ตอนที่13 ราชันหมาป่าสวรรค์
เสมือนกับว่าเหลืออดเป็นทนแล้ว เซี่ยอี้เฉินถึงถลึงตาใส่นางปานนี้ เซียถงที่เห็นเช่นนี้จึงเอ่ยเตือนอย่างจริงใจขึ้นว่า
“เสบาบดีเซี่ย เจ้าไม่มีสิทธิ์มาสั่งสอนข้า ตั้งแต่เล็กจนโต เจ้ามีเคยมีความรับผิดชอบในฐานะพ่อบ้างหรือไม่? ท่านแม่ของข้าป่วยหนัก เจ้าเคยไปเยี่ยมนางบ้างหรือเปล่า?”
หนึ่งคำถามถูกยิงออกไป ถึงแม้น้ำเสียงของเซียถงจะมิได้ดังมาก แต่มันก็ได้ยินชัดเจนทุกถ่อยคำ ดังกังวลเข้าหูของทุกคน
สีหน้าการแสดงออกของเซี่ยอี้เฉินพลันแปรเปลี่ยนไปทันใด แต่ไม่แม้แต่รอให้เขาเอ่ยตอบโต้อันใด เซี่ยถงกล่าวต่อทันทีว่า
“ถึงแม้ท่านแม่ของข้าจะเป็นเพียงบุตรสาวอนุของจวนขุนนางกั๋วกง แต่จะอย่างไรก็ถือเป็นคนในจวนขุนนางกั๋วกง หากฝ่ายนั้นทราบว่า เกิดอะไรขึ้นกับท่านแม่บ้างที่นี่ เจ้าคิดว่าคนจากจวนกั๋วกงจะแสดงปฏิกิริยาอย่างไร?”
เมื่อสุ้มเสียงของเซียถงดังขึ้น เซี่ยอี้เฉินถึงกับหน้าเสีย ยากจะปั้นให้ดูดีดั่งก่อนหน้า คลื่นความโมโหถาโถมชั่วขณะหนึ่ง แต่นั่นก็เร้นแฝงไปด้วยความหวั่นเกรงเช่นกัน
ฮูหยินเฉิงกรนด่าคำรามแทรกขึ้นมาด้วยความไม่พอใจอย่างยิ่งว่า
“นังแพศยา! หากเจ้ายังกล่าวพูดจาเหลวไหลอีก ข้าจะฉีกปาก…”
“เจ้านั้นแหละนังแพศยา! หุบปาก!”
เซียถงชี้หน้าด่าสวนอีกฝ่ายโดยตรง ปราศจากท่าทีเกรงกลัวใดๆ สีหน้าการแสดงออกยิ่งทวีความเย็นชา อุณหภูมิโดยรอบลดต่ำลงจนผู้คนต่างรู้สึกหนาวเหน็บ
“ข้าเองก็ยังไม่คิดบัญชีกับเจ้า นังบัดซบ! สินสอดทองหมั้นทั้งหมดที่จวนกั๋วกงมอบแก่ท่านแม่ของข้า ล้วนถูกเจ้ายึดไปครอบครองเองทั้งสิ้น เบี้ยรายเดือนของข้ายังถูกเจ้าหักจนแทบไม่เหลือกินเหลือใช้ นี่เจ้าเกิดในตระกูลพ่อค้ามิใช่รึ? ไฉนถึงเหม็นกลิ่นสาปสันดานสุนัขเช่นนี้? แล้วนี่ยังกล้าแหกปากเห่าใส่ข้าอีกงั้นรึ? ทั้งเจ้าและลูกสาวของเจ้านับเป็นเสนียดจัญไรคู่จวนเสนาบดีแห่งนี้โดยแท้!”
สีหน้าการแสดงออกของฮูหยินเฉิงถึงกับซีดเผือด นางไม่คิดไม่ฝันเลยว่า สาวน้อยผู้แสนขี้ขลาดในตอนนั้น จะใจใหญ่หาญกล้าปากเก่งยิ่งในตอนนี้ แต่ละคำพูดคำจารุนแรงเสมือนค้อนหนักที่หวดกระหน่ำเข้าใส่ไม่หยุดหย่อน ปรากฏว่า…นางประมาทอีกฝ่ายเกินไป!
“เหอะ เหอะ….ที่แท้จวนเสนาบดีก็สรปรกโสมมเช่นนี้นี่เอง ทำเอาข้าผู้นี้รู้สึกผิดหวังไม่น้อย”
ทันทีทันใด น้ำเสียงเย้าหยอกเจือผสมความเย็นชาก็ดังขึ้นจากด้านข้าง ณ มุมหนึ่ง พอเซียถงเหลียวหน้าหันไปมองต้นเสียง ก็เห็นเพียงชายชุดดำที่สวมหน้ากากสีเงินยืนอยู่
เซี่ยอี้เฉินแววตาที่เปี่ยมล้นไปด้วยความโกรธเกรี้ยว แปรเปลี่ยนเป็นนอบน้อมลงทันควัน เร่งหันไปยิ้มให้ชายชุดดำและกล่าวอย่างกระอักกระอ่วนขึ้นว่า
“เกรงว่าทำให้ท่านราชันหมาป่าสวรรค์ขบขันเสียแล้ว”
ราชันหมาป่าสวรรค์?
เซี่ยถงขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย สิ่งหนึ่งที่นางสังเกตเห็นได้ก็คือ เซี่ยอี้เฉินมีกิริยาท่าทางต่อชายที่ชื่อว่าราชันหมาป่าสวรรค์ที่ค่อนข้างนอบน้อมถ่อมตัวอย่างยิ่ง ทั้งนี้แววตาส่องสะท้อนออกมายังแฝงไปด้วยความหวั่นเกรงหลายส่วน
แต่ทางด้านราชันหมาป่าสวรรค์ สายตาของเขาเห็นได้ชัดว่าดูไม่พอใจเป็นอย่างมากในขณะนี้
“ข้าผู้นี้เคยคิดว่า ท่านเสนาบดีเซี่ยเป็นคนซื่อตรงมาโดยตลอด แต่ตอนนี้…ดูเหมือนว่าเรื่องดังกล่าวคงต้องปล่อยให้ฝ่าบาทจัดการเองเสียแล้ว ถึงแม้นี่จะเป็นธุระภายในจวนของท่านเสนาบดีเซี่ยก็เถอะ แต่…”
ทั้งสีหน้าแววตาของเซี่ยอี้เฉินฉายแววลนลานร้อนใจยิ่งยวด เขารีบเอ่ยขึ้นทันทีว่า
“ท่านราชันหมาป่าสวรรค์โปรดวางใจเถิด ข้าจะรีบเข้ามาจัดการเรื่องไม่เป็นธรรมภายใจจวนโดยเร็วที่สุด! จะไม่ให้เกิดความลำเอียงใดๆอีกต่อไป!”
ส่วนสีหน้าท่าทางของฮูหยินเฉิงเห็นได้ชัดว่า นางไม่ยินยอมต่อประโยคนี้แม้สักนิด แต่ภายใต้สายตาที่ดุร้ายปานจะกินคนทั้งเป็นของเซี่ยอี้เฉินในตอนนี้ ต่อให้จะรู้สึกไม่พอใจเพียงใด ทว่าสุดท้ายนางก็จำต้องกลืนลงคอไป
นึกไม่ถึงเลยว่า เซียถง ไอ้นังแพศยานี่จะโชดดีถึงปานนี้! บังเอิญพานพบกับท่านราชันหมาป่าสวรรค์เข้า! ช่างน่าขยะแขยงโดยแท้!
ชายชุดดำพยักหน้าเบาๆ
“แค่มองด้วยตาเปล่าก็เห็นได้แล้วว่า แม่นางผู้นี้ดูผอมแห้ง ใบหน้าซีดขาว เกิดจากการขาดสารอาหารติดต่อกันเป็นเวลานาน ทีแรกที่ข้าผู้นี้พบเห็นเกือบหลงคิดไปแล้วว่า เป็นสาวรับใช้ของจวนเสนาบดี คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นบุตรสาวสายตรงของที่แห่งนี้ หากเรื่องนี้ถูกปแพร่งพรายออกไป เกรงว่าใครได้ยินก็ยากที่จะเชื่อ”
“ทั้งหมด…ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าเอง! เพราะหลายปีที่ผ่านมาข้ามีงานล้นตัวยุ่งจนไม่มีเวลาดูแลบุตรสาวที่รักของข้านางนี้ ทำให้เกิดเรื่องที่ไม่ควรจะเกิดเช่นนี้ขึ้น! ขอทรงโปรดเถิด…อย่านำเรื่องนี้ไปเข้าเฝ้ากับฝ่าบาทเลย ทุกวันนี้ฝ่าบาทก็ทรงงานเหน็ดเหนื่อยพอแล้ว และข้าก็ไม่ต้องการรบกวน…”
เซี่ยอี้เฉินหวาดผวาสุดขีด จนถึงขั้นยกมือขึ้นปาดเหงื่อเย็นบนหน้าผาก
หากเรื่องนี้หลุดถึงหูฝ่าบาทขึ้นมา เกรงว่าเส้นทางการเป็นขุนนางในราชสำนักของเขาคงต้องจบลงแต่เพียงเท่านี้
เซียถงเคลื่อนสายตาจับจ้องไปยังชายชุดดำเจือแววประหลาดใจ ภายในหัวของนางมีแต่คำถามและข้อสงสัยเต็มไปหมด ไฉนเขาถึงต้องออกหน้ามาช่วยนาง? มีชายใดไม่คิดถอยหนีบ้างเมื่อได้เห็นโฉมหน้าอัปลักษณ์ของนาง? แต่นี่มิใช่ไม่ถอยหรือไม่อยากเข้ามายุ่งเกี่ยว ทว่าเขาถึงกับเอ่ยปากช่วยเหลือ และยังดูเหมือนว่า ศักดิ์สถานะของนางจะมิใช่ต่ำต้อยเลย
อิ๋งเอ๋อร์ที่อยู่ข้างในตัวเรือน พอได้ยินแบบนั้นจากความทุกข์เศร้าในทีแรกพลันแปรเปลี่ยนเป็นความสุขในทันใด
“นี่เจ้ากล้าหักเบี้ยรายเดือนของถงเอ๋อร์ได้อย่างไร?! หากเจ้าขาดแคลนเงินก็เพียงแค่บอกข้า! ส่วนเงินก้อนนั้นมีไว้ให้สำหรับถงเอ๋อร์ได้ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน! นี่เจ้ากล้าทำเรื่องสกปรกน่ารังเกียจเช่นนี้ได้อย่างไรกัน? หากเจ้าไม่อยากเป็นฮูหยินของที่แห่งนี้แล้วก็จงกล่าวมา! ข้าจะได้หาสตรนางอื่นมาแทนที่เจ้า!”
เซี่ยอี้เฉินกลับลำเปลี่ยนสีในทันใด หันมีชี้หน้าด่ากราดใส่ฮูหยินเฉิงด้วยความโกรธเกรี้ยวสุดขีด
ฮูหยินเฉิงได้ยินเช่นนั้นก็หลั่งน้ำตาออกมา เผยแสดงสีหน้าเศร้าสลด
“ท่านพี่ ท่านไม่ทราบสถานการณ์ภายในจวนของเราเลยงั้นรึ? แม้ภายนอกจะดูมั่นสดใส ทว่าภายในกลับมีเงินหมุนเวียนไว้กินไว้ใช้ไม่มากแล้ว อันที่จริง….แม้กระทั่งเบี้ยรายเดือดของเหลียนเอ๋อร์เอง ข้าก็จำใจต้องหักส่วนหนึ่งเพื่อนำมาใช้จ่ายภายในจวน แม้แต่ข้ายังต้องแบ่งเบี้ยรายเดือนกว่าครึ่งหนึ่ง เพื่อเสียสละเลี้ยงดูบ่าวไพร่รับใช้ในจวนเสนาบดีแห่งนี้! ทั้งหมดข้าทำเพื่อครอบครัวทั้งนั้น แต่คิดไม่ถึงเลยว่า ท่านพี่จะหูเบาหลงกลอุบายคนอื่นเข้า!”
“เฮ้อ แม้กระทั่งเหลียนเอ๋อร์ยังรู้ความกว่า…ช่างเถอะ เจ้าเคยหักเบี้ยรายเดือนของถงเอ๋อร์ไปเท่าไหร่ ก็จงคืนกลับมาให้นางทั้งหมด ต่อให้ครอบครัวของเราจะยากจนข้นแค้นเพียงใด แต่เราไม่ควรให้เด็กต้องอดอยาก!”
เซี่ยอี้เฉิงถอนหายใจเสียวยืดยาว โบกมือปัดส่งไปทีหนึ่ง
เซียถงแววตาเป็นประกายขึ้นมาทันใด นี่ปล่อยไปง่ายๆเพียงนี้เชียว? หึ…สงสัยจะชาติชั่วทั้งผัวทั้งเมียน้อย
“เช่นนั้นเอาแค่สินสอดทองหมั้นของท่านแม่ข้าคืนมาเถอะ จะอย่างไรมันก็ถือเป็นสิ่งของจากจวนกั๋วกง”
เซียถงเอ่ยขึ้น จงใจเน้นเสียงคำว่า จวนกั๋วกง ออกไป จนทำเอาทั้งสองคนนั้นใบหน้าซีดเผือดลงอีกครา
แม้ว่าฮูหยินเฉิงจะไม่เต็มใจคืนของเลยแม้นักนิด ทว่าต่อหน้าราชันหมาป่าสวรรค์ นางทำได้เพียงพยักหน้าตอบรับกลับไปเท่านั้น
“มัวยืนอึ้งอันใดอีก? ยังไม่รีบเชิญหมอมารักษาเหลียนเอ๋อร์อีก!”
เซี่ยอี้เฉินถลึงตาใส่เซียถงวูบหนึ่ง ก่อนจะหันไปตพคอกสั่งการกับฮูหยินเฉิงด้วยความโมโห
จากนั้นค่อยหน้าหันไปหาชายชุดดำคนดังกล่าว เซี่ยอี้เฉินส่งยิ้มให้และกล่าวขอโทษอย่างสุภาพขึ้นว่า
“โปรดอภัยเป็นอย่างยิ่ง ที่ทำให้ท่านราชันหมาป่าสวรรค์ต้องมายืนฟังเรื่องไม่เป็นเรื่อง มิทราบว่า…เรื่องที่เราตกลงกันก่อนหน้านี้… เอ่อ…ท่านราชันหมาป่าสวรรค์ใความเห็นว่าอย่างไรบ้าง?”
“เรื่องนั้นค่อยคุยกันทีหลังดีเสียดีกว่า วันนี้ข้าไม่มีอารมณ์แล้ว”
กล่าวจบชายชุดดำก็ไม่สนใจเซียอี้เฉินอีกต่อไป หมุนตัวหันหลังกลับและเดินจากออกไปโดยตรง
สองคู่มือของเซี่ยอี้เฉินกระชับกำหมัดแน่นด้วยความเดือดดาลยิ่ง โมโหฌกรธเกรี้ยวจนแทบอยากจะฆ่าใครสักคนให้ตายเสียตรงนี้! แผนการที่จะพาตัวเองทะยานสู่สวรรค์เกือบจะสำเร็จอยู่แล้ว! เดิมทีเขาตั้งใจไว้ว่า จะขอยืมมือของราชันหมาป่าสวรรค์เพื่อผลักดันตัวเองให้ทรงพลังอำนาจถึงขีดสุด! แต่คิดไม่ถึงเลยว่า แผนการทุกอย่างในวันนี้กลับพังพินาศไม่เป็นท่า!
เมื่อทุกคนลาจากออกไป ทั่วทั้งลานหน้าเรือนพลันเงียบสงัดลง
“คุณหนู…ท่านราชันหมาป่าสวรรค์ถึงกับออกหน้าแทนท่าน…”
จนกระทั่งชายชุดดำคนนั้นลาจากออกไปได้ชั่วระยะหนึ่ง อิ๋งเอ๋อร์ยืนอึ้งอยู่กับที่เป็นเวลาเนิ่นนาน กว่าจะตอบสนองได้สติขึ้นมาได้
“เขาเก่งมากงั้นรึ?”
เซียถงดูจะไม่ค่อยเห็นด้วยที่อีกฝ่ายมาช่วย
“แน่นอนสิคุณหนู! ไม่เพียงแต่แข็งแกร่งเท่านั้น แต่ขุมพลังอำนาจยังน่าเกรงกลัวเป็นที่สุด! และที่สำคัญยังมีข่าวลืออีกว่า ท่านราชันหมาป่าสวรรค์ยังเป็นคนที่มีนิสัยดุร้ายและโหดเหี้ยมเย็นชา”
“อืม…เหมือนจะมีคนเคยกล่าวเล่ากันอีกว่า โฉมหน้าของเขาอัปลักษณ์จึงต้องสวมหน้ากากเอาไว้ตลอดเวลา”
“ยังมีคนหน้าตาอัปลักษณ์กว่าข้าอีกงั้นรึ? เหลือจะเชื่อ”
เซียถงอดพูดเหน็บแนมตัวเองมิได้
“ต้องอัปลักษณ์กว่าคุณหนูแน่นอนเจ้าค่ะ…”
ทีแรกอิ๋งเอ๋อร์ต้องการกล่าวออกไปเช่นนี้ เพื่อจะปลอบใจเท่านั้น แต่พอฟังแล้วกลับดูแปลกๆ นางจึงรีบยกมือขึ้นปิดปากทันที และกล่าวขอโทษด้วยความรู้สึกผิดขึ้นว่า
“คุณหนู ข้ามิได้หมายความเช่นนั้นนะเจ้าค่ะ…อย่าโกรธบ่าวเลย…”
เซียถงส่งยิ้มเจือแววขุนเคืองเล็กน้อยใส่อีกฝ่าย แต่เจตนาเพียงหยอกเล่นเท่านั้น
เพราะนางเชื่อว่าสักวัน เรื่องใบหน้าของนางจะต้องถูกรักษาจนกลับไปเป็นปกติได้แน่นอน ดังนั้นไม่เห็นมีอะไรให้น่าโมโหเลย