเวทีประลอง ทั้งหมดต่างชื่นชมนักกระบี่ที่โดดเด่นทั้งสอง หลังจากที่หลี่เสียนจิ้งและผู้นำนักรบแห่งอาณาจักรยามากุจิออกจากสนามประลองแล้ว ฉินตงหลาย อดีตปรมาจารย์กระบี่ผู้ยิ่งใหญ่ก็เดินขึ้นสังเวียนพร้อมกับกระบี่ยักษ์บนแผ่นหลัง

“คงยากที่จะออมมือ”

เขากล่าวบางอย่างกับผู้ตัดสิน ก่อนจะหันมองเจ้าชายโหยว

“เจ้ามันไม่คู่ควรให้ข้าผู้นี้สั่งสอน ไปตายซะ!”

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

Status: Ongoing
ณ สำนักกระบี่ชิงหมิง ที่แห่งนี้ยังมี ‘อาจารย์ลุง’ ซึ่งเป็นที่กล่าวขวัญและพบหน้าค่าตาได้ยากอยู่คนหนึ่ง …ที่ถึงแม้จะอยู่เพียงแค่ขั้นพลังชั้นต่ำสุดอย่างกลั่นลมปราณ แต่จะหาใครแกร่งเท่า คงไม่มีอีกแล้ว!‘ไป๋ชิวหราน’ ชื่อนี้ไม่มีใครที่เป็นศิษย์ในสำนักกระบี่ชิงหมิงจะไม่รู้จัก ศิษย์ลูกรักของผู้ก่อตั้งสำนัก อีกทั้งยังเคยเป็นถึงความหวังของสำนักอีกด้วย ใครต่อใครก็บอกว่าเขาเป็นคนมีพรสวรรค์ แต่การที่ไปชิวหรานผู้นี้ต้องมาติดแหง็กอยู่ที่ขั้น ๆ เดิมมาถึงสามพันปี มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ ๆ สวรรค์ต้องเล่นตลกกับเขาอยู่แน่นอน นอกจากจะต้องเร่งบรรลุไปที่ขั้นสูงกว่านี้ให้ไว ๆ เพื่อหลีกหนีความตายแล้ว ยังต้องมารับมือกับเรื่องวุ่นวายทางโลกที่ ‘คนอื่น ๆ’ ชอบพามาหาเขาแบบไม่หยุดไม่หย่อนอีก เห็นเขาใจดีแบบนี้ใช่ว่าจะทำอะไรกับเขาก็ได้นะ!เส้นทางการฝึกตนนั้นไม่เคยง่ายดาย ไป๋ชิวหรานผู้นี้รู้ซึ้งดี ฉะนั้นใครก็ตามที่กล้ามาดูถูกขั้นพลังของเขา ก็เตรียมตัวชักกระบี่มาคุยกันได้เลย!ความตายที่คอยรังควาญไป๋ชิวหรานคือสิ่งใด ขั้นพลังที่เขามักแอบตัดพ้อถึงมันนั้นสูงส่งหรือต่ำเตี้ยเรี่ยดินเพียงไหน โปรดติดตามได้ใน ‘ข้าก็แค่กลั่นลมปราณสามพันปี’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท