ตอนที่133 อสรพิษมหึมา (1)
ทันทีที่เงยหน้าขึ้น นางก็เห็นหลิวซูกำลังนั่งแกว่งขาห้อยลงมาจากกิ่งก้านต้นไม้ยักษ์ หลับตาเล็กน้อยเป่าใบไม้สีเขียวเรียบในมือ เพียงริมฝีปากแตะสัมผัสตัวใบ ก็มีเสียงเป่าคล้ายขลุ่ยเล็ดลอดออกมาจากช่องว่างเล็กๆ ผ่านริมปากดังกล่าว
“หลิวซู นี่เจ้ากำลังทำอะไรอยู่? มีอะไรอยู่ที่นี่กันแน่?”
เซียถงเงยหน้าแช่มเอ่ยถามเสียงลือลั่น
หลิวซูลืมตาตื่นขึ้นในทันใด เคลื่อนสายตากดต่ำจับจ้องไปที่เซียถงพร้อมรอยยิ้มบางประดับ เผยเงาประกายส่องแสงแพรวพราวจากนัยน์ตาสีแดงทับทิมสวย ทวงทำนองเสียงขลุ่ยยังคงฟังดูน่าหดหู่เศร้าหมองดังขึ้นผ่ารืมฝีปาก
ความหวาดกลัวภายในใจของเซียถงมิได้ลดลงเลยสักนิด ทั้งที่รู้แล้วว่าต้นเหตุทั้งหมดมาจากตัวหลิวซู ในทางตรงข้าม ทั้งความวิตกกังวลและความกลัวกลับพรั่งพรูถาโถมเข้าสู่จิตใจของนางมากขึ้นเรื่อยๆ ดูเหมือนว่า สาเหตุที่แท้จริงจะมาจากเสียงเป่าขลุ่ยใบไม้ของนาง เซียถงฟัดฟันแน่น ระดมพลังลมปราณหนึ่งส่วนควบแน่นผนึกลงบนสองฝ่าเท้า และเริ่มปีนป่ายขึ้นไปหาหลิวซูอย่างว่องไว
แต่ทันทีที่คู่เท้าของนางลอยขึ้นจากพื้น ก็บังเกิดแรงสั่นสะท้อนรุนแรงขึ้นจากภาคพื้นเสมือนแผ่นดินไหว ทั่วทั้งป่าสั่นสะเทือนรุนแรง พื้นที่บางแห่งยกตัวขึ้นสูงขึ้นฉับพลัน และก็มีพื้นที่บางส่วนทรุดตัวลงอย่างรวดเร็ว ราวกับว่ากำลังจะมีบางสิ่งบางอย่างโผล่ขึ้นมาจากใต้ดิน พริบตาต่อมา พื้นดินใต้ร่างเซียถงที่กำลังปีนป่ายเกิดสภาวะยุบตัวฉับพลันเป็นหลุมลึกขนาดมหึมา เศษดินเศษฝุ่นคลุกฟุ้งกระจายไปทั่วอากาศ
เซียถงตั้งหน้าตั้งตารีบปีนป่ายขึ้นต้นไม้โดยไว แต่ทันใดนั้น นางก็รู้สึกว่าต้นไม้ที่กำลังปีนอยู่ค่อยๆ หดตัวทรุดลงคล้ายกับกำลังถูกพื้นดินกลืนกินทั้งลำลงไป ด้วยความสงสัยจัด นางจึงเหลียวหลังหันมามอง สิ่งแรกที่เห็นคือ ปากที่ฉีกกว้างขนาดใหญ่ยักษ์สีแดงฉานประดุจบ่อโลหิตยักษ์ที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวฉุน หากนางเผลอพลัดตกลงไปในปากที่อยู่ใต้ล่าง มีหวังถูกกินทั้งเป็นแน่นอน
เซียถงใช้ประโยชน์จากคลื่นพลังลมปราณที่ควบแน่อยู่บนฝ่าเท้าทั้งสอง ออกแรงส่งดีดตัวเอง กระโดดหนีไปยังต้นไม้อีกต้นที่อยู่เคียงข้าง ร่างเรียวบางของหญิงสาวพวยพุ่งออกไปจากต้นสู่ต้น เสมือนศรธนูที่พวยพุ่งออกไป
ต้นไม้ยักษ์หักโค่นถล่มลงมา อสรพิษร่างมหึมาสีครามเขียวค่อยๆ เชิดศีรษะทรงสามเหลี่ยมขึ้นมองแช่ม ดวงเนตรกลมโตสีมรกตประกายจ้องเขม็งไปที่เงาร่างอรชรของหญิงสาวที่กระโดดข้ามไปมาอยู่กลางเวหา หากเทียบกับขนาดตัวของมันแล้ว ดูเหมือนว่าตัวเซียถงไม่ต่างอะไรกับเม็ดฝุ่นเลย
หลิวซูกระโดดขึ้นไปยืนอยู่บนศีรษะของอสรพิษมหึมาตนนั้น กวาดสายตาติดตามมองเซียถง เจือผสมแววรังเกียจสบประมาทสะท้อนผ่านสายตา ภายในหัวคิดเพียงว่า อาจหาญต่อกรกับจิตวิญญาณแห่งกระบี่ทัณฑ์ฟ้า โดยอาศัยเพียงเศษเสี้ยวพลังเท่านี้ นับว่าติดพันความตายอย่างแท้จริง เขายกขลุ่ยใบไม้ขึ้นประกบริมฝีปากอีกครา เสียงขลุ่ยห้วงทำนองแปลกประหลาดเล็ดลอดเปล่งดังออกมาอีกคราว
คล้อยหลังได้ยินห้วงทำนองจากเสียงขลุ่ยดังกล่าว คู่สายตาอสรพิษที่ดูสงบเสงี่ยมเริ่มฉายแววดุร้าย นัยน์ตาเรียวยาวตั้งตรงตีบเล็ก ฉายรัศมีจิตสังหารโฉบวาบ ลำตัวยาวใหญ่สั่นเทิ่มเล็กน้อย เข้าตวัดหางสีครามเขียวมหึมาปิดแผ่นฟ้า กวาดไปทางเซียถงทันที
เซียถงกระโดดข้ามผ่านต้นไม้ ต้นแล้วต้นเล่า จู่ๆ คล้ายมีเศษหินดินทรายพัดกระโชกเข้าใส่ ทันทีทันใด แลเห็นเงามืดขนาดมหึมาบดบังแสงตะวันสอดส่องอันน้อยนิดตรงหน้านาง พอแหงนศีรษะมองขึ้นสูง ก็พบว่าเป็นหางอสรพิษขนาดใหญ่ยักษ์เกินพรรณนา หวดลงมาทับใส่นางโดยตรง หางที่ว่านั้นหนามาก และยังหนาเสียยิ่งกว่าหางของงูในป่าก่อนหน้าที่เจอนับพันหมื่นตัวมามัดรวมกัน!
เซียถงพยายามหาที่กำบังซ่อนตัว แต่เนื่องด้วยหางอสรพิษมหึมาเหวี่ยงสะบัดอย่างบ้าคลั่งไม่มีหยุด จึงก่อให้เกิดเกลียวคลื่นพายุรุนแรง พัดร่างบางของนางกวัดแกว่งไปมากระทั่งจะทรงตัวให้มั่นคงยังเป็นเรื่องยาก จนท้ายที่สุดนางไม่สามารถหลบหนีไปไหนได้อีก พอเห็นว่าเหยื่อจนมุม หางอสรพิษมหึมาพลันเข้าตวัดโอบรัดรอบตัวนางในบัดดล
หางอสรพิษเคลื่อนบิดเกลียวกอดรัดร่างของเซียถงแน่นขึ้นอย่างต่อเนื่อง กระดูกทั่วร่างกายาของนางส่งเสียงดังลั่นเปรี๊ยะปร๊ะแทบแตกเป็นเสี่ยง ถูกพละกำลังมหาศาลของหางอสรพิษร้ายเข้าบีบเคล้นอย่างหนัก โฉมหน้าอันงดงามของนางกลายเป็นสีซีดเผือด ปราศจากเลือดหล่อเลี้ยง เนื่องด้วยความเจ็บปวดอย่างที่สุดเจียนสิ้นสติ
นางกัดฟันกรอด ระดมขุมพลังแห่งขอบเขตเสาหลักฟ้าทั้งหมดที่เหลือเข้าควบแน่นผนึกทั่วกายา เพื่อปกป้องอวัยวะภายในร่างกายของนาง สร้างเป็นปราการป้องกันหนาแน่น มือข้างขวาถือมีดสั้นพยายามกระหน่ำแทงใส่หางอสรพิษไม่หยุดมือ
แต่เกล็ดหนาสีครามสะท้อนเขียวที่เรียงรายบนหางของอสรพิษตนนี้ช่างทนทานและแข็งแกร่งผิดวิสัย คมมีดในมือเซียถงไม่สามารถฝากฝังร่องรอยใดๆ ไว้บนนั้นได้เลย เมื่อเห็นว่ามีดสั้นดังกล่าวไม่สามารถเจาะเกล็ดหนาของมันเข้า เซียถงจึงเปลี่ยนวิธี ใช้ปลายแหลมของมีดสั้น เสียบแทรกเข้าไปในช่องว่างรอยต่อระหว่างเกล็ดและออกแรงงัดด้วยสองมือ หวังฉีกเกล็ดให้หลุดจากผิวหนังของมันและค่อยกระหน่ำแทงอีกที
ทว่ายิ่งทำแบบนั้น หางอสรพิษร้ายก็ยิ่งรัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ เซียถงเริ่มได้ยินเสียงกระดูกทั่วร่างส่งเสียงลั่น ปราการป้องกันอวัยวะภายในที่ถูกห่อหุ้มด้วยลมปราณเริ่มก่อเกิดรอยแตกร้าว จังหวะหายใจของนางเริ่มติดขัดลำบากมากขึ้น หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป สงสัยว่านางคงถูกอสรพิษมหึมาตนนี้โอบรัดจนตายทั้งเป็นแน่นอน
แหงนศีรษะขึ้นไปยังหัวอสรพิษขนาดใหญ่ทรงสามเหลี่ยม และเห็นดวงตากลมโตคล้ายมณีสีมรกตทั้งสองข้างทอแสงแพรวพราวที่ฝังลึกดังนั้น เซียถงนึกอะไรขึ้นได้ทันที วางแผนเตรียมจะยิงมีดสั้นเล่มนี้เสียบทำลายดวงตาของมัน หวังใช้จังหวะชุลมุนต่อจากนี้ หลบหนีออกไป
คิดได้เสร็จสรรพ หยิบใช้ทุกสิ่งอย่างที่เหลืออยู่ในร่างกาย กรอกเทไปยังมือข้างขวาที่ถือมีดสั้น ชั่วอึดใจ คมสั้นบินถูกยิงผงาดง้ำสวนขึ้นไปในทันใด
คมมีดส่องแสงประกายเย็นเฉียบ ถูกยิงออกไปด้วยความเร็วประดุจสายฟ้า ชั่วพริบตาขณะ คมมีดลุถึงตรงหน้าของอสรพิษแล้ว แต่ทันใดนั้นกลับมีลิ้นยาวสีแดงสดตวัดม้วนรับเอาไว้ทัน จากนั้นมันก็กลืนมีดสั้นลงคอทั้งแบบนั้น การลอบโจมตีในครั้งนี้ของเซียถงมิสามารถทำอันตรายแก่อสรพิษมหึมาได้ไม่พอ แต่นี่ยิ่งไปกระตุ้นโทสะความดุร้ายภายในใจของมันเป็นเท่าตัว เรียวปากฉีกกว้างอ้าออกดั่งบ่อโลหิตสยอง หางของมันโบกสะบัดชักกลับเข้าตัว ร่างของเซียถงถูกม้วนตลบถูกส่งเข้าปากของมันโดยตรง
ทั้งกลิ่นคาวเลือดและกลิ่นเน่าเหม็นภายในปากของอสรพิษมหึมารุนแรงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ แลเห็นคมเขี้ยวแหลมขนาดใหญ่ใกล้ขึ้นและใกล้มากขึ้น เซียถงใจหายวาบ เผยสีหน้าแสดงความหวาดหวั่นออกมาสุดขีด
คราวนี้นางต้องตายอีกแล้วงั้นรึ?
ไม่! ไม่! ข้ายังไม่อยากตายเช่นนี้! เซียถงพยายามดิ้นรนต่อสู้กับแรงบีดรัดของหางอสรพิษอย่างแรง ในขณะเดียวกัน กลิ่นปากอันเน่าเหม็นของมันก็ยิ่งส่งความฉุนรุนแรงมากขึ้นต่อเนื่อง ทั้งยังมีของเหลวสีเหลืองเหนียวหนืด ไหลหยดลงมาจากคมเขี้ยวแหลม ลิ้นยาวสีแดงเข้มปลายสองแฉกตวัดไปมาอยู่ภายในปากอย่างซุกซน
อีกเพียงนิดเดียวเท่านั้น ร่างของเซียถงก็จะถูกส่งเข้าปากของอสรพิษมหึมาโดยสมบูรณ์ สิ่งแรกที่มันส่งมาหานางก็คือ ปลายลิ้นสองแฉกสีแดงเข้ม ตวัดเข้าใกล้ขึ้นจนอยู่ต่อหน้าต่อตา ตัวเซียถงตกสู่สภาวะตะลึงงัน มือไม้เย็นเฉียบไปชั่วขณะ ห้วงจิตใจและความคิดทั้งหมดขาวโพล่น กลายมาเป็นความว่างเปล่า
“ชวิ้งง!”
ทันใดนั้นเอง เสียงตัดผ่านเนื้อหนังดังขึ้นฉับ แลเห็นประกายแสงสีเงินสาดสะท้อนออกมาจากคมกระบี่บนฟากฟ้า สับลิ้นอสรพิษสีแดงเข้มขาดสะบั้นเป็นสองส่วน คมกระบี่ประกายเงินเบี่ยงทิศทางอีกครั้ง และคราวนี้ บริเวณหางอสรพิษที่โอบรัดร่างของเซียถงพลันถูกตัดนับร้อยพันเส้นแสง ขาดเละเป็นเศษชิ้นเนื้อนับไม่ถ้วน ในขณะเดียวกัน นางก็ถูกใครบางคนคว้าข้อแขนบินทะยานออกไปพร้อมกัน
ตามสัญชาตญาณเอาตัวรอก นางใช้มือทั้งสองข้างกุมจับมือของอีกฝ่ายไว้แน่น เงยหน้ามองเบื้องหน้า สิ่งแรกที่นางเห็นก็คือ ใบหน้าอันหล่อเหลาเกินบุรุษชายใดจะเทียบเคียง ชายผู้นั้นมีนัยน์ตาสีดำขลับและแกร่งกร้าวราวกับพญาเสือโคร่ง เผยแสดงออกมาถึงความหยิ่งผยองในศักดิ์ศรีและความหาญกล้า ยิ่งผนวกควบคู่กับ รัศมีแรงกดดันอันเย็นเยียบที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างกายของเขาในตอนนี้ ยิ่งดูน่าอัศจรรย์ใจเข้าไปใหญ่ กระทั่งอสรพิษมหึมาตนนั้นที่ลอบส่งสายตาสบมอง ยังเผลอไผล่หดหัวด้วยความหวาดกลัวโดยมิทันรู้ตัว
ชายผู้นั้นละสายตาออกจากอสรพิษมหึมา หันไปหาเซียถง ทันทีทันใดสองคู่สายตาพลันสบถึงกันและกัน แววความเย็นชาและเฉยชาที่คลุมเคลือบอยู่บนใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาก่อนหน้า ราวกับถูกแสงตะวันหล่อละลายธารน้ำแข็งจนหมดสิ้น เหลือไว้แค่เพียงรอยยิ้มที่แสนอบอุ่นปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
รอยยิ้มนี้ช่างงดงามเจิดจรัส สามารถฟื้นคืนจิตใจที่มัวหมองของผู้คนให้กลับมาสดใสได้อีกครั้ง เซียถงรู้สึกดั่งว่า ตนได้เห็นดวงตะวันยามเช้าตรู่ของวันใหม่ที่แสนสดใส สร้างความจรรโลงใจแก่หัวใจดวงนี้ของนางอย่างบอกไม่ถูก เสื้อคลุมสีครามพลิ้วไสวไปตามสายลม เขากำลังร่อนเหาะเหินอยู่กลางเวหา ปรากฏแสงตะวันเล็ดลอดลงมาตกใส่บนร่าง ประดุจเทพเซียนผู้แสนหล่อเหลาจุติลงมาโปรดสู่มวลมนุษย์ก็มิปาน