ตอนที่68 ความห่วงใยของไป๋หลี่หาน (2)
ความอัปยศ ความโกรธเกรี้ยวที่โดนหลอก กระทั่งความกระหายเลือด ทั้งหมดทั้งมวลนี้ได้บ่อนทำลายตรรกะเหตุผลทั้งหมดของนางในทันใด ปัจจุบันขณะ มีสิ่งเดียวที่คงอยู่ภายในใจ หากวันนี้แม่ของนางต้องตาย นางจะล้างบางวังหลวงให้พินาศ ฝังไอ้พวกเชื้อพระวงศ์ชาติชั่วทั้งหมดไว้ข้างหลุมศพนาง เสมือนร่างกายของนางเป็นยุทธทัณฑ์บรรพกาลสะท้านฟ้าดิน สาดฉายรัศมีอำมหิตสุดข้นขลักทะลักล้นอย่างบ้าคลั่ง
“ข้ามีโอสถปราณระดับสองอยู่!”
ไป๋หลี่หานคว้าคมมีดสั้นกำเอาไว้แน่น หยดเลือดรินไหลเป็นสายหนึ่งจากฝ่ามือข้างนั้น แต่กระนั้นหาได้สนใจไม่เลย เรียวตาปราดยาวคู่นั้นมองผ่านช่องหน้ากากส่งไปหาหญิงสาวที่ยามนี้ประดุจว่าจำแลงกายเป็นนางพญามาร หิวกระหายเลือดกว่าสิ่งใดเบื้องหน้า
เซียถงเงยหน้ามองไปทางเขา ฉายแววประหลาดใจผ่านเส้นสายตา
“ข้าให้เจ้าได้”
สุ้มเสียงเย็นเยียบแผดดังออกมาจากปากไป๋หลี่หาน ฟังดูหนาวเหน็บกว่าปกติที่ผ่านมา แต่นั่นยังคงรักษาความสง่างดงาม พรรณนาเปรียบดั่ง หยาดพิรุณเย็นปรอยในเดือนสาม เข้าชโลมจิตใจอันบ้าคลั่งของเซียถงให้สงบลง
“สิ่งที่เจ้ากล่าวมาเป็นความจริง?”
ความเกรี้ยวโกรธบนใบหน้าของนางลดลงหนึ่งส่วน แต่ในความสงบลงที่ว่าของเซียถงก็ยังเจิผสมความรวนเรไม่แน่นอนอยู่ เผยแสดงสีหน้าหาได้ไว้วางใจออกมาเสียเท่าไหร่ แต่คมมีดในมือหยุดเคลื่อนขยับออกไปเบื้องหน้าแล้ว
“หากเจ้าปล่อยองค์หญิงไป ข้าจะมอบโอสถปราณระดับสองแก่เจ้า”
ไป๋หลี่หานพยักหน้ากล่าวให้คำมั่นน้ำเสียงแผ่วเบา
“เอาโอสถออกมาก่อน แล้วข้าจะปล่อยมันไป”
มือข้างซ้ายที่บีบคอไป๋หลี่อวี๋อิงยิ่งกระชับแน่นตับ เซียถงยกร่างของอีกฝ่ายลอยขึ้นกลางอากาศ ยิ่งไป๋หลี่อวี๋อิงพยายามดิ้นทุรนทุรายมากเท่าไหร่ แต่ก็ดูเหมือนว่า นิ้วทั้งห้าของเซียถงบนคอนางก็ยิ่งรัดแน่นขึ้นประดุจคีมเหล็ก
หันไปทางไป๋หลี่หาน เซียถงเอ่ยขึ้นว่า
“นำโอสถมาก่อน”
อาศัยความแกร่งกล้าเฉพาะของไป๋หลี่หาน การจะสังหารนางทิ้งนับเป็นเรื่องง่ายดาย ทำให้ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ดังนั้นแล้ว เซียถงจึงต้องใช้ไป๋หลี่อวี๋อิงเป็นตัวประกัน ตราบใดที่อีกฝ่ายเคลื่อนไหว นางก็จะหักคอสาวน้อยในมือทิ้งทันที
หากนางต้องตาย เช่นนั้นก็ลากไป๋หลี่อวี๋อิงลงนรกไปด้วยอีกคน
ไป๋หลี่อวี๋อิงใบหน้าซีดเผือดไร้เลือดหล่อเลี้ยง บิดเบี้ยวน่าเกลียดแลดูอัปลักษณ์ ความหยิ่งผยองจองเดชและภาคภูมิใจดั่งก่อนหน้า ยามนี้อันตรธานหายสิ้นไร้ร่องรอย เหล่สายตาเหลือบมองคมมีดสั้นที่เล็งจ่ออยู่ตรงหน้า ทั้งยังรู้สึกปวดแสบบริเวณแก้มซ้ายที่โดนฟันเมื่อครู่ มือไม้ร่างกายอ่อนยวบยาบเจียนล้มทั้งยืน ตั้งแต่นางเกิดและเติบโตขึ้นมา นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ลิ้มสัมผัสรสชาติแห่งความตายใกล้ปานนี้
“เซียถง ปล่อยองค์หญิงบัดเดี๋ยวนี้ แล้วข้าจะอภัยโทษทุกข้อหาที่ก่อเกิดขึ้นในคืนนี้!”
ฝ่าบาทที่ซึ่งยามนี้บรรเทาอาการตื่นตระหนกลงมากแล้ว กล่าวขึ้นด้วยความละอาย การปรงพระชนม์เชื้อพระวงศ์นับว่าโทษหนักหนาสาหัสยิ่งแล้ว แถมมาลงมือกันต่อหน้าผู้เป็นองค์จักรพรรดิ ไม่เพียงสมควรตายนับสิบชาติ แต่นี่ถือเป็นการเหยียดหยาม เย้ยศักดิ์บารมีของเขาครั้งใหญ่หลวง
แต่นี่กลับเป็นเรื่องช่วยไม่ได้เช่นกัน คนที่ดันไปยั่วโทสะกลับเป็นเซียถง เทพธิดาแห่งความหายนะ และเขากลับมองข้ามไปโดยสิ้นเชิง ซึ่งเป้าหมายของคมมีดในมือนางในคราวนี้ก็เป็น องค์หญิงอวี๋อิง ราชาโอสถเพียงคนเดียวของราชวงศ์ไป๋ ไม่ว่าอย่างไร เขามิสามารถทนต่อการสูญเสียบุคคลระดับชั้นราชาโอสถไปได้ บุตรสาวนางนี้ของเขาเปรียบเสมือนต้นเงินต้นทอง ผู้นำพาความมั่งคั่งมากมายหลายหลากมาสู่ตัวเขา ดังนั้น เขาจำต้องรีบเร่งระดับโทสะทั้งหมดภายในใจลงโดยเร็ว!
เซียถงทำราวกับไม่ได้ยินคำพูดคำจาใดๆ ของฝ่าบาท ยังคงกระชับถือมีดสั้นจ่อเล็งดังเดิม จ้องไป๋หลี่หานตาเขม็งเฉียบคม หากต้องการให้ป็หลี่อวี๋อิงมีชีวิตต่อไป ก็จงมอบโอสถปราณระดับสองมา
“ข้าจะมอบให้เจ้าแน่นอน”
ไป๋หลี่หานจ้องคมมีดทอประกายแสงเย็นเยียบไม่ห่างตา เอื้อมมือข้างหนึ่งเข้าไปในอกเสื้อ คล้ายกับว่ากำลังล้วงหาอะไรบางอย่าง จากนั้นก็หยิบบางสิ่งบางอย่างออกมา กำมือไว้แน่นและยื่นออกไปให้เซียถงตรงหน้า
เซียถงเหลือบแลส่อแววสงสัย อีกฝ่ายยังคงกำมือแน่นแต่เคลื่อนเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ นางหรี่ตาลงทันใดอย่างรู้ทัน คำรามขึ้นว่า
“กางมือ!”
“เม็ดโอสถอยู่ในมือข้าแน่นอน”
ไป๋หลี่หานสบตาประชันคารมกับเซียถง ราวกับมีกระแสไฟยิงออกมาจากดวงตาทั้งสองปะทะชนกันดังซี่ๆ เขาแบฝ่ามือคลายออกอย่างแช่มช้า จนกระทั่งกางนิ้วทั้งห้าออกจนสุด สิ่งที่เซียถงเห็นมีเพียงโอสถสีดำธรรมดาเม็ดหนึ่งเท่านั้น สีหน้าของนางแปรเปลี่ยนฉับพลัน ขณะกำลังโหมพละกำลังทั้งหมดเพื่อจะหักคอของไป๋หลี่อวี๋อิงในมือทิ้ง ทว่ากลับสายเกินไปเสียแล้ว
เงามือสายหนึ่งพุ่งโฉบเข้าคว้าข้อมือของนางข้างที่บีบคอของไป๋หลี่อวี๋อิงเอาไว้ในพริบตา อาศัยแรงดึงมหาศาลดุจช้างสิบเชือก ลงมือในเสี้ยวพริบตา จึงสามารถกระชากข้อมมือเซียถงจนหลุดออกจากคอของไป๋หลี่อวี๋อิงได้ในที่สุด เซียถงพึงทราบ หยิบใช้พละกำลังขับสู่กับชายคนนี้ย่อมไม่ได้ผล คิดได้ดังนั้นจึงโยนมีดสั้นจากมือขวา ส่งกลางอากาศไปหามือข้างซ้ายที่ยังว่าง ทันทีที่คว้าจับไว้ได้เสียงดังหมับ นางระดมส่งพลังลมปราณทั้งหมดทั่วร่างย้ายไปซีกซ้าย โถมน้ำหนักเหวี่ยงคมมีดเข้าแทงไปยังไหล่ขวาของอีกฝ่ายสุดแรงเกิด
ไป๋หลี่หานพ่นลมหายใจเย็นหนึ่งเสียง โดยไม่คำนึงถึงคมมีดของเซียถงที่เสียบคาไหล่ขวาของตน เขารวบเอวของนาง แบกทั้งร่างขึ้นวางบนบ่า โคจรลมปราณกระแสใหญ่เร็วจี๋ เงาร่างไสววาบกลายเป็นประกายแสงสีครามฟ้า พานางออกจากเรือนรับแขกหลังนี้หนีไปทันที
ฝ่าบาทยืนนิ่งท่ามกลางคลื่นลมซัดหอบโฉบออกไป ชายเสื้อมคลุมพลิ้วไสวตามทิศทางอากาศ มองดูไป๋หลฃี่หานที่หายวับลับจากไปพร้อมกับเซียถง สีหน้าแววตายามนี้ดูเหี้ยมเกรียมขึ้นหลายส่วน ปรากฏว่า ไป๋หลี่หาน มันมิได้เจตนาหวังดีที่จะช่วยไป๋หลี่อวี๋อิงตั้งแต่แรก เพียงเบี่ยงความสนใจ หยุดตัวเขามิให้ออกโรงชั่วขณะแค่เท่านั้น
เซียถงโดนแบกอยู่บนบ่าของไป๋หลี่หานไว้แน่น ไม่ว่าจะทำอย่างไรกลับดิ้นไม่หลุดสักครา นางกระชากคมมีดที่ปักคาอยู่บนไหล่ของอีกฝ่ายขึ้นมา วาดรัศมีชูขึ้นเตรียมจะเสียบซ้ำย้ำแผลเดิมอีกหนึ่งคำรบ แต่ทันใดนั้นพลันได้ยินสุ้มเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นว่า
“ข้าจะพาเจ้าไปเอาโอสถปราณระดับสอง อย่าเพิ่งดิ้น!”
ด้วยความตกลึงงัน เซียถงหยุดมือไปชั่วขณะ เหลียวหลังกลับไปมองชายที่แบกร่างของตนอยู่ด้วยความฉงนใจ หมอนี่กำลังจะพาตัวข้าไปรับโอสถปราณระดับสองจริงรึ? มิใช่ลักพาตัวไปฆ่าทิ้งหรอกรึไง?
“โอสถปราณมิได้อยู่ในวังหลวงแห่งนี้ คำกล่าวของข้าผู้นี้ล้วนมีน้ำหนักเชื่อถือได้ หากเจ้ายอมไว้ชีวิตองค์หญิงอวี๋อิง ข้าย่อมให้ความช่วยเหลือเจ้าโดยธรรมชาติ”
ไป๋หลี่หานแลมองสวนกลับไปทีหนึ่ง พึงตระหนักดีว่า หญิงสาวนางนี้กำลังคิดอะไรอยู่ จึงอธิบายแถลงไขให้ฟัง
จะอย่างไรลำพังตัวเซียถงไม่สามารถเอาสชนะหมอนี่ได้อยู่ดี และบางทีอีกฝ่ายอาจจะพานางไปหาโอสถปราณระดับสองจริงๆ ก็เป็นได้ เช่นนั้นต้องมาดูกัน เมื่อถึงมาถึงจุดนี้ เซียถงจึงเก็บมีดสั้นในมือลง ปล่อยให้ไป๋หลี่หานพาหนีออกจากวังไป
หลังออกจากเขตวังหลวงมาได้ในที่สุด เขาก็พาเซียถงไปยังจวนแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่บริเวณมุมเมืองเฟิ่งหลี่ พานางตรงเข้าไปด้านใน ไป๋หลี่หานตะโกนเรียกสาวรับใช้นางหนึ่งในชุดสีเขียว และสั่งให้นางไปนำโอสถปราณระดับสองออกมาจากร้านขายโอสถมาเป็นการด่วน