ตอนที่77 ขอชิงจากไปก่อน
“นายท่าน การจะเป็นนักหลอมโอสถกล่าวคือเรื่องยาก ท่านต้องค่อยเป็นค่อยไป อย่าได้กังวล ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเวลาและประสบการณ์”
เสี่ยวฮั่วกล่าวให้กำลังใจ
เซียถงพยักหน้าตอบ เปิดประตูห้องหลอมกลั่นออกมา ลอบหยิบสมุนไพรของเพื่อนร่วมห้องคนอื่น ๆ ที่ทิ้งขวางอยู่บนโต๊ะ มาเริ่มหลอมกลั่นใหม่อีกครั้ง
หลังจากเทวัตถุดิบสมุนไพรที่จำเป็นลงในเตาหลอมทั้งหมดแล้ว ผ่านไปอีกชั่วยามหนึ่ง ผลผลิตที่เซียถงสร้างขึ้นมายังคงเป็นก้อนตอตะโกโอสถที่ไหม้เกรียมอีกจำนวนหนึ่ง ทว่าอย่างไร นางกลับมิได้รู้สึกหดหู่ใจอีกต่อไปแล้ว เพราะนางสามารถสัมผัสได้อย่างชัดแจ้ง เปลวไฟในกายเริ่มเชื่อฟังคำสั่ง เคลื่อนไหวตามความคิดของนางทีละเล็กละน้อยแล้ว ตราบใดที่นางสามารถควบคุมเปลวไฟนี้ได้สมบูรณ์แบบ ก็จะสามารถหลอมกลั่นโอสถได้ประสบผลสำเร็จ
เก็บข้าวเก็บของเตรียมออกจากห้องหลอมกลั่น เซียถงต้องไปเรียนวิชากลยุทธ์ต่อให้อาคารแขนงกลยุทธ์ในช่วงบ่าย แต่เนื่องด้วย นางใช้เวลาไปกับการหลอมกลั่นโอสถรอบนี้จนลืมวันลืมคืน พอเดินออกมาจากห้องแขนงโอสถ พลันต้องประหลาดใจอย่างยิ่ง ปรากฎว่านี่เป็นเช้าของอีกวันแล้ว!
กล่าวได้ว่า นางไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลยจริงๆ นางคลุกตัวอยู่ในห้องหลอมกลั่นเป็นเวลาหนึ่งคืนเต็มๆ!
สายลมยามเช้าพัดผ่าน ทะลุผ้าคลุมแรกสัมผัสใบหน้า ก่อเกิดเป็นความรู้สึกเย็นสบายปลอดโปร่ง เซียถงสูดหายใจเข้าแช่มลึก เดินตามเส้นทางเบื้องหน้าท่ามกลางกลีบบุปผาอรชรโปรยปรายดั่งอิสรเสรี ต้องพูดว่านี่เป็นเวลารุ่งสาง ท้องนภายังมืดครึ้ม และยังไม่มีใครตื่นมาเรียนเช่นกัน ปรากฏเพียงเสียงดังกรอบแกรบเพลาสายลมพัดผ่าน นำพากลีบบุปผาทั้งหลายคลุฟุ้งเป็นเกลียวคลื่นบาง
“เจ้าลงเรียนแขนงวิชาใด?”
สุ้มเสียงนุ่มลึกของชายคนหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลังของนาง
เซียถงใช้มือขวาคีบเกี่ยวกลีบบุปผาตามร่องนิ้วทันที เตรียมสะบัดข้อมือยิงออกเพื่อป้องกันตัว แต่พอหันหลังไปมอง พบว่าเป็นไป๋หลี่หานที่ยืนอยู่ห่างเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น
เขาแต่งกายในเสื้อคลุมสีครามเข้ม ผนวกกับภาพฉากบุปผรายโปรยปรายยิ่งเพิ่มเสริมสง่าราศีเป็นเท่าทวี ไป๋หลี่หานยืนอยู่ต้นแสงยามย่ำรุ่ง หน้ากากสีดำเต็มใบปกคลุมสีหน้าการแสดงออกโดยทั่ว แต่ดวงตาคู่นั้นภายใต้หน้ากากกลับเปล่งประกายสว่างงดงามเป็นพิเศษ เสมือนห้วงดาราไร้ขอบเขต ลึกล้ำเกินหยั่งถึง
เซียถงผู้หลงใหลดำดิ่งสู่ห้วงลึกล้ำในดวงคู่ดังกล่าว แต่นั่นเป็นเพียงชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น ก่อนที่นางจะฟื้นสติขึ้นโดยไว หรี่ตาแคบ จับจ้องอีกฝ่ายพร้อมใบหน้าแสนระแวดระวัง เอ่ยถามขึ้นแทนว่า
“ไฉนเชื้อพระวงศ์อย่างท่านถึงอยู่ที่นี่?”
ชายตรงหน้านางคนนี้เกินหยั่งถึงได้ ทางที่ดีนางควรป้องกันเอาไว้ก่อนเป็นดีที่สุด
“ข้ามาที่นี่เพื่อรับชมการแสดง”
ประกายแสงส่องสะท้อนจากแววตาจางหายไป แทนที่ด้วยแววเย่อหยิ่ง เด็ดขาดคมชัดดังเดิม มุมปากกระตุกยิ้มเย็นชาส่งมอบไปทีหนึ่ง
รับชมการแสดง? หรือต้องการเห็นเซียถงโดนไป๋หลี่อวี๋อิงกับไป๋หลี่เย่รังแกในถิ่นของพวกมัน?
แต่น่าเสียดายนัก เกรงว่าจะคิดผิดแล้ว ต่อให้อยู่ในถิ่นศัตรู เซียถงเองก็ไม่เว้นเช่นกัน
“เช่นนั้นรอดูเถิด ข้าจะไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน”
เซียถงจ้องหน้าอีกฝ่ายสวนกลับโดยไม่มีเกรงกลัว ยืดเอวเหยียดอกตั้งตรง สาวเท้าเตรียมจากไป แต่จู่ๆ พลันได้ยินไป๋หลี่หานตะโกนขึ้นลั่นว่า
“เดี๋ยวก่อน!”
ฝีเท้าของนางหยุดชะงักหนึ่งจังหวะ อดมองค้อนกลับไปทางไป๋หลี่หานอย่างอดมิได้ แต่เห็นเพียงอีกฝ่ายเชิดหน้ากล่าวขึ้นอย่างเย่อหยิ่งขึ้นว่า
“หากเจ้าต้องการจากไป ข้าคนนี้ขอชิงจากเจ้าไปก่อน”
พูดจบ เขาก็สะบัดแขนเสื้อและหมุนตัวเดินจากไปทันที
เอ่อ…
เซียถงตะลึงจนพูดไม่ออก จับจ้องอีกฝ่ายจากออกไปอยู่แบบนั้น ปั้นสีหน้าฉงนงุนงง อดอุทานกับตัวเองมิได้ ‘ช่างแปลกคนโดยแท้’ หลังจากผ่านไปสักครู่หนึ่ง นางค่อยยักไหล่ช่วยไม่ได้อย่างมิได้ใส่ใจนัก และหมุนตัวเดินจากออกไปเช่นกัน
เดินไปได้สักพัก ไม่นานก็ได้พบกับฉีหมิงเยว่ อีกฝ่ายพานางไปยังโรงอาหารของสถานศึกษาทันทีเพื่อรับประทานอาหารเช้าด้วยกัน ภายในสถานศึกษาเซิงหลิงมีทั้งหอพักและโรงอาหาร แต่ก็อย่างว่า หอพักศิษย์ที่นี่เป็นเพียงสถานที่ซุกหัวนอนของพวกศิษย์สาวกที่ครอบครัวยากจนไม่มีเงินส่งไปกลับบ้าน ส่วนพวกคุณหนูคุณชายทั้งหลาย มักจะใช้เวลาโดยส่วนใหญ่กับการเรียน และเดินทางเที่ยวเล่นในเมืองก่อนกลับบ้านไป เว้นเสียแต่ว่า มีเหตุจำเป็นต้องอยู่ค้างแรมจริงๆ พวกลูกคุณหนูคุณชายถึงจะมานอนค้างในหอ ซึ่งห้องที่พวกเขาอยู่ก็คนละเรื่องกับพวกยากจน
โรงอาหารของสถานศึกษาค่อนข้างใหญ่ สภาพแวดล้อมอยู่ในระดับไม่เลวนัก ศิษย์ใหม่ที่เข้ามาจำเป็นต้องซื้อเครื่องมือเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารเองอย่างเช่น ตะเกียบ ถ้วยข้าวส่วนตัวเป็นต้น หลังจากเซียถงแวะซื้อของเหล่านี้เสร็จสรรพ จึงค่อยมานนั่งกินกับฉีหมิงเยว่ที่ริมหน้าต่าง พร้อมอาหารเช้าในมือ
ฉีหมิงเยว่ถือซาลาเปาหอมกรุ่นลูกหนึ่งในมือและยังไม่ได้ทานมันลงไป แต่เพ่งสายตาความรู้อยากเห็นคู่นั้น จับจ้องไปทางเซียถงที่ยังมีผ้าคลุมหน้าปิดบังอยู่โดยไม่วางตา สีหน้าทั่วทุกอนูเปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง
เซียถงตระหนักดีว่า อีกฝ่ายกำลังรอให้นางเปิดผ้าคลุมหน้าออกเพื่อทานอาหารอยู่ เช่นนั้นจึงเหลือบสายตามองไปทีหนึ่ง และหยิบซาลาเปาหมุดเข้าไปในผ้าคลุมหน้าและกินเข้าไปทั้งแบบนั้นแทน
ฉีหมิงเยว่ฉายแววผิดหวังเล็กน้อย แต่นางก็มิได้ทักท้วงอันใด นางเปิดผ้าคลุมออกและกัดซาลาเปาเข้าไปคำน้อยอย่างบรรจง ก่อนจะเงยหน้าเอ่ยถามเซียถงขึ้นว่า
“ใครแนะนำให้เจ้าเข้าเรียนที่นี่รึ?”
“อ้อ คนรู้จักน่ะ”
เซียุงไม่ต้องการพูดชื่อองค์จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิตงหลี่ออกไปในเวลานี้ เพราะปัจจุบัน ยังไม่มีใครทราบถึงจุดประสงค์ที่นางเข้าเรียนในสถานศึกษาเซิงหลิงแห่งนี้ ยกเว้นบางคนที่อยู่ร่วมเหตุการณ์นั้นในวังหลวง
พอได้ฟังคำตอบของเซียถง ฉีหมิงเยว่พึงทราบทันทีว่า อีกฝ่ายไม่อยากจะเปิดเผยอะไรมากจนเกินไป ก็เลยเลือกที่จะไม่เอ่ยถามอะไรอีก ส่งยิ้มให้เซียถงทีหนึ่ง และกัดซาลาเปาในมืออีกหนึ่งคำอย่างเงียบๆ
ทั้งสองนั่งรับประทานอาหารร่วมโต๊ะกันท่ามกลางบรรยากาศเงียบงันอยู่แบบนั้น เพราะเซียถงเป็นคนไม่ค่อยพูดอยู่แล้ว หากฉีหมิงมิได้เปิดฉากเอ่ยถามอะไรขึ้นก่อน นางก็จะปิดปากเงียบตั้งหน้าตั้งตาทานซาลาเปาตรงหน้าอย่างเดียว
สายลมเย็นหนึ่งระลอกพัดผ่าน กลีบบุปผาสีชมพูอ่อนบินเข้ามาจากทางหน้าต่าง ฉีหมิงเยว่วางซาลาเปาลง และเอื้อมมือไปคว้ากลีบบุปผาเหล่านั้น ส่งยิ้มหวานให้เซียถงกล่าวว่า
“เซียถง เจ้าชอบดื่มชาหรือไม่?”
โดยไม่รอให้เซียถงเอ่ยตอบอะไรใดๆ นางกล่าวต่อว่า
“ชาที่ทำจากน้ำหวานเกสรดอกไม้จะมีความหอมและละมุนกว่าทั่วไป ชนิดดอกไม้จะให้รสชาติที่แตกต่างกันออกไป ทั้งท่านพ่อกับท่านแม่ล้วนชื่นชอบชาที่ข้าทำเป็นอย่างยิ่ง อาทิเช่น ชาจากดอกไม้ของสถานศึกษาแห่งนี้ กล่าวได้ว่าวัตถุดิบชั้นหนึ่ง หากเจ้าชอบข้าจะเก็บมันมาทำเป็นชาหอมกรุ่นในเจ้าสักกา”
ขณะที่นางเอ่ยกล่าว ก็พลางเหลือยสายตาจับจ้องต้นไม้ที่อยู่ด้านนอกหน้าต่างต้นหนึ่ง แต่ภายใต้เงาต้นไม้ที่ว่า มีกลุ่มบุรุษชายจำนวนหนึ่ง และที่ดูโดดเด่นที่สุดในบรรดาพวกเขา คงหนีไม่พ้น องค์รัชทายาทไป๋หลี่เย่ วันนี้เขามาด้วยเสื้อคลุมผ้าไหมสีม่วงตัดทอง ทั้งยังสวมมงกุฎทองคำประดับอยู่บนศีรษะ รวบผมเผ้าขึ้นจัดเป็นทรง เผยให้เห็นถึงใบหน้าอันหล่อเหลาเจือผสมแววผยิ่งผยองอยู่หลายส่วน รัศมีที่แผ่ซ่านทำให้ผู้คนทั้งหลายรู้สึกได้ถึงความสูงส่งและทรงสง่า
ดวงตาคู่นั้นของฉีหมิงเยว่กลับกวาดผ่านร่างของไป๋หลี่เย่ราวกับมิได้สนใจอะไร เพราะในสายตาของนาง ไป๋หลี่เย่ก็แค่ผู้ชายธรรมดาทั่วไปคนหนึ่งเท่านั้น ปราศจากความน่าหลงใหลแต่อย่างใด