ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年] – บทที่ 623 ข้าจะช่วยลงโทษนางเอง

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

บทที่ 623 ข้าจะช่วยลงโทษนางเอง

บทที่ 623 ข้าจะช่วยลงโทษนางเอง

“???”

ไป๋ซวี่เซียงเงียบงันก่อนจะถามอีกครั้งว่า

“เจ้าว่าอะไรนะ? ดูเหมือนข้าจะได้ยินไม่ชัด?”

“ข้าพูดว่า”

ไป๋โม่เสวี่ยกล่าวซ้ำจริงจัง

“ในช่วงเวลานี้ข้าต้องการมีสัมพันธ์ที่จริงจังกับหลี่ลี่”

“อะไรนะ?!”

ไป๋ซวี่เซียงหันขวับ

“เจ้าเสียสติไปแล้วหรือไร?”

“โม่… โม่เสวี่ย”

หลี่ลี่กล่าวติดขัดพยายามร้องเรียก

“เจ้าไม่จำเป็นต้องฝืนใจตัวเองเช่นนั้น”

“แน่นอนว่าข้าไม่ได้ฝืนใจตัวเอง จริง ๆ แล้วข้าเพิ่งคุยกับท่านแม่เสร็จสิ้น”

ไป๋โม่เสวี่ยกล่าวกับไป๋ซวี่เซียง

“ท่านแม่กล่าวถูกต้องแล้ว พี่หญิง เราไม่ควรมองผลประโยชน์เหนือกว่าความรู้สึกของหลี่ลี่ เงินของท่านไม่ควรทำร้ายผู้อื่น”

“เรื่องนี้…”

ไป๋ซวี่เซียงเผยท่าทางทำอะไรไม่ถูก

“แล้วเจ้าอยากคบกับนางจริง ๆ งั้นหรือ?”

“พูดตามตรง ข้าคิดว่านี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้พบเจอกับเพศตรงข้ามที่ไม่ได้เข้าหาข้าเพราะมนตร์มหาเสน่ห์ นอกจากครอบครัวแล้ว ก็มีเพียงนางเท่านั้น ข้าอยากจะลองคบกับหลี่ลี่จริงจังดู”

ไป๋โม่เสวี่ยหันหน้ามองหลี่ลี่แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“เช่นนั้นคือมีคำเดียวเดียว… หลี่ลี่เต็มใจหรือไม่? เจ้ายินดีจะคบหากับข้าหรือไม่?”

“แน่นอนว่าข้ายินดี!”

หลี่ลี่รู้สึกจะเป็นลมจากความสุขในคราวนี้

“จากนี้…”

ไป๋โม่เสวี่ยจับมือของนางเอาไว้

“ต่อจากนี้เราสองคนคือคนรักกัน โปรดดูแลข้าด้วย”

“โปรด… โปรดดูแลข้า… อ่า… ข้ากำลังจะตาย”

เวลานี้หลี่ลี่เป็นลมหมดสติลงบนไหล่ของไป๋โม่เสวี่ย

“อ่า”

ไป๋โม่เสวี่ยยิ้มก่อนจะเหยียดมือลูบปลายเส้นผมของหลี่ลี่อย่างอ่อนโยน

  

“…”

ไป๋ซวี่เซียงมองน้องชายของตน ก่อนจะมองเด็กหญิงผมสีเกาลัดตรงหน้าที่กำลังซบไหล่ของเขา และทันใดนางรู้สึกเสียใจราวกับกินหนอนบุ้งเข้าไป

ยกหินขึ้นมาแต่กลับหล่นทับขาตัวเอง นี่คือสิ่งที่นางกำลังเผชิญอยู่ในเวลานี้

  

ไป๋โม่เสวี่ยอุ้มหลี่ลี่กลับไปพักผ่อนในห้องนอนตนเอง ถอดรองเท้า ห่มผ้าให้ แล้วจึงเดินกลับมาที่ห้องนั่งเล่นอีกครั้ง

ไป๋ซวี่เซียงยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ ดื่มชา พร้อมกับพยายามผ่อนคลายอารมณ์ สุดท้ายแล้วเด็กที่เกิดในตระกูลไป๋ล้วนแข็งแกร่ง เพียงไม่นานไป๋ซวี่เซียงก็ผ่อนคลายลงมาก แม้ว่าจะไม่ทั้งหมด แต่อารมณ์ของนางก็สงบลงแล้ว

หลังจากเห็นไป๋โม่เสวี่ยออกมา นางวางถ้วยชาลงพร้อมกับตบเก้าอี้ไม้ไผ่แล้วกล่าวต่อ

“มานี่หน่อย เรามาคุยเรื่องงานกันต่อดีกว่า ข้ามัวแต่ยุ่งกับการคิดแผนการเมื่อครั้งท่านพ่อมาที่นี่ จึงไม่ได้บอกข่าวดีกับเจ้าสักที”

“อ่า”

ไป๋โม่เสวี่ยพยักหน้าพร้อมกับเติมชาให้กับไป๋ซวี่เซียง จากนั้นจึงนั่งลงด้านข้างแล้วถามว่า

“ข่าวดีอะไร?”

“ดูนี่สิ”

ไป๋ซวี่เซียงหยิบภาพเหมือนออกจากถุงเก็บของ ก่อนจะวางมันลงบนโต๊ะ

ไป๋โม่เสวี่ยหยิบภาพเหมือนเหล่านั้นขึ้นมาดู ในภาพมีเด็กหญิงผมทองสวมชุดผู้ฝึกตนหญิงของสำนักเดียวกันกับไป๋โม่เสวี่ย ใบหน้าของนางงดงามและมีเสน่ห์อย่างหาพบได้ยาก อีกทั้งรอยยิ้มยังดูเย้ายวนมีความเป็นผู้ใหญ่แฝงอยู่

“ชื่อของนางคือหลินฉีเยว่ เป็นศิษย์พี่ร่วมสำนักของเจ้า และยังเป็นที่ชื่นชอบของบรรดาหญิงสาวในสำนักก่อนที่เจ้าจะมาที่นี่ นางมีรสนิยมทางเพศสองแบบ นางสามารถหลับนอนกับผู้ฝึกตนหญิงรุ่นเดียวกันหรือศิษย์น้องก็ได้ด้”

ไป๋ซวี่เซียงนั่งไขว้ห่างก่อนจะกล่าวอย่างสบาย ๆ

ดีจริง ๆ ที่ห้วงจิตสนทนา หรือ การส่งกระแสจิตสื่อสารกันเป็นกลุ่มใหญ่ของชาวเมืองนี้มีประโยชน์มหาศาล ขอเพียงมีวัตถุเวทย์สื่อสารของโลกวัตถุนี้เป็นสื่อกลาง ใครก็สามารถใช้พื้นที่สนทนานี้ได้

“หลังจากเราเริ่มป่าวประกาศผ่านห้วงจิตสนทนา ผู้คลั่งไคล้ในตัวเจ้าบางคนบอกว่าพวกเขาเห็นนางและชายชุดดำเข้าออกโรงมหรสพในเมืองใกล้เคียงด้วยกัน ดูเหมือนว่ากำลังจะชอบพอกันอยู่ เราตรวจสอบแล้วและพบว่าภายหลังมานี้ระดับการฝึกฝนขอบหลินฉีเยว่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ดังนั้นเราจึงค่อนข้างมั่นใจว่านางจะเป็นผู้ต้องสงสัยคนสำคัญ”

“อืม… นอกจากดูมหรสพแล้ว ไม่มีที่อื่นที่พวกเขาทำกิจกรรมร่วมกันเลยหรือไง?”

ไป๋โม่เสวี่ยถาม

“มันไม่ง่ายเช่นนั้น”

ไป๋ซวี่เซียงถอนหายใจพร้อมกับล้มตัวลงนอนบนตักของน้องชาย

“ผู้ฝึกฝนปีศาจคือเซียนที่น่านับถือ ยกเว้นสตรีผู้นี้ เหล่าเซียนคนอื่น ๆ ในช่วยเฉพาะกิจของเราเสี่ยงเกินไปถ้าหากบุกลงมือ มันจะทำให้เขาตื่นตระหนก แล้วไม่ต้องนึกถึงตำรวจที่อ่อนแอของโลกใบนี้เลย ไร้ประโยชน์อย่างแท้จริง แต่เมืองนั้นใหญ่มากและคนร้ายก็ระวังตัวมากด้วยเช่นกัน ข้าไม่กล้าที่จะละทิ้งสัมผัสเทวะที่ใช้ตรวจสอบโดยรอบ สุดท้ายแล้วข้าก็ไม่ค้นพบร่องรอยใด ๆ ของพวกเขาเลย หากเราใช้มาตราการรุนแรง แน่นอนว่าย่อมจับกุมคนร้ายได้ แต่สุดท้ายเราก็ต้องนึกถึงชีวิตของผู้บริสุทธ์ในเมืองนั้นด้วย”

“เช่นนั้นก็เลยต้องการให้ข้าช่วยงั้นหรือ?”

ไป๋โม่เสวี่ยกล่าวถาม

“ถูกต้องแล้ว”

ไป๋ซวี่เซียงหัวเราะคิกคักก่อนจะเอื้อมมือสัมผัสใบหน้าของไป๋โม่เสวี่ย

“ลองใช้เสน่ห์ของเจ้าเกลี้ยกล่อมหลินฉีเยว่ดู ข้าเชื่อว่าความสามารถของเจ้ายอดเยี่ยมว่าชายที่หยาบกระด้างผู้นั้นแน่นอน หลังจากที่นางตกหลุมรักเจ้าแล้ว นางก็จะพาเจ้าไปพบเจอกับคนร้าย เราค่อยจับกุมเขาในคราวนั้น”

“แต่ข้าเพิ่งจะมีแฟนเมื่อครู่นี้”

ไป๋โม่เสวี่ยถอนหายใจ ในขณะเดียวกันก็มองไปที่ประตูห้องหลี่ลี่และกล่าวว่า

“ท่านคิดให้ข้าไปยั่วยวนสตรีคนอื่น เป็นเรื่องน่าสนใจแล้วที่ข้ามีพี่สาวเช่นนี้”

“นี่! ข้าไม่ได้ขอให้เจ้าทำจริง ๆ สักหน่อย สตรีแบบนี้หากเจ้าคิดจะเล่นกับนางจริง ๆ เจ้าก็ควรกังวลว่าตนเองจะติดโรคหรือไม่!”

ไป๋ซวี่เซียงกล่าวเกลี้ยกล่อม

“หลังจากเจ้าล่อลวงนางและใช้นางจนจบงานแล้ว เราก็แค่ล้างสมองแล้วทิ้งนางไปเสีย”

  

“…”

ไป๋โม่เสวี่ยแตะคางพร้อมครุ่นคิด

“ถ้าทำแบบนั้น เราจะต่างอะไรจากคนร้าย?”

“อย่าคิดมากได้ไหม!”

ไป๋ซวี่เซียงลุกขึ้นจากเก้าอี้ไม้ไผ่พร้อมตวาดใส่น้องชาย

“ในฐานะกลุ่มทำภารกิจลับ มันง่ายที่จะถูกเข้าใจผิด เพราะเราคือกลุ่มที่คอยปกป้องช่วยเหลือผู้คนอย่างลับ ๆ ในความมืด! ดังนั้นตราบใดที่ผลลัพธ์คือความยุติธรรม กระบวนการย่อมไม่สำคัญ แล้วเช่นนี้จะตำหนิพี่สาวเช่นข้าได้อย่างไร?!”

“หยุดพล่ามได้แล้ว!”

ใบหน้าไป๋โม่เสวี่ยเปลี่ยนเป็นสีดำ

“สิ่งที่เลวร้ายเป็นท่านที่สมควรแบกรับมันไว้ แต่ท่านกลับไม่คิดแบกรับ แล้วทุกสิ่งที่สามารถโยนให้ผู้อื่นได้ ส่วนใหญ่แล้วโยนมาที่ข้ายังไงล่ะ!”

“โอ้ โม่เสวี่ย”

ไป๋ซวี่เซียงเขย่าแขนน้องชายพร้อมกล่าวด้วยอารมณ์

“เราเป็นพี่น้องที่รักใคร่กันมากที่สุดในโลก ถึงเจ้าจะหย่ากับภรรยา แต่เจ้าก็มีพี่สาวเช่นข้าตลอดไป สุดท้ายแล้วโปรดช่วยเหลือข้าเถิด”

“แล้วทำไมท่านจึงไม่ยอมพึ่งพาพลังของท่านพ่อท่านแม่?”

ไป๋โม่เสวี่ยผลักพี่สาวออกพร้อมถามกลับ

“แต่เมื่ออยู่กับข้ากลับกล้าร้องขอให้ข้าช่วยเหลืออย่างไร้ยางอาย?”

“มีคำเดียวเดียวหากต้องการให้ข้าช่วย”

“หญิงสาวผู้นั้นมีนิสัยอย่างไร?”

ไป๋โม่เสวี่ยถาม

“อ่า จะกล่าวอย่างไรดี? นางเป็นคนพาล ชอบอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเพื่อสร้างความวุ่นวาย แบ่งแยกผู้ฝึกตนหญิงที่ตนไม่ชื่นชอบออกไป ประจบประแจงผู้บังคับบัญชาเก่ง และหยิ่งผยองต่อผู้ใต้บังคับบัญชา ทั้งยังส่ำส่อนมาก ก่อนที่นางจะมีสัมพันธ์กับชายชุดดำ นางมีคนรักพร้อมกันอย่างน้อยสามคน”

ไป๋ซวี่เซียงตอบกลับ

“กล่าวโดยย่อ เป็นหญิงเลวทรามคนหนึ่ง”

“อืม”

ไป๋โม่เสวี่ยลุกขึ้นพร้อมเก็บภาพเหมือนเหล่านั้น

“ข้าจะช่วยลงโทษนางผู้นี้เอง”

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

Status: Ongoing
ณ สำนักกระบี่ชิงหมิง ที่แห่งนี้ยังมี ‘อาจารย์ลุง’ ซึ่งเป็นที่กล่าวขวัญและพบหน้าค่าตาได้ยากอยู่คนหนึ่ง …ที่ถึงแม้จะอยู่เพียงแค่ขั้นพลังชั้นต่ำสุดอย่างกลั่นลมปราณ แต่จะหาใครแกร่งเท่า คงไม่มีอีกแล้ว!‘ไป๋ชิวหราน’ ชื่อนี้ไม่มีใครที่เป็นศิษย์ในสำนักกระบี่ชิงหมิงจะไม่รู้จัก ศิษย์ลูกรักของผู้ก่อตั้งสำนัก อีกทั้งยังเคยเป็นถึงความหวังของสำนักอีกด้วย ใครต่อใครก็บอกว่าเขาเป็นคนมีพรสวรรค์ แต่การที่ไปชิวหรานผู้นี้ต้องมาติดแหง็กอยู่ที่ขั้น ๆ เดิมมาถึงสามพันปี มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ ๆ สวรรค์ต้องเล่นตลกกับเขาอยู่แน่นอน นอกจากจะต้องเร่งบรรลุไปที่ขั้นสูงกว่านี้ให้ไว ๆ เพื่อหลีกหนีความตายแล้ว ยังต้องมารับมือกับเรื่องวุ่นวายทางโลกที่ ‘คนอื่น ๆ’ ชอบพามาหาเขาแบบไม่หยุดไม่หย่อนอีก เห็นเขาใจดีแบบนี้ใช่ว่าจะทำอะไรกับเขาก็ได้นะ!เส้นทางการฝึกตนนั้นไม่เคยง่ายดาย ไป๋ชิวหรานผู้นี้รู้ซึ้งดี ฉะนั้นใครก็ตามที่กล้ามาดูถูกขั้นพลังของเขา ก็เตรียมตัวชักกระบี่มาคุยกันได้เลย!ความตายที่คอยรังควาญไป๋ชิวหรานคือสิ่งใด ขั้นพลังที่เขามักแอบตัดพ้อถึงมันนั้นสูงส่งหรือต่ำเตี้ยเรี่ยดินเพียงไหน โปรดติดตามได้ใน ‘ข้าก็แค่กลั่นลมปราณสามพันปี’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท