ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年] – บทที่ 645 เทพอสูรลาวา

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

บทที่ 645 เทพอสูรลาวา

บทที่ 645 เทพอสูรลาวา

เมื่ออี้ฝานก้าวเข้าไปในพื้นที่ที่ดูเหมือนเป็นเกาะเล็ก ๆ กลางทะเลลาวาอันกว้างใหญ่ เสียงอันคุ้นเคยก็ดังอื้ออึงขึ้นมาข้างในหูของเขา

เสียงอื้ออึงทำให้หัวของเขาวิงเวียน จนต้องทรุดเข่าลงบนพื้นร้อน ๆ อย่างช่วยไม่ได้

ท่ามกลางเสียงเหล่านั้น มีเสียงผู้ชายที่เอ่ยสาบานออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความฮึกเหิม

“ถ่อมตน ภักดี อดทน มานะ ประมาณตน ดูแล เมตตา”

“ไม่หวั่นเกรง กล้าหาญและภักดี แม้นเผชิญหน้ากับศัตรูอันแข็งแกร่ง ไม่สร้างความอับอายแก่บรรพชน ยอมตายดีกว่ายอมจำนน ซื่อตรง ปกปักษ์ผู้อ่อนแอ ไม่ทำผิดกฎสวรรค์!”

“ข้าสาบานว่าจะเมตตาต่อผู้อ่อนแอ”

“ข้าสาบานว่าจะต่อสู้เพื่อสิ่งที่ศรัทธา สยบความชั่วร้ายทั้งปวง!”

“ข้าสาบานว่าจะต่อสู้เพื่อเหล่าผู้ไร้กำลัง!”

“ข้าสาบานว่าจะธำรงไว้ซึ่งคุณธรรมและเจตจำนงตลอดกาล”

ขณะที่เสียงแปลก ๆ ชวนหลอนประสาทดังขึ้นมาในหูของอี้ฝาน ทะเลสาบลาวาก็เดือดพล่าน มันเต็มไปด้วยฟองนับไม่ถ้วน คลื่นลาวาขนาดมหึมาและเปลวไฟร้อนแรงพวยพุ่งออกมาจากส่วนลึกขึ้นสู่จุดสูงสุด ประหนึ่งสิ่งที่อยู่ใต้ลาวากำลังดิ้นรนหายใจเฮือกใหญ่

ตูม!

คลื่นสาดกระเซ็นเปลวเพลิงแตกกระจาย บนพื้นผิวทะเลสาบพลันปรากฏร่างสัตว์ประหลาดตัวสูงใหญ่ที่กำลังคลืบคลานออกมา

สัตว์ประหลาดตัวนี้มองดูแล้วยังคงเห็นเค้าโครงรูปลักษณ์ของนักรบได้ราง ๆ เปลือกนอกของมันถูกหุ้มเอาไว้ด้วยโลหะสีดำติดแนบสนิทกับร่าง ขอบรอบ ๆ กลายเป็นสีแดงฉานจากความร้อน

ทว่าร่างกายของมันคล้ายกับสลายไปจนหมดสิ้นแล้ว ภายในช่องว่างระหว่างเกราะหมวกมองเห็นเพียงเปลวไฟโหมกระหน่ำ เขาคู่ใหญ่คู่หนึ่งงอกออกมาจากบนหน้าผากและเจาะผ่านหมวกเกราะชี้ขึ้นฟ้าอย่างอหังการ

ลาวาไหลอยู่บนตัวของมันราวกับสายธาร มือข้างหนึ่งถือขวานขนาดยักษ์ที่ลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิง!

ในขณะเดียวกัน แขนของมันก็ถูกพันธนาการแน่นด้วยโซ่ตรวนเหล็กที่เต็มไปด้วยอักขระลึกลับ แม้ถูกลาวาแผดเผายังก็ยังไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง ป้องกันไม่ให้มันหนีออกจากทะเลสาบลาวาใต้ดินแห่งนี้

“โอ้…”

สัตว์ประหลาด ไม่สิ อสูรที่ปืนป่ายออกมาจากทะเลสาบลาวาส่งเสียงร้องออกมาทันใด คลื่นเสียงสะท้อนกึกก้องภายในพื้นที่ใต้ดินอันปิดสนิท พร้อมกับคลื่นไฟที่ปะทุขึ้นเหนือทะเลสาบลาวา

“อ๊ะ…”

อี้ฝานที่ตกใจกับเสียงคำรามกลิ้งลงบนพื้นไปหลายตลบ จนในที่สุดก็ได้สติกลับมาจากอาการเจ็บหัว เขาเงยหน้าขึ้นมองไปยังเทพอสูรที่ดูน่าเกรงขามและหวาดกลัว ภายในใจพลันเกิดความรู้สึกเศร้าเสียใจขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ

หยาดน้ำตาหลั่งรินออกมาด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก ทว่ามันถูกอุณหภูมิของที่นี่ทำให้ระเหยหายไปอย่างรวดเร็ว หลงเหลือเพียงรอยริ้วสีแดงสองเส้นที่เกิดจากความร้อนประทับอยู่บนใบหน้าของอี้ฝาน

เทพอสูรก้าวเข้าหาอี้ฝาน ทว่าเขากลับไม่สามารถปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ได้

มันเดินมาถึงเกาะที่อี้ฝานยืนอยู่ มันก้มลงมองอีกฝ่ายคล้ายสังเกตรูปร่างของเขา ก่อนที่อึดใจต่อมาเทพอสูรก็ส่งเสียงคำรามออกมาอย่างน่ากลัว ราวกับตัดสินว่าอี้ฝานเป็นศัตรูไปแล้ว พร้อมทั้งยกขวานยักษ์ในมือขึ้นอย่างช้า ๆ

ขวานยักษ์ที่มีลาวาไหลลงมานั้นถูกเทพอสูรชูไว้เหนือศีรษะ ก่อนจะฟาดลงมาใส่เกาะที่อี้ฝานยืนอยู่ ตามมาด้วยเสียงพังทลาย!

อุณหภูมิและแรงที่มากมายมหาศาลได้เปิดรอยแยกขึ้นบนเกาะกลางทะเสสาบโดยตรง โชคยังดีที่ในเสี้ยววินาทีสุดท้าย สัญชาตญาณที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในร่างพาให้อี้ฝานกลิ้งตัวออกไปทันที หลีกเลี่ยงการพังทลาย และเสาเพลิงที่พุ่งออกมาจากรอยแยก ลาวาบางส่วนตกลงบนข้อมือของอี้ฝาน ทำให้เขาร้องลั่นออกมาเนื่องจากความร้อนจัด

อี้ฝานดับไฟที่ลุกขึ้นมาบนมือของเขา สติของเขาแจ่มชัดขึ้นมาทันใด เขาเงยหน้ามองเทพอสูรดุร้ายที่ประกอบจากโลหะและเปลวเพลิงเบื้องหน้าเขาด้วยจิตใจที่ถูกปลุกขึ้นมา

เขามองย้อนกลับไปทางเดิมเพื่อดูว่าตนจะสามารถถอยหนีไปได้หรือไม่ แต่ก็เป็นเช่นเคย หนทางที่ถูกขวางกั้นด้วยกำแพงมนตรานี้ไม่อาจอธิบายได้เลย

เขากำลังสงสัยว่ามีใครบางคนบางแทรกแซงเขา…

ขณะที่ภายในใจอี้ฝานกำลังเกิดความสงสัย เทพอสูรในทะเลลาวาก็ได้เข้ามาใกล้เขาเสียแล้ว

เทพอสูรใช้มือข้างหนึ่งจับเกาะ จากนั้นก็พยายามยกขาปืนขึ้นไปบนเกาะ ทว่าโซ่ตรวนหนักสองเส้นสลักไว้ด้วยอักขระลึกลับจองจำอิสรภาพของเทพอสูรเอาไว้ สถานที่ที่มันยืนอยู่ในตอนนี้ถึงจุดสิ้นสุดขอบเขตที่มันเคลื่อนไหวได้แล้ว ทะเลสาบลาวาแห่งนี้เป็นบ้านของมัน เช่นเดียวกับที่เป็นคุกของมันด้วย

เมื่อตระหนักได้ถึงเรื่องนี้ เทพอสูรก็คล้ายจะโกรธเกรี้ยวขึ้นมา

มันมองไปที่ตรวนบนข้อมือของมัน หลังจากนั้นเปลวเพลิงก็โหมกระหน่ำออกมาจากช่องว่างบนร่างของมัน โทสะของมันราวกับเปลวไฟ ถึงกับทำให้มีไอร้อนแฝงในทุกอณูอากาศ

แม้กระทั่งอี้ฝานที่ดูดซับวิญญาณของนักรบแห่งขุนเขาไปแล้วยังรู้สึกปวดแสบปวดร้อนภายในปอด

เทพอสูรทุบตรวนอย่างแรงครั้งแล้วครั้งเล่า โซ่ตรวนที่จำกัดของอิสรภาพของมันมาเนิ่นนานตั้งแต่ก่อนวันโลกาวินาศได้ค่อย ๆ สูญเสียพลังแต่เดิมไปตามกาลเวลา ทำให้มันเริ่มเต็มไปด้วยรอยร้าวภายใต้การทุบอย่างบ้าคลั่งของเทพอสูร

“กรรร!”

ท้ายที่สุดแล้ว เทพอสูรก็ชูขวานยักษ์ขึ้นมาด้วยมือข้างหนึ่ง และฟาดลงไปที่ตรวนอย่างรุนแรง จนแผ่นดินถล่มทลายเกาะส่วนนั้นจมหายลงไปใต้ทะเลสาบลาวาด้วยแรงมหาศาล ก่อนจะถูกละลายลงด้วยหินหนืด เมื่อเทพอสูรยกแขนข้างนั้นขึ้นมาอีกครั้ง โซ่ตรวนก็ได้หายไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“โอ้วววว!”

เมื่อแขนข้างหนึ่งเป็นอิสระ เทพอสูรก็ส่งเสียงคำรามออกมาด้วยเสียงที่ไม่รู้ว่าเป็นความโกรธเกรี้ยวหรือยินดี

มันกำหมัดแล้วยกแขนขวาสะบัดขึ้นอย่างแรง ในขณะเดียวกันเปลวเพลิงสีแดงเข้มและน่าหวาดผวายิ่งกว่าเดิมก็ปะทุออกมาพร้อมเสียงดังสนั่นไปทั่ว

เทพอสูรกรีดร้องออกมา ร่างกายของมันคล้ายจะเริ่มปกคลุมด้วยรอยแตกจาง ๆ

หรือว่ามันไม่สามารถแบกรับพลังที่แท้จริงในร่างกายของมันได้ โซ่ตรวนไม่ได้ทำเพียงพันธนาการมันเอาไว้ แต่ยังเป็นการปกป้องมันด้วย?

อี้ฝานสังเกตถึงความแปลกประหลาดนี้ จากนั้นจึงเกิดการคาดเดาขึ้นมาในใจ

ถ้าหากเขาช่วยมันปลดตรวนที่ตรึงแขนอีกข้างของมันไว้ มันจะระเบิดออกมาเพราะทนรับพลังที่มากเกินไปไม่ไหวหรือไม่?

คิดแล้วเขาก็ลงมือทำทันที! อี้ฝานชูโล่นักรบแห่งขุนเขาขึ้นมาด้านหน้า อีกมือถือค้อนมาใช้เป็นสื่อในการใช้เวทศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าแห่งรุ่งอรุณ

แสงรวมตัวกันกลายเป็นลูกศร หอกยาว และสายฟ้า เรียงตัวกันเป็นแถวหน้าข้างกายอี้ฝาน ด้วยคำสั่งของเขา พวกมันถูกยิงไปยังตรวนที่แขนซ้ายของเทพอสูร!

เสียงระเบิดนับไม่ถ้วนดังขึ้นมา พลังของกษัตริย์แห่งรุ่งอรุณอยู่ขั้วตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิงกับพวกนอกรีตเหล่านี้ ทำให้พลังในตรวนพันธนาการบนแขนเทพอสูรถูกทำลายอย่างต่อเนื่อง

เทพอสูรกู่ร้องเจ็บปวด เหวี่ยงขวานขนาดใหญ่ทุบเข้าใส่ ขณะที่ปากก็พ่นไฟออกมา พลังงานมหาศาลราวกับไร้ที่สิ้นสุดก่อตัวพร้อมความร้อนกลายเป็นลำแสงยิงออกจากปากมันไปทางอี้ฝาน

อี้ฝานป้องกันการโจ่มตีเหล่านี้ด้วยโล่ขุนเขา ขณะเดียวกันก็ถ่ายเทเวทศักดิ์สิทธิ์ของกษัตริย์แห่งรุ่งอรุณใส่ค้อนในมืออีกข้าง

เขาเหวี่ยงค้อนออกไป ใช้ประโยชน์จากจังหวะที่เทพอสูรเหวี่ยงแขนเข้ามาเพื่อโจมตีไปยังตรวนที่แขนของเทพอสูร

หลังจากผ่านไปเป็นเวลานาน ในที่สุดโซ่ตรวนที่แขนซ้ายของเทพอสูรรวมทั้งค้อนในมือของอี้ฝานก็แตกออกเป็นชิ้น ๆ

“กรรร?!”

ทันทีที่ตรวนพันธนาการหลุดออก เทพอสูรก็ส่งเสียงคำรามออกมาด้วยความลิงโลด มันคว้าขอบเกาะด้วยมือทั้งสองข้าง ทำท่าต้องการจะปืนขึ้นไปบนพื้นดิน

ทว่าเพียงสี่หรือห้าอึดใจถัดมา เปลวเพลิงในร่างของเทพอสูรก็ลุกโหมเพิ่มขึ้นมาอย่างกะทันหัน เสียงร้องของมันแปรเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ร่างของมันค่อย ๆ ขยายออก ก่อนจะ…

ตู้ม!

ท่ามกลางเสียงระเบิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ร่างกายของเทพอสูรก็แตกกระจายกลายเป็นเถ้าธุลีนับไม่ถ้วนตกลงไปในลาวา

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

Status: Ongoing
ณ สำนักกระบี่ชิงหมิง ที่แห่งนี้ยังมี ‘อาจารย์ลุง’ ซึ่งเป็นที่กล่าวขวัญและพบหน้าค่าตาได้ยากอยู่คนหนึ่ง …ที่ถึงแม้จะอยู่เพียงแค่ขั้นพลังชั้นต่ำสุดอย่างกลั่นลมปราณ แต่จะหาใครแกร่งเท่า คงไม่มีอีกแล้ว!‘ไป๋ชิวหราน’ ชื่อนี้ไม่มีใครที่เป็นศิษย์ในสำนักกระบี่ชิงหมิงจะไม่รู้จัก ศิษย์ลูกรักของผู้ก่อตั้งสำนัก อีกทั้งยังเคยเป็นถึงความหวังของสำนักอีกด้วย ใครต่อใครก็บอกว่าเขาเป็นคนมีพรสวรรค์ แต่การที่ไปชิวหรานผู้นี้ต้องมาติดแหง็กอยู่ที่ขั้น ๆ เดิมมาถึงสามพันปี มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ ๆ สวรรค์ต้องเล่นตลกกับเขาอยู่แน่นอน นอกจากจะต้องเร่งบรรลุไปที่ขั้นสูงกว่านี้ให้ไว ๆ เพื่อหลีกหนีความตายแล้ว ยังต้องมารับมือกับเรื่องวุ่นวายทางโลกที่ ‘คนอื่น ๆ’ ชอบพามาหาเขาแบบไม่หยุดไม่หย่อนอีก เห็นเขาใจดีแบบนี้ใช่ว่าจะทำอะไรกับเขาก็ได้นะ!เส้นทางการฝึกตนนั้นไม่เคยง่ายดาย ไป๋ชิวหรานผู้นี้รู้ซึ้งดี ฉะนั้นใครก็ตามที่กล้ามาดูถูกขั้นพลังของเขา ก็เตรียมตัวชักกระบี่มาคุยกันได้เลย!ความตายที่คอยรังควาญไป๋ชิวหรานคือสิ่งใด ขั้นพลังที่เขามักแอบตัดพ้อถึงมันนั้นสูงส่งหรือต่ำเตี้ยเรี่ยดินเพียงไหน โปรดติดตามได้ใน ‘ข้าก็แค่กลั่นลมปราณสามพันปี’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท