ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年] – บทที่ 554 การสืบทอดของสวรรค์ริษยา

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

บทที่ 554 การสืบทอดของสวรรค์ริษยา

บทที่ 554 การสืบทอดของสวรรค์ริษยา

“ข้าไม่รู้ว่าโอ้อวดคืออะไร?”

ขณะเผชิญหน้ากับความสงสัยของไป๋ชิวหราน ร่างจำแลงอาจารย์อสูรของวิถีสวรรค์พลันแสดงใบหน้าระรื่นออกมาและกล่าวอย่างแผ่วเบา

“นี่ ในเมื่อเจ้าสามารถโกหกได้ …แล้วจะไม่รู้เรื่องโอ้อวดได้อย่างไร?”

ไป๋ชิวหรานมองอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้า

“เจ้าคนปัญญานิ่มเอ๋ย นี่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยหรือ?”

“ยังไงสิ่งที่ข้าพูดไปก็เป็นความจริงอยู่แล้ว จะเชื่อหรือไม่เชื่อ มันขึ้นอยู่กับเจ้า”

ร่างจำแลงอาจารย์อสูรของวิถีสวรรค์เมินคำพูดงี่เง่าของไป๋ชิวหราน

“ก็ได้ เข้าเรื่องกันดีกว่า”

ไป๋ชิวหรานกล่าว

“ตามที่เจ้าว่า สิ่งที่เผ่าแมลงหวาดกลัวอาจจะเป็นเผ่าพันธุ์ที่เคยถูกใช้เป็นวัสดุของสวรรค์ริษยา แต่ศพของสวรรค์ริษยารุ่นแรกควรกลายเป็นเถ้าถ่านในซากปรักหักพังใช่หรือไม่? ข้าไม่รู้ว่ากลิ่นอายของสวรรค์ริษยาผ่านมากี่รุ่น มันอาจจะสืบทอดกลิ่นอายของเผ่าพันธุ์มาก็ได้หรือเปล่า?”

“ในทางทฤษฎีมันก็ใช่”

ร่างจำแลงอาจารย์อสูรของวิถีสวรรค์กล่าวตอบ

“เพราะตอนที่ข้าสร้างเผ่าพันธุ์มนุษย์อย่างสวรรค์ริษยาขึ้นมา ข้าไม่เหมือนกับจักรพรรดิตะวันออกไท่อีที่ใช้เพียงร่างของเผ่าพันธุ์นั้นเป็นแม่แบบพื้นฐาน แต่ใช้การแยกชิ้นส่วนร่างนั้นออกที่เป็นพลังงานและแนวคิดแทน จากนั้น บนพื้นฐานของพลังงานและแนวคิดพิเศษนี้ สวรรค์ริษยาจึงได้ถูกสร้างขึ้น ถึงแม้ข้าจะไม่สามารถจำลองแนวคิดที่ทรงพลังเหนือจินตนาการได้ แต่ข้าสามารถใช้มันเพื่อสร้างกฎของการสืบทอดได้ การสืบทอดของสวรรค์ริษยาไม่ได้ขึ้นอยู่กับสายเลือด หลังจากการตายของสวรรค์ริษยารุ่นก่อน แนวคิดเหล่านั้นจะไปเกิดใหม่ ถูกใครสักคนครอบครองในยุคถัดไปทันที… นี่คือสาเหตุที่ว่าทำไมสวรรค์ริษยาไม่สามารถถูกสืบทอดทางสายเลือดได้ มีเพียงหนึ่งเดียวในยุคเท่านั้น เนื่องจากแนวคิดเหล่านั้นมีเพียงสำเนาเดียว”

“ถ้างั้นตอนนี้แนวคิดนั่นก็อยู่กับข้างั้นหรือ?”

ไป๋ชิวหรานลูบคางพลางครุ่นคิด

“อื้ม”

ร่างจำแลงอาจารย์อสูรของวิถีสวรรค์พยักหน้า

“สัตว์ประหลาดที่กลืนกินโลก มองโลกเป็นอาหารถูกข้าตั้งชื่อว่า ‘ผู้กลืนกินโลก’ ความจุช่องท้องของมันมีไม่จำกัด โดยเฉพาะตัวที่ถูกข้าฆ่าโดยใช้โชคช่วย ความจุของช่องท้องในร่างของมันอาจจะสามารถจุความว่างเปล่าทั้งหมดเอาไว้ได้ ทว่าข้าคิดว่ามันสูญเปล่าเล็กน้อยที่ใช้ความจุไร้ขีดจำกัดนี้มาเป็นอวัยวะย่อยอาหาร ดังนั้นข้าจึงเปลี่ยนช่องท้องอันไร้ที่สิ้นสุดนั่นให้กลายเป็นอวัยวะสำรองพลังงาน คอยแปลงพลังงานเพื่อปลดปล่อยพลังงานออกมา มันคือคฤหาสน์ม่วงของเผ่าพันธุ์มนุษย์นั่นแหละ… คฤหาสน์ม่วงของเจ้าไร้ที่สิ้นสุด นี่หมายความว่าเจ้าได้สืบทอดแนวคิดของสัตว์ประหลาดตัวนี้มาแล้ว”

“ถ้าอย่างนั้น… ที่ข้าไม่สามารถสร้างรากฐานได้เป็นเวลานาน ทั้งหมดเป็นความผิดของเจ้าใช่หรือไม่?”

ไป๋ชิวหรานพลันเปลี่ยนเรื่องก่อนเอ่ยถาม

“…”

ร่างจำแลงอาจารย์อสูรของวิถีสวรรค์เรียนรู้ที่จะทำตัวฉลาดในครั้งนี้ นางไม่ตอบทันที หลังจากครุ่นคิดสักพักจึงตอบว่า

“เป็นเพราะเจ้าไม่พบเส้นทางที่ถูกต้องนั่นแหละ… เอาล่ะ ข้ายอมรับว่าตัวเองมีส่วนที่ต้องรับผิดชอบ แต่ว่าถ้าเจ้ารู้ตั้งแต่แรกว่าข้าใช้พลังภายนอกเพื่อบีบบังคับให้คฤหาสน์ม่วงรวมตัวเป็นแก่นแท้ของเจ้าขึ้นมา เช่นนั้นเจ้าก็สามารถสร้างรากฐานขึ้นมาได้ตั้งแต่ต้น”

“เจ้าพูดจามีเหตุผลเหมือนกันนี่”

ไป๋ชิวหรานพยักหน้าอย่างจริงจัง

“ใช่ไหมล่ะ? เจ้าจะมาโทษข้าทั้งหมดไม่ได้”

ร่างจำแลงอาจารย์อสูรของวิถีสวรรค์พยักหน้าเช่นกัน

ไป๋ชิวหรานครุ่นคิดสักพัก ทันใดนั้นก็กระแทกหมัดใส่ใบหน้ามีเสน่ห์ของร่างจำแลงอาจารย์อสูรของวิถีสวรรค์

“เจ้าคิดว่าข้าโง่หรือ?! กินขี้แล้วไปนอนข้างถนนซะ!”

ร่างจำแลงอาจารย์อสูรของวิถีสวรรค์ถูกไป๋ชิวหรานต่อยในที่สุด

ก่อนหน้านี้ ร่างจำแลงของมันหลอมรวม แม้ว่าจะดูเหมือนมนุษย์ แต่ไม่มีเส้นประสาทแบบมนุษย์ ดังนั้นไม่ว่าไป๋ชิวหรานจะต่อยร่างจำแลงนั้นเท่าไหร่ ในมุมมองของวิถีสวรรค์ มันเหมือนกับเล่นต่อยหมอนนุ่นเท่านั้น

ไป๋ชิวหรานฉีกกฎของวิถีสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่ในความว่างเปล่า การทำลาย ‘สายเครือข่าย’ เป็นสิ่งที่ร้ายแรง ส่วนการต่อยร่างจำแลงนั้น อย่างมากก็แค่เสียหน้า เพราะไป๋ชิวหรานมักต่อยมันในความว่างเปล่าอยู่แล้ว นอกจากจื้อเทียน อาจจะไม่มีสิ่งมีชีวิตตัวที่สองในโลกใบนี้ที่ได้เป็นสักขีพยานกับฉากนั้น ดังนั้นเจตจำนงสวรรค์จึงถึงกับมีท่าทีเฉยชา

แต่ครั้งนี้ไป๋ชิวหรานเริ่มต่อยร่างจำแลงอาจารย์อสูร ต้องรู้ก่อนว่า เพื่อเข้าใจระบบแปลกประหลาดของอาจารย์อสูร เจตจำนงสวรรค์จึงยังคงรักษาโครงสร้างสมบูรณ์ที่สุดเอาไว้ในร่างจำแลงอาจารย์อสูร ทำให้มีความคิดแยกย่อยออกไปอีกมากมาย

ส่วนร่างจำแลงอาจารย์อสูรคือร่างความตระหนักรู้ บางครั้งมันมีความอ่อนไหวกว่าร่างเนื้อหนัง ดังนั้น ตอนที่ไป๋ชิวหรานต่อยร่างจำแลงอาจารย์อสูรนี้ เจตจำนงสวรรค์จึงได้ลิ้มรสความเจ็บปวดเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่สร้างโลกขึ้นมา

หลังจากต่อยร่างจำแลงอาจารย์อสูรของวิถีสวรรค์ ไป๋ชิวหรานก็ปล่อยอีกฝ่ายเอาไว้กับที่แล้วเมินเฉย ก่อนจะพาเจียงหลาน หลีจิ่นเหยา และจื้อเซียน มุ่งสู่แนวหน้าของนครสรวงสวรรค์อีกครั้ง

เมื่อมาถึงแนวหน้า ไป๋ชิวหรานพบว่ากลุ่มของแดนเซียนและนครสรวงสวรรค์กำลังจัดระเบียบกองทัพใหม่ ค่ายกลขนาดใหญ่ถูกตระเตรียมในความว่างเปล่าโดยเซียน เพื่อคอยคุ้มกันการโจมตีของแมลง ส่วนเซียนบางตนกำลังสั่งเผ่าพันธุ์ที่คล้ายมนุษย์ให้ทราบถึงวิธีควบคุมค่ายกลขนาดใหญ่เหล่านั้น

ดังนั้นเขาจึงตรวจสอบรอบข้างด้วยสัมผัสเทวะโดยตรง ติดตามหลงหลิงที่เป็นผู้นำนครสรวงสวรรค์

“ครั้งนี้ข้าเป็นตัวแทนของแดนเซียนเพื่อช่วยเหลือเจ้า”

“แบบนั้นก็วิเศษไปเลย”

หลงหลิงยินดี

“มีอีกเรื่องหนึ่ง”

ไป๋ชิวหรานกล่าวถาม

“ข้าได้ยินมาว่ามีเผ่าพันธุ์จำนวนมากของที่นี่ที่ทำการฝึกฝน เผ่าพันธุ์เหล่านั้นเข้าร่วมสงครามด้วย กองกำลังเหล่านั้นอยู่ที่ไหนหรือ?”

“เจ้าหมายถึงเผ่าพันธุ์คล้ายมนุษย์เหล่านั้นน่ะหรือ… สำหรับพวกเขา กองกำลังค่อนข้างกระจัดกระจาย เพราะพวกเราต้องการให้พวกเขารักษาค่ายกลสังหารที่ถูกทิ้งไว้โดยแดนเซียน”

ขณะที่หลงหลิงกล่าวเช่นนี้ก็ยังคงมีความไม่พึงพอใจอยู่ในน้ำเสียงของเขา

“จักรพรรดิเซียนเล่อเจิ้นเทียนและมหาเทพหุ่นกลไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาสนทนากับข้าก่อนจะส่งกองกำลังมาสนับสนุน ตอนนี้พวกเขาย้ายกองกำลังมาอยู่แนวหลัง สร้างแนวป้องกันที่สองขึ้นมา กองกำลังของพวกเขาเป็นมนุษย์จริง ๆ แต่พวกข้านั้นไม่ใช่…”

เมื่อได้ยินเสียงคร่ำครวญของหลงหลิง ทั้งเจียงหลานและหลีจิ่นเหยาอดที่จะมองไปยังไป๋ชิวหรานไม่ได้

“เหอะ”

แม่มดน้อยเย้ยหยัน จากนั้นก็กล่าวว่า

“พวกข้าเต็มใจส่งกองกำลังมาช่วยเจ้า นั่นนับว่าดีมากแล้ว ไม่อย่างนั้นพวกข้าที่ตอนนี้เชี่ยวชาญพลังแห่งความตระหนักรู้ คงทำได้เพียงอุดรอยแตกในกำแพงแห่งความตระหนักรู้ จากนั้นทุกคนก็ถอยมาข้างในกำแพงแห่งความตระหนักรู้ ต่อให้ส่วนหนึ่งของนครสรวงสวรรค์จะถูกแมลงกินไปก็ยังสามารถนั่งผ่อนคลายได้”

“จิ่นเหยา”

เจียงหลานแสร้งไอ และทำการต่อว่าหลีจิ่นเหยาทันที

“สิ่งที่เขาพูดเป็นความจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้”

หลีจิ่นเหยาแลบลิ้นใส่เจียงหลาน

“ในโลกสำนักอสูรของพวกข้า ผู้ที่มีพลังอ่อนแอกว่า สุดท้ายจะต้องถูกดูดกลืนโดยผู้อื่นในท้ายที่สุด”

“…เป็นความผิดข้าเอง ขอโทษด้วย บรรพชนเซียน แม่นางทั้งสอง ข้าขอโทษที่กระทำการเมื่อครู่ไป”

หลงหลิงผ่อนคลายลง ยอมรับความผิดพลาดอย่างอย่างเด็ดขาด

ถึงแม้จะหยาบกระด้าง แต่สิ่งที่หลีจิ่นเหยาพูดก็เป็นความจริง กลุ่มนครสรวงสวรรค์ในตอนนี้อยู่ต่อหน้าเผ่าแมลงแห่งความว่างเปล่า ทำได้เพียงกอดคอกันตั้งรับร่วมกับแดนเซียน จึงจะสามารถมีชีวิตรอดต่อไปได้

และไม่ว่าอย่างไร แดนเซียนก็ยังคงสร้างแนวป้องกันที่สองขึ้นมาอยู่ด้านหลัง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับกองทัพของพวกเขา อย่างน้อยคนที่อยู่ด้านหลังก็จะยังคงปลอดภัย

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

Status: Ongoing
ณ สำนักกระบี่ชิงหมิง ที่แห่งนี้ยังมี ‘อาจารย์ลุง’ ซึ่งเป็นที่กล่าวขวัญและพบหน้าค่าตาได้ยากอยู่คนหนึ่ง …ที่ถึงแม้จะอยู่เพียงแค่ขั้นพลังชั้นต่ำสุดอย่างกลั่นลมปราณ แต่จะหาใครแกร่งเท่า คงไม่มีอีกแล้ว!‘ไป๋ชิวหราน’ ชื่อนี้ไม่มีใครที่เป็นศิษย์ในสำนักกระบี่ชิงหมิงจะไม่รู้จัก ศิษย์ลูกรักของผู้ก่อตั้งสำนัก อีกทั้งยังเคยเป็นถึงความหวังของสำนักอีกด้วย ใครต่อใครก็บอกว่าเขาเป็นคนมีพรสวรรค์ แต่การที่ไปชิวหรานผู้นี้ต้องมาติดแหง็กอยู่ที่ขั้น ๆ เดิมมาถึงสามพันปี มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ ๆ สวรรค์ต้องเล่นตลกกับเขาอยู่แน่นอน นอกจากจะต้องเร่งบรรลุไปที่ขั้นสูงกว่านี้ให้ไว ๆ เพื่อหลีกหนีความตายแล้ว ยังต้องมารับมือกับเรื่องวุ่นวายทางโลกที่ ‘คนอื่น ๆ’ ชอบพามาหาเขาแบบไม่หยุดไม่หย่อนอีก เห็นเขาใจดีแบบนี้ใช่ว่าจะทำอะไรกับเขาก็ได้นะ!เส้นทางการฝึกตนนั้นไม่เคยง่ายดาย ไป๋ชิวหรานผู้นี้รู้ซึ้งดี ฉะนั้นใครก็ตามที่กล้ามาดูถูกขั้นพลังของเขา ก็เตรียมตัวชักกระบี่มาคุยกันได้เลย!ความตายที่คอยรังควาญไป๋ชิวหรานคือสิ่งใด ขั้นพลังที่เขามักแอบตัดพ้อถึงมันนั้นสูงส่งหรือต่ำเตี้ยเรี่ยดินเพียงไหน โปรดติดตามได้ใน ‘ข้าก็แค่กลั่นลมปราณสามพันปี’

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท