ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง – ตอนที่ 102 หายตัวไป

ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง

ตอนที่102 หายตัวไป

“เรื่องเท็จคือ ข้าโกหกว่าตนมิใช่คนใส่ยาพิษลงใยบ่อน้ำ ส่วนเรื่องจริงคือ ข้านี่แหละคือคนใส่ยาพิษลงในบ่อน้ำ”

เซียถงเลิกคิ้วขึ้น กล่าวสารภาพออกไปตามตรง

แต่ไหนเลยที่หยุนซีจะคาดคิดว่า เซียถงจะยอมพูดวาจาเหล่านี้ออกมาโดยไม่มีปิดบังใดๆ? นางถึงกับตะลึงงันไปชั่วขณะ ประกายตาสีดอกท้อคู่สวยเหม่อมองสาวน้อยตรงหน้าไม่มีคลายอ่อน ฉายแววฉงนงุนงงยิ่งยวด

“ท่านอาจารย์หยุนซีเองก็เห็น ไป๋หลี่อวี๋อิงพยายามสร้างปัญหาให้แก่ศิษย์คนนี้ไม่มีเว้นวาย ศิษย์เพียงต้องการใช้เวลาสามเดือนที่มีตั้งใจศึกษาเล่าเรียนในสถานศึกษาแห่งนี้อย่างสงบเท่านั้น และนี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้วสำหรับรับมือ”

เซียถงกล่าวอธิบายทีท่าสงบนิ่งภายใต้สายตาที่จับจ้องเขม็งของหยุนซี

นางให้สัญญากับไป๋หลี่หานไปแล้วว่า จะไม่ทำร้ายไป๋หลี่อวี๋อิง ซึ่งนั่นหมายถึง ‘ไม่ทำร้ายชีวิตของนาง’ ดังนั้นจึงเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้ไป๋หลี่อวี๋อิงเงียบไปได้สักพัก เพราะองค์หญิงผู้แสนงดงามอย่างนาง ใส่ใจเรื่องรูปลักษณ์ตัวเองเหนือสิ่งอื่นใด หากมีหน้าตาเละอย่างกับศพเช่นนี้ มั่นใจได้เลยว่าอีกฝ่ายจะไม่มีทางย่างกายเข้ามาในสถานศึกษาอีกจนกว่าหายเป็นปกติ

“เซียถง เจ้ากล่าวว่าอันใด? ข้าได้ยินไม่ชัด?”

หยุนซีเลิกคิ้วกระตุกขึ้นโดยพลัน กวาดสายตพินิจเซียถงตั้งแต่หัวจรดล่าง ภายในใจหลงคิดไปว่านี่ เซียถงตัวจริงหรือผู้ใดแอบปลอมตัวมารึเปล่า? คนที่เย็นชาและหยิ่งทะนงอย่างสาวน้อยคนนี้หรือจะยอมพูดความจริงง่ายๆ ปานนี้? หรือที่ได้ยินเมื่อครู่ตัวนางจะหูฟาดไป? หลังชะงักไปชั่วครู่หนึ่ง หยุนซีส่ายศีรษะอาน กล่าวขึ้นอีกครั้งว่า

“ลืมไปเถอะ ข้ายังมีงานที่ต้องทำอีกมาก คงไม่ว่างซักถามอันใดเจ้าอีกแล้ว ขอตัว”

ทันทีที่พูดจบหยุนซีก็หมุนตัวเดินเปิดประตูจากไป เหตุผลที่เซียถงตัดสินใจบอกความจริงออกไปตรงๆ เพราะตัวนางเองอยากจะพิสูจน์ข้อสงสัยหนึ่งที่มีต่อหยุนซี และสุดท้ายก็ได้ข้อสรุปตามที่คาดการณ์เอาไว้จริงๆ หยุนซีต้องการใช้ประโยชน์อะไรสักอย่างในตัวของเซียถงจริงๆ และต่อให้สารภาพความจริงออกไป อีกฝ่ายก็ไม่กล้าไล่นางออกจากสถานศึกษาในขณะนี้ จ้องมองแผ่นหลังเรียวระหงของหยุนซี รอยยิ้มผุดขึ้นบนมุมปากของเซียถงในทันใด

แต่ในไม่ช้า รอยยิ้มดังกล่าวพลันต้องหยุดนิ่งไปทันควัน เพราะจู่ๆ หยุนซีก็หันกลับเข้ามา ชะโงกหน้าผ่านประตูพร้อมส่งยิ้มหวานอันแสนสดใสให้แก่เซียถง กล่าวว่า

“ค่าปิดปาก ห้าร้อยเหรียญทอง อัตราดอกเบี้ยสี่เท่าต่อวัน”

ห้าร้อยเหรียญทอง? อัตราดอกเบี้ยสี่เท่าต่อวัน?

แค่เซียถงได้ฟังก็รู้สึกราวกับว่า กำลังมีภัยพิบัติครั้งใหญ่หลวงถล่มลงมาจากฟากฟ้า อย่างไรก็ตามแต่ นางไม่คิดจะชดใช้เงินคืนให้หยุนซีอยู่แล้วใช่ชั่วชีวิตนี้ จึงพยักหน้ายิ้มแย้มตอบกลับไปอย่างว่าง่าย

ความเป็นจริงในข้อนี้ ยิ่งตอกย้ำข้อสันนิษฐานของเซียถงเข้าไปใหญ่เลยว่า บางทีสิ่งที่หยุนซีต้องการอาจไม่ใช่เงินทอง แต่เพียงต้องการให้ตัวเซียถงติดหนี้นางให้ได้เยอะที่สุด เพื่อรอให้เซียถงพูดกับนางว่า ‘ขอชดใช้เป็นอย่างอื่น ไม่ว่าอะไรก็ยอม’

และเมื่อถึงตอนนั้น…เซียถงจะได้ทราบเสียทีว่า จุดประสงค์ที่แท้จริงของหยุนซีคืออะไรกันแน่?

ชีวิตประจำวันหลังจากนั้นของเซียถงผ่านไปโดยราบรื่น นางไม่เห็นหน้าไป๋หลี่อวี๋อิงและบรรดาผู้ติดตามของอีกฝ่ายในสถานศึกษามาเกือบครึ่งเดือนแล้ว และไป๋หลี่เย่ก็มิเคยมายั่วยุปั่นประสาทอีกเลยเช่นกัน แต่ยังมีบ้างที่แม่ทัพจางเจิ้งกั๋ว มักจะสร้างเรื่องยากๆ ให้นางแก้ไข ทว่าทุกครั้งเซียถงก็สามารถรับมือและจัดการกับปัญหาเหล่านั้นได้อย่างชาญฉลาด

ครึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ สามารถสรุปชีวิตของเซียถงได้สั้นๆ ว่า ครึ่งเช้าเรียนหนังสือ ครึ่งดึกหลอมกลั่นโอสถ

อิ๋งเอ๋อร์ช่วยเก็บออมเงินได้มากขึ้นเป็นกอบเป็นกำ แต่ในขณะเดียวกัน เซียถงเองก็ติดหนี้หยุนซีมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน และตั้งแต่ครั้งนั้น นางก็ไม่เคยปริปากถามเรื่องคืนเงินกับหยุนซีอีกเลยสักครั้ง

ในค่ำคืนวันนี้ เซียถงเปลี่ยนชุดรัดรูปสีดำเพื่อความคล่องแคล่วในการเครื่องไหว ลอบเข้าไปในวังหลวงอย่างเงียบงัน นางต้องการไปสืบเสาะให้ได้ความว่า ใครที่แน่ที่แอบใส่เชื้อราม่วงลงในกล่องเห็ดหลินจือมรกตในครั้งนั้น และเรื่องนี้ยังคงถูกเก็บงำไว้ในใจเรื่อยมา ปัจจุบันเรื่องราวในสถานศึกษาเซิงหลิงก็ได้คลี่คลายลงแล้ว ดังนั้นก็คงถึงเวลาที่นางจะต้องตามล่าหาฆาตกรแล้ว

หลังจากลัดเลาะไปรอบวังหลวงครบหนึ่งบรรจบ นางก็ยังไม่พบขันทีคนดังกล่าวที่มอบกล่องบรรจุเห็ดหลินจือมรกตในตอนนั้นให้ ลอบเร้นบุกมาในคราวนี้ นางตั้งใจจะจับขันทีมาเค้นคำตอบให้ได้ว่า มือสุดท้ายที่จับกล่องเห็ดหลินจือมรกตก่อนจะถึงมือนางมันคือใครผู้ใด ดั่งคำกล่าวที่ว่า รีบตีเหล็กขณะที่ยังร้อน อันที่จริงแล้ว เซียถงตั้งใจจะเสาะหาคนร้ายตัวจริงให้พบตั้งแต่ช่วงแรกที่เกิดเรื่องแล้ว แต่ใครจะไปคิดว่า ระหว่างนั้นกลับก่อเกิดปัญหามากมายหลายหลาก กว่าจะมีเวลาว่างมาอย่างในปัจจุบัน เกรงว่าคนร้ายคงเสาะพบโอกาสหายตัวไปในกลีบเมฆแล้ว ซึ่งเรื่องนี้ยิ่งคิดเซียถงยิ่งรู้สึกหงุดหงิดใจเสียเหลือเกิน

แต่ก็ใช่ว่าภายในใจของนางจะไม่มีข้อสันนิษฐานอะไรเลย คนที่ดูมีแนวโน้มน่าสงสัยที่สุดก็คงหนีไม่พ้น อัครมหาเสนาบดี เย่หลีเทียน มีเพียงบุคคลนี้ที่มีความแค้นต่อตนและสามารถเข้าออกไปทั่ววังหลวงได้อย่างอิสรเสรี

เซียถงถึงกับหรี่ตาแคบทุกครั้งที่นึกถึงสายตาอันเลือดเย็นของเย่หลีเทียน เพราะสายตาคู่นั้นของมันเปรียบเสมือนอสรพิษร้ายที่ซุ่มซ่อนรอลอบสังหารเหยื่อจากเงามืด

อย่างไรก็ตาม ตัวเซียถงไม่มีเส้นสายหรือความสัมพันธ์ใดๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับคนในวังหลวงเลย สงสัยเรื่องนี้เกรงว่าจะต้องให้เซี่ยหลู่เฟิงช่วยเหลืออีกแรง อีกฝ่ายเป็นคนในวังหลวงย่อมมีเส้นสายหรือความสัมพันธ์กับคนอื่นๆ ในวังบ้างไม่มากก็น้อย บางทีอาจจะทำให้นางเคลื่อนไหวสะดวกยิ่งขึ้นด้วย คล้อยหลังคิดได้ดังนั้น เซียถงจึงออกจากวังหลวงและกลับไปยังสถานศึกษาเซิงหลิง

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น

เซียถงนั่งยกมือเท้าคางรอฉีหมิงเยว่อยู่ในโรงอาหาร ตรงหน้ามีข้าวต้มสองชาม มาคู่กับซาลาเปาอีกสองลูก ช่วงครึ่งเดือนที่ผ่านมา นางนัดทานอาหารเช้าร่วมกับฉีหมิงเยว่ทุกวัน ระยะนี้ทั้งสองฝ่ายต่างใช้ชีวิตกันอย่างปกติสุข ปราศจากปัญหาใดติดขัด ดัวนั้นทั้งคู่ก็มักจะเดินทางมาถึงโรงอาหารแทบจะพร้อมกันทุกวัน

แต่วันนั้นกลับแตกต่างออกไป เซียถงนั่งรอแล้วรอเล่าเป็นเวลาเนิ่นนาน แต่ก็ยังไม่เห็นฉีหมิงเยว่มาเสียที เหม่อมองดูชามข้าวต้มอละซาลาเปาที่ค่อยๆ เย็นชืดลงต่อหน้าต่อตา ยามนี้ชักจะเริ่มไม่สบายใจขึ้นมา เพราะจะอย่างไร เซียถงก็รู้จักฉีหมิงเยว่ค่อนข้างดี นางไม่เคยมาสายเลยสักครั้งตั้งแต่นัดกันมา ทว่าวันนี้กลับไม่เห็นแม้กระทั่งวี่แวว หรือเป็นไปได้ไหมว่าจะมีบางอย่างผิดปกติ?

หลังจากเฝ้ารออีกสักพักใหญ่ เซียถงก็ลุกขึ้นจากโรงอาหารและเดินทางไปที่ห้องพักของฉีหมิงเยว่ เคาะประตูก็หลายครั้งแล้วกลับไม่มีเสียงตอบรับใดๆ จากภายใน พอพยายามจะเปิดประตูกลับถูกใส่กุญแจเอาไว้ หากฉีหมิงเยว่ไม่อยู่ที่นี่ แสดงว่านางน่าจะออกไปหาย่าเฟิงคนนั้น?

สังหรณ์ใจชักจะไม่ค่อยดีแล้ว เซียถงจึงเรียกอิ๋งเอ๋อร์ให้ช่วยกันออกไปตามหาฉีหมิงเยว่รอบสถานศึกษา ทั้งส่วนในและนอกทั้งหมด นี่ก็ปาไปเที่ยงวันแล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครเห็นฉีหมิงเยว่เลย

“คุณหนู หรือคุณหนูฉีจะออกนอกสถานศึกษาไปแล้ว? บ่าวค้นไปทั่วแล้ว แต่ก็ไม่เห็นนางแม้กระทั่งเงา”

อิ๋งเอ๋อร์ยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผากดูเหน็ดเหนื่อยมิใช่น้อย พื้นที่ของสถานศึกษาแห่งนี้มิใช่ว่าจะเล็กๆ ในทางตรงข้ามกลับมีอาณาบริเวณกว้างใหญ่ไพศาล นางที่วิ่งออกตามหาตลอดช่วงเช้าลากยาวมาถึงเที่ยง ย่อมรู้สึกเหนื่อยเป็นธรรมดา

“อิ๋งเอ๋อร์ เจ้ากลับไปพักผ่อนที่ห้องก่อนเถอะ ขอบใจมาก”

หากฉีหมิงเยว่มิได้อยู่ในสถานศึกษา ก็มีโอกาสเป็นไปได้สูงว่า นางจะออกเดินทางไปพบย่าเฟิง ดังนั้นคงทำได้แค่เฝ้ารอให้อีกฝ่ายกลับมาเองเท่านั้น นี่คือสิ่งที่เซียถงคิดเอาไว้

ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง

ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง

Status: Ongoing
อดีตนักฆ่าสาวอันดับหนึ่ง ผู้มีใจคอโหดเหี้ยมอำมหิต ได้ทะลุมิติอยู่ในร่างสาวน้อยโฉมหน้าอัปลักษณ์ ที่ทุกคนต่างสาปส่งและรังแกสารพัด!เธอคือนักฆ่ามือวางอันดับหนึ่งแห่งยุค2018 แต่กลับถูกคนที่รักและไว้ใจที่สุดซ้อนแผนและสังหารเธอทิ้งในระหว่างภารกิจหนึ่ง ส่งผลให้วิญญาณของเธอทะลุมิติไปยังโลกอื่น! ซึ่งนางคนนี้เป็นคุณหนูสายตรงแห่งจวนเสนาบดี ใบหน้าช่างอัปลักษณ์น่าเกลียด ทว่ากลับมีพรสวรรค์ในด้านการบ่มเพาะพลังที่น่าทึ่ง!ในท้ายที่สุดนางได้เสียชีวิตลงเพื่อช่วยชีวิตชายที่นางรักสุดหัวใจ และนั่นเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่วิญญาณนักฆ่าสาวสลับเข้าร่าง เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ความงดงามดั่งบุปผาซ่อนพิษซึ่งเป็นจุดเด่นของเธอได้หายไป! โลกทั้งใบที่เคยรู้จักกลับไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว! ใบหน้าอัปลักษณ์? จุดตันเถียนถูกทำลายจนกลายมาเป็นสตรีพิการบ่มเพาะพลังไม่ได้? เจ้าของร่างเก่าถูกสังหารทิ้งโดยไม่มีผู้ใดไยดี? แต่ไม่เป็นไร ทั้งทักษะการฆ่าและจิตใจของเธออันไร้เมตตายังคงอยู่ เรื่องทั้งหมดเป็นแผนการของแม่เลี้ยงกับบุตรสาวของฮูหยินรอง? ได้! ได้เลย! ทุกคนไม่ว่าใครหน้าไหนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับแผนการนี้ จะไม่มีผู้ใดสามารถหนีรอดไปได้แน่แท้! ควบคุมหมื่นอสูร หลอมกลั่นโอสถ ตียุทธ์ภัณฑ์สร้างสิ่งประดิษฐ์ แม้แต่สวรรค์ยังต้องก้มกราบข้า!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท