บทที่ 534 ลวงอาจารย์ สังหารบรรพชน เป็นเรื่องสมควรกระทำ!
บทที่ 534 ลวงอาจารย์ สังหารบรรพชน เป็นเรื่องสมควรกระทำ!
ในเวลานี้ทั้งไป๋ชิวหรานและซูเซียงเสวี่ยรู้สึกหนักใจยิ่ง
นามของไป๋โม่เสวี่ยมาจากพยางค์สุดท้ายของสกุลไป๋ชิวหรานและชื่อของซูเซียงเสวี่ย โดยมีคำว่าโม่อยู่ตรงกลางซึ่งแปลว่า ‘ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน’ เพราะนามโม่เสวี่ยหมายถึงฟองหิมะที่ดูค่อนไปทางสตรี ดังนั้นจึงใช้คำพ้องเสียง ‘โม่’ ที่แปลว่าทะเลทราย แทน ‘โม่’ ที่แปลว่าฟอง
อย่างไรก็ตาม หลังจากไป๋ลี่ชี้ให้เห็นถึงความสามารถพิเศษตั้งแต่กำเนิดของไป๋โม่เสวี่ยแล้ว ไป๋ชิวหรานก็รู้สึกสะท้อนใจ
“หรือว่าเราควรจะตั้งชื่อให้เด็กคนนี้ว่าไป๋ต้าหลี …ไป๋กังเฉียง หรืออะไรแบบนั้น?”
ไป๋ชิวหรานแตะคางพร้อมมองบุตรชายในอ้อมแขนของซูเซียงเสวี่ยอย่างครุ่นคิด
“น่าเกลียดเกินไป! ในอนาคตเด็กคนนี้จะขุ่นเคืองเราได้!”
ซูเซียงเสวี่ยคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ยังปฏิเสธข้อเสนอน่าดึงดูดใจนี้
“ชื่อนั้นไม่สำคัญเท่าไหร่นัก ขอเพียงสั่งสอนเด็กคนนี้ให้มีพฤติกรรมที่เหมาะสมในอนาคตก็เพียงพอ เท่านั้นก็ดีแล้ว”
“เซียงเสวี่ยกล่าวถูกต้องแล้ว”
ไป๋ชิวหรานถอนหายใจ
ในไม่ช้างานเลี้ยงก็จบลง อาหารบนโต๊ะเกือบทั้งหมดแทบจะหมดสิ้น แขกบางคนที่เข้ามาร่วมงานพักดื่มชาสักครู่แล้วกลับออกไป แต่ก็มีหลายคนที่กลับออกไปก่อนหน้านี้แล้ว
อย่างไรก็ตาม ในบรรดาคนที่ยังอยู่ก็ยังแบ่งแยกชัดเจนในหมู่พวกเขา ยกเว้นปรมาจารย์และศิษย์ทั้งสี่ของไป๋ลี่ ผู้ที่อยู่ในโลกแห่งการฝึกตนก็ยังคงสนทนาอยู่กับสหายร่วมเผ่าพันธุ์ตนเอง และผู้ที่อยู่ในโลกแห่งเซียน ก็จะสนทนากับเซียนเท่านั้น
ไม่ใช่ทุกคนที่เหมือนกับไป๋ชิวหราน ไป๋ลี่ และคนอื่น ๆ ที่สามารถทำทุกอย่างได้ตามต้องการ สิ่งมีชีวิตทั้งหมดล้วนเท่าเทียม และพวกเขาสามารถอยู่ร่วมกับแวดวงต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดาย
มีช่องว่างขนาดใหญ่สำหรับผู้ฝึกตนและเหล่าเซียน อีกทั้งมันยังเกี่ยวข้องกับช่องว่างในหัวใจของพวกเขาด้วยเช่นกัน… ดังนั้นจึงไม่ง่ายเลยที่ทั้งหมดจะมานั่งร่วมกันและพูดคุยกันได้
ไป๋ชิวหรานเห็นสถานการณ์เหล่านี้แต่เขาไม่คิดสนใจ ผู้ฝึกตนที่เขาเชิญมาในวันนี้อีกไม่นานก็จะเข้าสู่โลกแห่งเซียน และหลังจากที่พวกเขาประสบความสำเร็จในการเข้าสู่ขั้นเซียน อุปสรรคที่เคยมีจะค่อย ๆ เลือนหายไปเอง
หลังจากนั้นไม่นาน ไป๋โม่เสวี่ยซึ่งนอนหลับอยู่ในอ้อมแขนของซูเซียงเสวี่ยตื่นขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้หนูน้อยไม่ตกใจและร้องไห้แล้ว เพียงแต่ห่อตัวอยู่ในผ้าและมองทุกคนในแววตาใคร่รู้ แน่นอนว่าหากมีใครที่อยู่ภายในลานแห่งนี้ต้องการจะกอดหรือโอบอุ้มเขา …เด็กน้อยจะกรีดร้องออกมาอย่างแน่นอน
ก่อนหน้านี้เมื่อคราวไป๋ซวี่เซียงไม่เคยมีปัญหาเช่นนี้มาก่อน นางยินยอมให้ทุกคนจับตัวโดยง่ายดาย แต่ไป๋ชิวหรานรู้สึกว่าพี่น้องทั้งสองนี้แทบจะตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง!
แม้ไป๋ซวี่เซียงจะเป็นเด็กหญิง แต่นางก็มีความซุกซน และก็สามารถทำสิ่งต่าง ๆ มากมายที่เด็กเหลือขอสักคนไม่กล้าทำ ส่วนไป๋โม่เสวี่ยนั้นหาก… มองจากท่าทีของเขาในเวลานี้ ในอนาคตข้างหน้าเขาจะกลายเป็นบุรุษผู้สง่างามและถือตัวเคร่งขรึม
และแน่นอนว่าในอนาคตไป๋… โม่เสวี่ยจะถูกพี่สาวของตนกลั่นแกล้งแน่นอน หากนางมีโอกาส
เวลานี้ไป๋โม่เสวี่ยอยู่ในอ้อมแขนของหลีจิ่นเหยา ซึ่งมีจี้หลิงอวิ๋นนั่งอยู่ด้านข้าง เมื่อมองไป๋โม่เสวี่ยแล้วก็ได้แต่ต้องทอดถอนใจ
“ตัวน้อยเพียงเท่านี้ มันเหมือนกับครั้งที่ข้าอุ้มเจ้ากลับสำนักเลย… กล่าวแล้วก็คิดถึงไม่น้อย”
หลีจิ่นเหยามองอาจารย์ของตน
“หากต้องการเลี้ยงบุตรก็หาสามีเองเสีย อย่าทำตัวไร้ความสามารถเช่นนั้น…”
“ปากเหม็น! เจ้าไม่มีสิ่งดี ๆ จะพ่นออกมาจากปากหรือไร”
จี้หลิงอวิ๋นมองหลีจิ่นเหยาด้วยแววตาขุ่นเคืองก่อนจะกล่าวคำหดหู่
“หลังจากข้าสั่งสอนเจ้าเกี่ยวกับคำภีร์อสูรสวรรค์แล้ว ข้าควรจะไม่เพิกเฉยต่อคำเตือนสองบรรทัดที่หน้าปกของมัน!”
คำภีร์อสูรสวรรค์เป็นทักษะสูงสุดของสำนักอสูรสวรรค์ มันถูกทิ้งไว้โดยบรรพบุรุษของผู้ก่อตั้งสำนักอสูรสวรรค์ในช่วงสิบปีแรกของเก้าทวีปมหาสิบแผ่นดินที่วุ่นวาย อีกทั้งยังมีคำเตือนของเขากล่าวเอาไว้ว่า “ลวงอาจารย์สังหารบรรพชน เป็นเรื่องสมควรกระทำ”
จากข่าวลือ การถือกำเนิดของบรรพบุรุษอสูรสวรรค์ในคราวแรกเพราะเขาคือบุตรคนที่ห้า แต่เขาทำร้ายบรรพบุรุษของตนเองพร้อมกับพี่น้องทั้งหมดก่อนจะช่วงชิงมรดก จากนั้นเขาจึงกลายเป็นรุ่นที่หนึ่งของอสูรสวรรค์ และแน่นอนว่าอาจารย์ของเขาก็ไม่ใช่คนดีตั้งแต่ต้น
“พูดแล้วก็…”
หลังจากหยุดไปชั่วคราว เมื่อเห็นว่าหลีจิ่นเหยายังคงหยอกล้อกับเด็กน้อยอย่างสนุกสนาน จี้หลิงอวิ๋นอดไม่ได้ที่จะกล่าว
“สาวน้อย ในเมื่อเจ้าชอบเด็กมากขนาดนี้ เหตุใดจึงไม่มีบุตรของตนบ้างล่ะ? หากเจ้าขยันมันย่อมไม่ใช้เวลานานนัก หรือว่าบรรพชนกระบี่ไม่คิดมอบเด็กให้กับเจ้า?”
“ท่านไม่ควรถามเช่นนี้ท่านอาจารย์ หากถามเช่นนี้ได้ แสดงว่าท่านยังไม่เข้าใจ”
แม่นางน้อยเผยความเย่อหยิ่ง ในขณะที่ส่งไป๋โม่เสวี่ยให้กับถังรั่วเวยที่อยู่ด้านข้าง แล้วหันกลับมาตำหนิอาจารย์ของตน
“บุตรทั้งสองคนของอาวุโสชิวหรานในครอบครัวเรา ท่านไม่ทราบหรือว่าพวกเขามีอะไรที่เหมือนกัน?”
“หืม… อะไรหรือที่เหมือนกัน?”
จี้หลิงอวิ๋นคิดไตร่ตรองก่อนจะกล่าวตอบ
“แซ่ของพวกเขา?”
“…”
หลีจิ่นเหยาชำเลืองมองอาจารย์ของตนโดยไม่กล่าวอะไร ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ท่านอาจารย์ จิ่นเหยาจะทำหน้าที่บุตรกตัญญูครั้งสุดท้าย… ท่านไม่ควรขึ้นสู่สวรรค์! ในอนาคตหากท่านมีใบหน้าที่ดีและสามารถประสบความสำเร็จในการข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ได้ จากนั้นให้อยู่ในเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดินด้วยการเป็นอาวุโสสูงสุด เป็นอมตะในโลกนี้ด้วยความสบายใจเสียดีกว่า… ด้วยระดับความรู้ของท่าน หากท่านเข้าสู่โลกเซียนแล้ว ท่านคงจะต้องถูกหลอกลวงจนถึงจุดที่ถูกนำไปขาย …เวลานั้นท่านคงไม่ต่างอะไรจากเครื่องมือในการหาเงินให้กับผู้อื่น”
แน่นอนว่าจี้หลิงอวิ๋นโกรธมากเมื่อได้รับฟัง แต่หลีจิ่นเหยาไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายขุ่นเคืองก่อนจะกล่าวอธิบายต่อ
“ก่อนอื่นเริ่มที่ซวี่เซียง! ในฐานะบุตรของพี่หญิงหลานและอาวุโสชิวหราน คุณสมบัติของนางส่วนใหญ่แล้วได้รับมาจากสายเลือดของบิดามารดา ความสามารถของซวี่เซียงนั้นแข็งแกร่ง อีกทั้งยังเกิดมาพร้อมกับพลังแห่งทวยเทพที่สามารถควบคุมกฎเกณฑ์ธรรมชาติได้ ยิ่งไปกว่านั้น… อีกสิ่งที่นางควบคุมได้คือกฎแห่งมิติ ข้าเคยได้ยินอาวุโสชิวหรานและพี่หญิงหลานกล่าวว่าแม้แต่ในยุคแห่งเทพเจ้า ความสามารถนี้ยังไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน! ตราบใดที่นางฝึกฝนอย่างหนักและเติบโตขึ้น ในอนาคต นางอาจจะยิ่งใหญ่เกินกว่าจักรพรรดิเซียนตะวันออกไท่อีก็ย่อมได้ อีกทั้งบุคลิกของซวี่เซียงก็ซุกซนมากใช่หรือไม่?”
“อืม”
จี้หลิงอวิ๋นกล่าวตอบอย่างไม่รู้ตัว
“แล้วทำไมหรือ?”
“อ่า… ด้วยสติปัญญาของท่าน มันยากเหลือเกินที่ข้าจะอธิบายให้ท่านเข้าใจ”
แม่นางน้อยมองอาจารย์ของนางด้วยสายตาที่ว่างเปล่า และไม่คิดจะกล่าวยกย่องอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
“อีกทั้งข้าเคยได้ยินจากอาวุโสชิวหรานว่า เดิมทีพี่หญิงหลานเป็นหนึ่งในหกเทพเจ้าแห่งความเที่ยงธรรมของตำหนักสวรรค์ และหลังจากที่พี่หญิงหลานปกปิดพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงพลังที่สุดของนางไว้ กระบี่วารีสารทกระจ่างฟ้าเป็นสิ่งเดียวที่รองรับพลังของอาวุโสชิวหรานได้ และมันถูกสร้างขึ้นจากพี่หญิงหลาน เวลานี้… ลองจินตนาการถึงพี่หญิงหลานในเวลานั้น ด้วยพลังทั้งหมดแห่งทวยเทพ นางคือผู้ที่อยู่ภายใต้จักรพรรดิตะวันออกไท่อี ยิ่งไปกว่านั้น พี่หญิงหลานยังเคยบอกกล่าวว่านางยังเด็ก และก็ซุกซนมากเช่นกัน แต่ไม่อาจเทียบเท่าซวี่เซียงเวลานี้ได้”
“เจ้ากำลังจะบอกว่า…”
จี้หลิงอวิ๋นสัมผัสถึงความหมายของหลีจิ่นเหยาได้เล็กน้อย
“แล้วดูโม่เสวี่ยกับพี่หญิงเซียงเสวี่ยมาจากเผ่าอสูร เป็นสาวงามที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี อีกทั้งยังมีเสน่ห์เหลือล้น และนางก็เป็นราชวงศ์สายเลือดบริสุทธิ์ของเผ่าอสูรในยุคนี้ และตอนนี้โม่เสวี่ยถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว เวลานี้ยังไม่ต้องกล่าวถึงใบหน้า พลังรัญจวนและสายเลือดของเผ่าพันธุ์อสูรในร่างกาย ข้าไม่ทราบว่าเขาแข็งแกร่งมากกว่าพี่หญิงเซียงเสวี่ยกี่เท่าเมื่อนางเริ่มฝึกฝน เมื่อถึงเวลาที่เขาเติบโตมันจะไม่ยากเย็นเลยหากเขาจะอยู่เหนือมารดาตนเอง”
หลีจิ่นเหยายกนิ้วขึ้นพร้อมเขย่าไปมา
“ดังนั้นท่านน่าจะคาดเดาลักษณะทางกายภาพของอาวุโสชิวหรานได้ใช่หรือไม่? อย่างที่เขากล่าว กรรมพันธ์ของสวรรค์ริษยาเป็นตัวเร่งปฏิกริยาที่แข็งแกร่งที่สุด ซึ่งสามารถกระตุ้นคุณลักษณะที่เหนือกว่าร่างกายมารดา… เอาล่ะ ท่านอาจารย์ แล้วท่านคิดว่าลักษณะเด่นของข้าคืออะไร?”
“ก็คือพรสวรรค์และความรวดเร็วของเจ้าไม่ใช่หรือ?”
จี้หลิงอวิ๋นกล่าวตอบโดยไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำ
“โอ้ ว่าไม่ได้แล้ว ท่านก็พอจะฉลาดอยู่บ้าง!”
แม่นางน้อยยกศีรษะเชิดขึ้นพร้อมกับยืดตัวตรงอย่างภาคภูมิใจ
“แต่นอกเหนือจากนั้น… ข้ายังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ยอดเยี่ยม”
จี้หลิงอวิ๋นมองหลีจิ่นเหยา ทั้งสองสบตากันและกัน จากนั้นศิษย์ที่จี้หลิงอวิ๋นภาคภูมิใจที่สุด… ก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังมองร่างกายของนางเป็นตัวแทนประโยคต่อไป…
ประโยคนั้นเขียนไว้ในหน้าคัมภีร์อสูรสวรรค์ของสำนักอสูรสวรรค์ที่สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น และเป็นแรงบันดาลใจให้กับบุตรหลานอสูรสวรรค์ทุกคน
ประโยคนั้นเป็นสิ่งที่จี้หลิงอวิ๋นต้องการจะลบทิ้งเสียให้สิ้นซาก ‘ลวงอาจารย์ สังหารบรรพชน เป็นเรื่องสมควรกระทำ’