ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年] – บทที่ 499 หลีจิ่นเหยาผู้ไร้เดียงสา

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

บทที่ 499 หลีจิ่นเหยาผู้ไร้เดียงสา

บทที่ 499 หลีจิ่นเหยาผู้ไร้เดียงสา

ภายในลานสำนักเหอฮวน

หลีจิ่นเหยาสวมใส่ชุดแม่บ้านพร้อมผ้ากันเปื้อนครบครัน นางตั้งกระทะเหล็กใบใหญ่บนเตารอให้ร้อน จากนั้นเริ่มขยับมีดหั่นผักบนเขียงให้เป็นเส้นบาง ๆ การเคลื่อนไหวทั้งหมดดูราบรื่น

นางเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว หลังจากกระทะเหล็กใบใหญ่เริ่มร้อน นางก็จัดการกับเครื่องเคียงทั้งหมดเสร็จสิ้นแล้ว หลังจากนั้นจึงหยอดน้ำมันลงไปในกระทะทันที เมื่ออุณหภูมิได้ที่แล้ว นางก็หยิบเนื้อที่หมักเอาไว้ออกมาผัดและใส่เครื่องปรุง ก่อนจะราดเครื่องเคียงที่ตระเตรียมไว้ลงไป

ความสามารถในการทำงานบ้านของหลีจิ่นเหยานั้นนับว่าเป็นเลิศ นางปรุงอาหารไปอย่างเพลิดเพลิน ผักและเนื้อสั่นไหวอยู่ภายในกระทะ หลังจากที่มีไฟแลบขึ้นมาจากก้นกระทะสองสามครั้ง พวกมันจึงถูกยกลงจากเตา ทั้งหมดสุกเท่ากันทั้งหมด ทั้งสีของผักและเนื้อสัตว์ล้วนดูดี ส่งกลิ่นชวนน้ำลายสอ

ควันในครัวลอยออกมาตามปล่องไฟ เจียงหลานและซูเซียงเสวี่ยกลับมาบังเอิญเห็นฉากนี้เข้า ทันทีที่ทั้งหมดมาถึงห้องครัว ทั้งสองอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าหลีจิ่นเหยากำลังยุ่งอยู่กับงานครัว

“จิ่นเหยา”

ซูเซียงเสวี่ยเอ่ยปากก่อน

“เหตุใดวันนี้เจ้าจึงเริ่มทำอาหารเร็วนัก?”

เจียงหลานเดินไปที่เตาพร้อมกับเขย่งดูอาหารในจาน

“มากมายถึงเพียงนี้เชียว?”

เจียงหลานหยิบหอยเป๋าฮื้อสดขึ้นมามองดู

“จิ่นเหยา วันนี้พวกเรามีแขกงั้นหรือ?”

ช่วงเวลานี้ไม่มีไป๋ชิวหรานและไป๋ซวี่เซียง มันยากสำหรับเจียงหลานและซูเซียงเสวี่ยที่จะคาดเดาว่าหลีจิ่นเหยาจะปรุงจานอร่อยเหล่านี้ให้กับพวกตน

หลังจากที่สามีและบุตรสาวของพวกนางออกจากบ้านไป ภรรยาทั้งสามก็รับประทานอาหารง่าย ๆ เสมอมา และบางครั้งถึงกับไม่รับประทานด้วยซ้ำ บางครั้งพวกเขาเพียงอิ่มทิพย์ หรือดื่มกินน้ำค้างเป็นครั้งคราวเท่านั้น

เมื่อเห็นว่างานครัวของจิ่นเหยายุ่งขึ้นมาในวันนี้ เจียงหลานและซูเซียงเสวียจึงอดคิดไม่ได้ว่าภายในบ้านของพวกตนจะต้องรับแขก

“เป็นอาจารย์ของข้า”

หลังจากจัดการกับจานร้อนที่ปรุงเสร็จใหม่แล้ว หลีจิ่นเหยาถอนหายใจขณะวางหม้อซุปลงบนเตาอีกครั้ง

“แม้จะมีคนกล่าวอยู่เสมอว่าข้ามักจะรังแกอาจารย์ และต้องการล้มล้างบรรพบุรุษ แต่สตรีผู้นั้นก็เลี้ยงดูข้ามาหลายปี นางเขียนจดหมายถึงข้าเมื่อวันก่อน และในจดหมายนั้นนางร่ำไห้บอกว่าคิดถึงข้า ทั้งจะมาเยี่ยมข้าพร้อมกับเจวี๋ยอวิ๋นจื่อด้วย นางไม่ได้ลิ้มรสฝีมือข้านานแล้ว และขอให้ข้าแสดงความเคารพต่ออาจารย์เสียบ้าง เช่นนั้นข้าจึงต้องลงมือปรุงอาหารอย่างไม่เต็มใจนัก”

เจียงหลานและซูเซียงเสวี่ยมองหน้ากันด้วยรอยยิ้ม

แม้หลีจิ่นเหยาและจี้หลิงอวิ๋นจะไม่ค่อยพูดจากันเมื่อได้พบ แต่พวกเขาทั้งสองก็ยังให้ความสำคัญกันและกันเสมอมา เพียงแค่มองอาหารสดที่แม่นางหลีจิ่นเหยาตระเตรียมบนโต๊ะ บางอย่างไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถหาซื้อได้ตามท้องตลาดทั่วไป บางสิ่งนั้นอยู่ภายในหุบเขาลึก ไม่ต้องกล่าวเลยว่าผู้ใดเป็นคนออกค้นหาสิ่งเหล่านี้ ย่อมต้องเป็นหลีจิ่นเหยาที่ออกไปค้นหาสิ่งเหล่านี้เองเมื่อได้ทราบว่าอาจารย์ของตนจะมาเยี่ยมเยียน

“เอาล่ะ! พอแล้ว สองพี่น้องหยุดหัวเราะข้าก่อนเถิด”

หลีจิ่นเหยาเช็ดมือของนางด้วยผ้ากันเปื้อน

“หากอาจารย์ตัวแสบของข้ามาถึงเมื่อไหร่…”

“ข้าจะช่วยต้อนรับ”

ซูเซียงเสวี่ยกล่าว

“ผู้นำจี้และข้าถูกพิจารณาว่าอยู่ในระดับเดียวกัน เราต่างก็เป็นเจ้าสำนักของสำนักทั้งสามของสำนักอสูร ดังนั้นมิตรภาพของเราจึงไม่ใช่ตื้นเขิน”

“สำหรับเจวี๋ยอวิ๋นจื่อ ปล่อยเขาไป”

เจียงหลานยิ้มพร้อมกล่าวว่า

“อย่างไรก็เป็นไปตามเจตนาของชิวหราน นอกจากนี้ยังทำให้เขาได้รับทราบถึงเรื่องราวในอดีต ถือได้ว่าเป็นความอัปยศที่ค่อนข้างไร้ยางอายไม่น้อย”

“เช่นนั้นขอขอบคุณพี่สาวทั้งสองแล้ว”

หลีจิ่นเหยายิ้มก่อนจะกล่าวว่า

“ไม่ต้องกังวล ข้าจะแสดงฝีมือให้พวกท่านในภายหลัง”

นางพับแขนเสื้อขึ้นเผยท่าทางมั่นใจ

เจียงหลานและซูเซียงเสวี่ยเดินออกจากห้องครัวและนั่งรออยู่ในลานบ้านสักครู่ จากนั้นศิษย์สตรีของสำนักเหอฮวนพาเจวี๋ยอวิ๋นจื่อและจี้หลิงอวิ๋นมาที่ประตูของลาน

เจวี๋ยอวิ๋นจื่อและจี้หลิงอวิ๋นมอบของขวัญให้กับซูเซียงเสวี่ยและเจียงหลาน จากนั้นเจียงหลานและซูเซียงเสวี่ยรีบเชิญพวกเขาและศิษย์ที่ติดตามเข้ามาในบ้าน ก่อนจะต้อนรับด้วยน้ำชา

ทั้งกลุ่มนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น เจวี๋ยอวิ๋นจื่อจิบชา หลังจากนั้นจึงกล่าวถามเจียงหลานและคนอื่น ๆ

“ท่านอาจารย์ทั้งสอง ข้าขอถามได้หรือไม่ว่าท่านบรรพชนกระบี่ไปไหนหรือ?”

“ชิวหรานมีบางสิ่งที่ต้องไปทำในแดนเซียนกับถังรั่วเวย”

เจียงหลานยิ้มพร้อมกล่าวถาม

“เจ้ามีเรื่องสำคัญกับเขาหรือไม่?”

“ไม่ใช่ข้า เป็นเพียงว่าอาวุโสภายในตระกูลของเรา! และอาจารย์ของจี้หลิงอวิ๋นกำลังจะทะยานสู่สวรรค์ และข้าจึงอยากจะถามท่านอาจารย์ลุงว่าเขาจะสามารถแนะนำบางสิ่งได้หรือไม่”

เจวี๋ยอวิ๋นจื่อยิ้มพร้อมกล่าวตอบ

“โชคร้ายที่ท่านอาจารย์ลุงออกไปต่อสู้เพื่อโลกทั้งใบ อาวุโสของพวกเราและท่านประมุขจี้เฒ่าของสำนักอสูรสวรรค์คงจะต้องทะยานสู่สวรรค์ด้วยตนเองแล้ว”

มีสิ่งหนึ่งกำลังลอบแอบฟังบทสนทนาของพวกเขา อักขระโบราณสีเงินวูบไหวอยู่ด้านหลัง ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นสิ่งนั้น

ในทางกลับกัน จี้หลิงอวิ๋นอดไม่ได้ที่จะกระทืบเท้าเบา ๆ ก่อนจะมองไปรอบด้านและกล่าวถาม

“แล้วสาวน้อยผู้นั้นอยู่ที่ใดหรือ? เหตุใดจึงไม่ออกมา?”

“ท่านหมายถึงหลีจิ่นเหยา?”

ซูเซียงเสวี่ยหัวเราะเมื่อได้ยินเช่นนั้น

“หลังจากที่นางทราบข่าวว่าท่านกำลังจะมา นางออกไปค้นหาวัตถุดิบหายากตั้งแต่เช้า และต้องการปรุงอาหารจานอร่อยให้ท่าน ตอนนี้นางจึงกำลังยุ่งอยู่ในครัว”

หลังจากได้ยินคำพูดของซูเซียงเสวี่ยแล้ว จี้หลิงอวิ๋นเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แววตาพลันอ่อนลง นางรู้สึกมีความสุขอย่างไม่สามารถปิดกั้นเอาไว้ได้ แต่เมื่อเห็นการจับจ้องของเจียงหลานและดวงตาของซูเซียงเสวี่ยแล้ว จี้หลิงอวิ๋นที่กำลังจะเผยรอยยิ้มรีบเฉไฉพร้อมกระแอมไอเบา ๆ แสร้งทำให้ตนเองสงบลงอีกครั้ง ก่อนจะเผยสีหน้าเย็นชาเช่นเคย

“เด็กสาวผู้นั้นคงจะตายไปแล้วกระมัง อาวุโสมาเยี่ยมถึงที่นี่แล้ว แต่ยังไม่คิดจะออกมาต้อนรับ”

จี้หลิงอวิ๋นไออีกครั้งก่อนจะกล่าวต่อ

“ข้าจะไปรับชมสักหน่อยว่านางยุ่งจริงหรือไม่”

หลังจากกล่าวจบ นางรีบขอโทษเจียงหลานและซูเซียงเสวี่ย และขออนุญาตเข้าไปในห้องครัว

ไม่ถึงนาที เสียงของจี้หลิงอวิ๋นและหลีจิ่นเหยาดังออกมาจากในครัว

เจียงหลานและซูเซียงเสวี่ยมองเจวี๋ยอวิ๋นจื่อ ทั้งสามคนเผยรอยยิ้มออกมาพร้อมกัน จากนั้นซูเซียงเสวี่ยก็กล่าวคำออกมา

“อยากไปรับชมบ้างหรือไม่?”

“ไม่! ไม่แล้ว! เชิญท่านอาจารย์ทั้งสอง”

เจวี๋ยอวิ๋นจื่อโบกมือพร้อมกล่าวปฏิเสธ

“ข้าเกรงว่านางจะสร้างปัญหาให้กับข้า… นางคงทุบตีข้าจนตาย!”

“เช่นนั้นก็ตามใจแล้ว”

เจียงหลานกล่าวสั้น ๆ

“เจ้าไม่ได้รับสืบทอดความดีงามของไป๋ชิวหรานเลยหรือ? เรื่องความเท่าเทียมของชายและหญิง ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของเจ้าและท่านประมุขจี้คงจะไม่ได้มีสัมพันธ์มั่นคงนัก”

“แค่ก ๆ อาจารย์หยอกล้อข้าแล้ว อะไรเล่าจะสามารถบ่งบอกความมั่นคงของความสัมพันธ์…”

เจวี๋ยอวิ๋นจื่อกระแอมไอเบา ๆ ก่อนจะมองเหล่าศิษย์ที่ติดตามมา เขารู้สึกอับอายเล็กน้อยพร้อมกล่าวเสียงต่ำ

“สำคัญคือตอนนี้ข้าคือผู้นำของพันธมิตรผู้ฝึกตน และนางเป็นรองผู้นำ เราทั้งคู่มาพร้อมกับเหล่าศิษย์ หากมีการทะเลาะกันระหว่างทางกลับ ด้วยฐานะของผู้นำและรองผู้นำมันคงจะมัวหมองไม่น้อย”

“อืม ถูกต้องแล้ว!”

เจียงหลานพยักหน้า

“ถ้าเช่นนั้น เซียงเสวี่ย เราไปรับชมกันเถิด… จิ่นเหยายังคงทำอาหารอยู่ เพื่อไม่ให้อาจารย์และศิษย์ทะเลาะกันอีก เวลานี้ท่านประมุขจี้นั้นอยู่ห่างไกลจากการเป็นคู่ต่อสู้ของจิ่นเหยามากนัก”

“อืม”

ซูเซียงเสวี่ยและเจียงหลานกล่าวขอตัวจากเจวี๋ยอวิ๋นจื่อก่อนจะเดินออกไปพร้อมกัน และเปิดประตูออกกว้าง

ขณะที่ทั้งสองกำลังเดินไป นิ้วของศิษย์ที่อยู่ด้านข้างของเจวี๋ยอวิ๋นเริ่มบิดเบี้ยว …ก่อนมันจะกลายเป็นโคลนสีเงินเข้าปกคลุม…

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

Status: Ongoing
ณ สำนักกระบี่ชิงหมิง ที่แห่งนี้ยังมี ‘อาจารย์ลุง’ ซึ่งเป็นที่กล่าวขวัญและพบหน้าค่าตาได้ยากอยู่คนหนึ่ง …ที่ถึงแม้จะอยู่เพียงแค่ขั้นพลังชั้นต่ำสุดอย่างกลั่นลมปราณ แต่จะหาใครแกร่งเท่า คงไม่มีอีกแล้ว!‘ไป๋ชิวหราน’ ชื่อนี้ไม่มีใครที่เป็นศิษย์ในสำนักกระบี่ชิงหมิงจะไม่รู้จัก ศิษย์ลูกรักของผู้ก่อตั้งสำนัก อีกทั้งยังเคยเป็นถึงความหวังของสำนักอีกด้วย ใครต่อใครก็บอกว่าเขาเป็นคนมีพรสวรรค์ แต่การที่ไปชิวหรานผู้นี้ต้องมาติดแหง็กอยู่ที่ขั้น ๆ เดิมมาถึงสามพันปี มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ ๆ สวรรค์ต้องเล่นตลกกับเขาอยู่แน่นอน นอกจากจะต้องเร่งบรรลุไปที่ขั้นสูงกว่านี้ให้ไว ๆ เพื่อหลีกหนีความตายแล้ว ยังต้องมารับมือกับเรื่องวุ่นวายทางโลกที่ ‘คนอื่น ๆ’ ชอบพามาหาเขาแบบไม่หยุดไม่หย่อนอีก เห็นเขาใจดีแบบนี้ใช่ว่าจะทำอะไรกับเขาก็ได้นะ!เส้นทางการฝึกตนนั้นไม่เคยง่ายดาย ไป๋ชิวหรานผู้นี้รู้ซึ้งดี ฉะนั้นใครก็ตามที่กล้ามาดูถูกขั้นพลังของเขา ก็เตรียมตัวชักกระบี่มาคุยกันได้เลย!ความตายที่คอยรังควาญไป๋ชิวหรานคือสิ่งใด ขั้นพลังที่เขามักแอบตัดพ้อถึงมันนั้นสูงส่งหรือต่ำเตี้ยเรี่ยดินเพียงไหน โปรดติดตามได้ใน ‘ข้าก็แค่กลั่นลมปราณสามพันปี’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท