ตอนที่182 ไถ่ถอนตัว (2)
สภาพร่างกายของย่าเฟิงในเวลานี้นับว่าน่าสยดสยองไม่ใช่น้อย มิใช่เพราะเนื้อหนังที่ขาดรุ่ย กระทั่งเล็บมือเล็บเท้ายังถูกงัดเลาะออกไปจนเหลือเพียงเนื้อสดสีแดงและคาบเลือดที่แห้งแล้ว ทั่วทั้งตัวเต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์สารพัด
“องค์หญิงโปรดอย่าร้องไห้ เราหญิงชรายังสบายดี อาการบาดเจ็บนับว่าไม่ได้เป็นอะไรเลย”
ริมฝีปากแห้งกราดปริเปิด ย่าเฟิงกล่าวปลอบขวัญฉีหมิงเยว่ และในเวลาเดียวกัน เมื่อเงยหน้าลืมตาดู นางก็เห็นเซี่ยหลู่เฟิงที่กำลังเดินลุยกองถ่านหินร้อนระอุที่กำลังลุกโชติช่วง ทีแรกสีหน้าการแสดงออกของนางดูประหลาดใจยิ่งยวด แววตาที่จับจ้องมากล้นความชื่นชม ทั้งยังรู้สึกให้เกียรติอยู่ลึกๆ ผ่านไปสัดครู่ ย่าเฟิงก็ค่อยๆหลับตาลงพลางถอนหายใจกับตนเองอย่างลับๆน็น้้h
“เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว เจ้าหนู หากเจ้าช่วยองค์หญิงของข้าให้ปลอดภัยได้ เห็นแก่ความอุตสาหะของเจ้า ข้าจะยอมให้เจ้าอภิเษกสมรสกับองค์หญิง!”
ย่าเฟิงคลี่ยิ้มอ่อนส่งมอบให้แก่เซี่ยหลู่เฟิง
ทั้งเซี่ยหลู่เฟิง ทั้งฉีหมิงเยว่ต่างสะดุ้งตกใจโดยพลัน หันขวับจับจ้องไปที่ย่าเฟิงโดยพร้อมเพรียง
“ย่าเฟิง!”
ฉีหมิงเยว่กรนร้องเสียงต่ำ เจือสีหน้าตื่นตระหนก
“องค์หญิง มิใช่ว่าท่านเองก็มีใจให้เขาหรอกรึ? เป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่งสำหรับใครสักคนที่สามารถทุ่มเทเพื่อคนที่รักได้ขนาดนี้ หากท่านได้ครองคู่กับเขา เราหญิงชราเองก็ตายตาหลับแล้วเช่นกัน”
ย่าเฟิงมองหน้าฉีหมิงเยว่และเอ่ยกล่าวออกมาประโยคหนึ่ง จากนั้นนางก็หันศีรษะกล่าวกับเซี่ยหลู่เฟิงต่อทันที
“เจ้าหนูเซี่ย เจ้ายินดีหรือไม่ที่จะครองคู่กับองค์หญิง?”
แต่เสมือนบทพูดก่อนหน้านี้ทำให้สติสตางค์ของเซี่ยหลู่เฟิงหลุดลอยไปเสียแล้ว ยามนี้ได้แต่จับจ้องไปที่ฉีหมิงเยว่อย่างว่างเปล่า ลืมความเจ็บปวดจากถ่านหินร้อนระอุที่แผดผลาญคู่ฝ่าเท้าไปชั่วขณะ
“เจ้าไม่ยินดีงั้นรึ? เจ้าหนู องค์หญิงของข้าทั้งงดงามและใจดี มีหรือจะไม่คู่ควรกับตัวเจ้า?!”
เมื่อเห็นว่าเซี่ยหลู่เฟิงเงียบนิ่งไม่เอ่ยตอบ ย่าเฟิงก็ชักหงุดหงิดขึ้นมาทันใด
ต่อหน้าภาพฉากที่เซี่ยหลู่เฟิงเงียบนิ่งไม่ปริปากตอบใดๆ ฉีหมิงเยว่ก็ถึงกับใจเสีย ครุ่นคิดกับตัวเองไปว่า หรืออีกฝ่ายจะไม่เต็มใจแต่งงานกับนาง? นึกได้ดังนั้นก็เผยแสดงสีหน้าผิดหวังออกมาหนึ่งส่วน กัดจิกริมฝีปากอวบอิ่มสีอมชมพูดแน่นหนา ก้มหัวก้มตาอย่างเศร้าหมอง
“ข้า…ข้าเต็มใจ! รู้สึกยินดีอย่างยิ่ง!”
เมื่อเห็นสีหน้าการแสดงออกของฉีหมิงเยว่ที่พลันเศร้าโศก เซี่ยหลู่เฟิงก็ได้สติฟื้นคืนจากภวังค์และคำรามสุดเสียงกล่าวตอบรับด้วยใจจริง
ทันทีที่ประโยคคำกล่าวเหล่านี้แผดดังออกมา ฉีหมิงเยว่ก็รีบเงยหน้าขึ้นทันควัน ประกายดวงตาสว่างไสวเกินหักห้าม รอยยิ้มสีจางผุดขึ้นจากมุมปากที่เปื้อนคราบเลือด ในทันทีทันใด ประหนึ่งว่ามีบุปผานับร้อยพันผลิบานขึ้นบนใบหน้าอันงดงามของนาง
ได้เชยชมความงดงามตรงหน้า เซี่ยหลู่เฟิงรู้สึกได้ถึงขุมพลังจำนวนนับไม่ถ้วนที่หลั่งไหลเข้าสู้ร่างกายจนเปี่ยมล้น เขาเงยหน้าจับจ้องไปที่ย่าเฟิง ตะโกนเสียงดังลั่นว่า
“ท่านอาวุโส ขอบพระคุณอย่างยิ่งที่อนุญาติให้ข้าครองคู่กับองค์หญิง!”
หลังจากพูดจบ เขาก็เร่งฝีเท้าเดินตรงไปหาฉีหมิงเยว่ทีละก้าวย่าง โดยหาได้สนใจคมมีดและถ่านหินร้อนระอุตามทางอีกต่อไป
ย่าเฟิงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ รอยยิ้มปลื้มปีติปรากฏขึ้นบนใบหน้าอันเหี่ยวแห้งของนาง
“ช่างเป็นภาพฉากที่น่าประทับใจนัก”
ไป๋หลี่เย่เหลือบสายตามองไปที่ฉีหมิงเยว่อยู่ปราดหนึ่ง ตัดสลับกับเซี่ยหลู่เฟิง ก่อนที่ท้ายสุดสายตาคู่นั้นจะเคลื่อนลงมาหยุดลงที่ย่าเฟิง ทันทีทันใดรอยยิ้มอันชั่วร้ายพลันแสยะฉีกกว้างบนมุมปาก เขากล่าวว่า
“ย่าเฟิง เป็นเวลาสามปีแล้วกระมัง? เคยย้อนกลับไปคิดบ้างหรือเปล่าว่า เพราะเหตุใดกันจักรวรรดิหรู่หรานของเจ้าถึงถูกตีแตกง่ายดายปานนั้น?”
เมื่อได้ยินดังนั้น เซี่ยหลู่เฟิงถึงกับเสียศูนย์ไปชั่วขระ ร่างกายาแกว่งเขวไปมาเจียนล้มลง และฝีเท้าของเขาก็เริ่มกลับมาช้าลงอีกครั้ง
“เหตุผลที่จักรวรรดิหรู่หรานอันยิ่งใหญ่ถูกขุมอำนาจเล็กๆในแดนตะวันตกตีแตกไปได้อย่างง่ายดาย ทั้งหมดเป็นเพราะมีคนลอบวางยาพิษลงในบ่อน้ำพระราชวังพฤกษาศักดิ์สิทธิ์ของพวกเจ้า มิฉะนั้นมีหรือที่จักรวรรดิหรู่หรรานที่โดดเด่นด้านกำลังรบการทหารจะถูกตีแตกไวปานนี้?”
เมื่อไป๋หลี่เย่ย้อนความถึงเหตุการณ์ในวันนั้นที่จักรวรรดิหรู่หรานถูกโค่นล้มได้อย่างง่ายดาย สีหน้าการแสดงออกของย่าเฟิงพลันแปรเปลี่ยนเป็นความเกลียดชังในทันใด
“แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่า ใครกันที่วางยาพิษลงในบ่อน้ำพระราชวังพฤกษาศักดิ์สิทธิ์?”
ไป๋หลี่เย่เอ่ยถามขึ้นอีกครา ถึงแม้ว่าคำถามนี้จะเป็นสำหรับย่าเฟิง ทว่าสายตาคู่นั้นกลับเคลื่อนมาจับจ้องไปทางฉีหมิงเยว่คล้ายมีนัยแอบแฝง
ภายใต้สายตาที่จับจ้องของไป๋หลี่เย่ ตัวฉีหมิงเยว่รู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่งภายในใจ แววตื่นตระหนกระลอกหนึ่งสั่นไสวเผยออกมาจากดวงตาของนาง
ย่าเฟิงถึงกับตาโปนแทบถล่นออกมา จับจ้องไปที่ไป๋หลี่เย่พร้อมดวงตาสีแดงก่ำเปี่ยมล้นแรงอาฆาต ก่นเสียงอำมหิตถามไปทันทีว่า
“มันเป็นใครกัน? อย่าให้ข้ารู้ว่าใครกันที่ลอบวางยาพิษลงในบ่อน้ำพระราชวัง! มิฉะนั้นข้าจะทรมานมันด้วยคมมีดนับพันหมื่นเล่ม!”
“ยังเป็นใครอื่นได้อีก? ก็สุดที่รักขององค์หญิงไงล่ะ!”
ไป๋หลี่เย่ยกมือขึ้นชี้หน้าไปทางเซี่ยหลู่เฟิงโดยตรง
ทั้งฉีหมิงเยว่และย่าเฟิงถึงกับหน้าถอดสีในทันใด กวาดสายตาจับจ้องไปที่เซี่ยหลู่เฟิงโดยพร้อมเพรียง ในขณะที่เซี่ยหลู่เฟิงในขณะนี้เดินมาถึงปลายสุดของเส้นทางทะเลเพลิงถ่านหินมาได้แล้ว และกำลังย่างเหยียบอยู่บนพื้นดินราบปกติ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด สีหน้าการแสดงออกของเขาในขณะนี้กลับดูทรมานเสียยิ่งกว่าตอนที่ยืนอยู่บนเส้นทางทะเลเพลิงถ่านหินเสียอีก เนื้อตัวทั่วทั้งร่างก็เอาแต่สั่นเทาไม่หยุดหย่อน ไม่รู้เลยว่าจะเสียศูนย์ล้มลงเมื่อใด
“เจ้า…เจ้าเป็นอะไรไป? หากไม่ใช่ความจริงก็รีบปฏิเสธไปสิ!!”
ครั้งนี้กลับเป็นฉีหมิงเยว่ที่ตะโกนเสียงดังลั่นใส่ทางเซี่ยหลู่เฟิงด้วยความวิตก ในขณะที่ย่าเฟิงหรี่ตาแคบจับจ้องไม่ลดละโดยไม่รู้เลยว่า หญิงชรานางนี้กำลังคิดอะไรอยู่
เซี่ยหลู่เฟิงยังคงยืนนิ่งอยู่ต่อหน้าฉีหมิงเยว่ เหม่อมองนางอย่างว่างเปล่า หลายหลากอารมณ์นับไม่ถ้วนถาโถมเข้าใส่พร้อมเพรียงจนสีหน้าออกอย่างชัดเจน
“ตอนนั้น…เจ้าเป็นคนลอบวางยาพิษลงในบ่อน้ำของพระราชวังจริงๆงั้นรึ?”
ย่าเฟิงจ้องเซี่ยหลู่เฟิงตาเขม็ง เอ่ยถามน้ำเสียงเรียบฉาบไอเย็นยะเยือกแผ่ซ่าน หากย้อนกลับไป ภายใจลึกๆของนางเองก็ยังรู้สึกสงสัยไม่คลายใจเช่นกันว่า ไฉนจักรวรรดิหรู่หรานของตนที่โดดเด่นเรื่องกำลังการรบ ถึงพ่ายแพ้ให้แก่กลุ่มอำนาจขนาดเล็กจากดินแดนตะวันตกได้อย่างง่ายดายปานนี้?
เมื่อได้ยินคำถามของย่าเฟิง ฉีหมิงเยว่ก็พลันใจหายวาบตกลงไปยังตาตุ่ม ได้แต่มองหน้าเซี่ยหลู่เฟิงด้วยความไม่อยากจะเชื่อ กลัวเหลือเกินว่า ชายที่นางรักจะเอ่ยปากยอมรับออกมา
ทว่ากลับไม่ได้ยินเสียงพูด เห็นเพียงศีรษะของเขาที่พยักหน้าลงมาเบาๆ
“ใช่เจ้าจริงๆงั้นรึ?”
เมื่อเห็นเซี่ยหลู่เฟิงพยักหน้า ดวงตาของย่าเฟิงก็เบิกโพลงกว้างกว่าเก่า รัศมีจิตสังหารอันข้นคลั่กสุดแสนระเบิดออกมาจากร่างในทันใด
เซี่ยหลู่เฟิงยังคงไม่ตอบ เพียงแต่จับจ้องไปที่ฉีหมิงเยว่อย่างว่างเปล่า ทางด้านฉีหมิงเยว่เองก็สบสายตาของเขาตอบกลับอย่างว่างเปล่าเช่นกัน สองคู่ตาสบมองกันเป็นเวลาเนิ่นนาน
จนท้ายที่สุดนี้ ก็มีธารน้ำตาสีใสบริสุทธิ์สองสายรินไหลออกมาอาบชโลมบนแก้ม ฉีหมิงเยว่ร้องไห้ออกมาอย่างเงียบงัน พร้อมกับหัวใจดวงนี้ที่ดิ่งลงสู่หุบเหวมืดทมิฬอันไร้ก้นบึ้ง