ตอนที่197 ความสงสัย (1)
“หากท่าน้องการโอสถเช่นนั้นมาขอกับข้าก็ได้”
ร่างชุดดำชักมือกลับ และพพริบตาต่อมาก็เหินทะยานขึ้นบนหลังคาหายวับไป
“นี่เจ้ากล้าดียังไงมาบุกรุกวังในยามวิกาล! ตายซะ!”
ไป๋หลี่อวี๋อิงโกรธจัดคำรามเสียงดังลั่น พร้อมหวดแส้ยาวสีดำในมือพุ่งเข้าโจมตีดังเงาติดตาม
ทว่าร่างชุดดำคนนั้นสามารถเลี่ยงหลบแส้ยาวสีดำของไป๋หลี่อวี๋อิงได้อย่างง่ายดาย และทันใดนั้นเองก็มีบางอย่างถูกดีดออกมาจากปลายนิ้ว ยิงเข้าเป้าอัดใส่ใบหน้าของไป๋หลี่อวี๋อิงเต็มแรงโดยที่ไม่มีแม้แต่เสี้ยวอึดใจให้หลบเลี่ยงด้วยซ้ำ วัตถุที่อัดกระแทกใบหน้าเป็นของแข็งอย่างไม่ต้องสงสัย ทำเอานางเลือดกระเซ็นสาดกระจายออกมา และล้มตัวคะมำหมดสติลงทั้งเสียงกรีดร้อง
วัตถุที่กระแทกเข้าใส่ใบหน้าของไป๋หลี่อวี๋อิงเด้งกระเด็นลงพื้น ปรากฏว่าเป็นลูกเหล็กทรงกลมแข็งลูกหนึ่ง
“มีคนลอบสังหารองค์หญิง! รีบปกป้ององค์หญิงเร็วเข้า!”
บรรดาสาวรับใช้ในวังส่งเสียงกรีดร้องลั่น ทุกคนต่างวิ่งกรูไปหาไป๋หลี่อวี๋อิงกันอย่างจ้าละหวั่น บรรยากาศจากเงียบสงัดกลายมาเป็นความวุ่นวายในชั่วพริบตา
ซือโม่และเฉียนอวิ๋งชำเลืองมองหน้ากันและกันเสมือนรู้ใจ จากนั้นทั้งคู่ก็พุ่งพรวดทะยานออกจากห้องนอนของไป๋หลี่อวี๋อิงโดยไว เงยหน้าแช่มมองแผ่นฟ้าหลังคาสูง แลเห็นเงาดำสายหนึ่งกำลังวิ่งกระโดดข้ามจากตำหนักหนึ่งไปอีกตำหนักหนึ่งต่อเนื่องไม่หยุด เป้าหมายเป็นที่ชัดแจ้งก็คือ ทางออกจากวังหลวง ระหว่างนั้นก็มีศรธนูดุจห่าพิรุณโบยบินไล่หลังติดๆ
“มือสังหารหนีไปทางนั้น!”
เมื่อได้ยินเสียงทหารองครักษ์นายหนึ่งเปล่งดังขึ้น เฉียนอวิ๋งก็ทะยานขึ้นบนหลังคาวิ่งไล่ตามเงาสีดำสายนั้นไปพร้อมกับซือโม่
วิ่งจนออกมานอกเขตวังหลวง กระโดดร่อนลงจากกำแพงสูงของตัววัง ทั้งคู่ก็พบกับร่างชุดดำที่กำลังยืนรออยู่แล้วท่ามกลางเงามืด พอเห็นสองคนนั้นติดตามมาถึงเสียที ร่างชุดดำก็พยักหน้าส่งสัญญาณให้ตามพวกเขาตามมา
ณ ตรอกถนนสายหนึ่งนอกวังหลวง ร่างชุดดำได้หยุดฝีเท้าลงในที่สุดและหันมามองเฉียนอวิ๋งกล่าวว่า
“นำสมุนไรทั้งหมดที่เป็นวัตถุดิบหลอมกลั่นโอสถมา แล้วข้าจะช่วยหลอมกลั่นให้เอง”
“เจ้าเป็นใครกัน?”
เฉียนอวิ๋งขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยปากถามออกไปคำหนึ่ง พอมองลึกเข้าไปในดวงตาของร่างชุดดำตรงหน้า สายตาคู่นี้มันชวนให้เขานึกถึง สตรีงามรูปนั้นที่บุกเข้ามาในวังหลวงเมื่อไม่กี่วันก่อน เพื่อช่วยชีวิตของหญิงชราใบหน้าอัปลักษณ์คนนั้นไว้ พอคิดได้ดังนั้น เขาก็อดระแวดระวังมิได้
หรือจะเป็นนาง?
“ไม่สำคัญว่าข้าจะเป็นใคร สิ่งที่สำคัญกว่าคือ ข้าสามารถหลอมกลั่นโอสถที่ช่วยชีวิตน้องชายของเจ้าได้”
ร่างชุดดำจ้องหน้าเฉียนอวิ๋งและกล่าวตอบ
“เจ้าเป็นนักหลอมโอสถ?”
ซือโม่เอ่ยถามเจือแววประหลาดใจ แต่เขาเองก็ใช่ว่าจะประมาท ภายในมือยังกำด้ามกระบี่ไว้แน่นราวกับพร้อมชักขึ้นมาต่อสู้ได้ทุกเมื่อ ซึ่งกระบี่เล่มนี้เป็นเล่มใหม่ที่เฉียนอวิ๋งมอบให้เขาใช้ชั่วคราว
ร่างชุดดำเหลือบสายตามองมือข้างนั้นที่กำจับด้ามกระบี่ไม่คลายอ่อนของซือโม่ แล้วกล่าวขึ้นว่า
“มิเป็นไรที่เจ้าจะระแวดระวังปานนี้ แต่ขอให้ลองพินิจคิดจงดี หากข้าคิดร้ายต่อพวกเจ้าสองคนจริงๆ คงไม่บุกเข้ามาขัดขวางการกระทำอันเสียศักดิ์ศรีปานนั้นของนายท่านเจ้าแน่นอน”
เฉียนอวิ๋งได้ยินคำกล่าวประโยคนี้ก็ถึงกับหน้าแดงระเรื่อเล็กน้อยด้วยความอับอาย เขาเหลือบสายตามองไปทางซือโม่และกล่าวว่า
“วางกระบี่ลงเถอะ สตรีนางนี้ไม่มีเจตนาคิดร้ายต่อเรา”
ซือโม่เลื่อนสายตาไปทางร่างชุดดำ พอไม่พบรัศมีจิตสังหารหรือกลิ่นอายมุ่งร้ายใดๆ จากตัวของนาง เช่นนั้นเขาจึงค่อยสงบใจลง และคลายมือออกจากด้ามกระบี่บนเอว แต่สายตาคู่นั้นยังคงจับจ้องไม่กะพริบ ดูระมัดระวังตัวอยู่ตลอดเวลา และตราบใดที่นางกล้าลงมือ หรือมีจิตคิดมุ่งร้ายต่อองค์รัชทายาท ในตอนนี้เขาเองก็พร้อมที่จะชักกระบี่ออกมาสังหารนางทิ้งได้โดยไม่ลังเลเช่นกัน
“พรุ่งนี้ตอนเช้า เจ้านำสมุนไพรทั้งหมดที่เป็นวัตถุดิบมาที่นี่ แล้วข้าจะส่งใครสักคนมารับไป”
พอกล่าวจบ ร่างชุดดำก็หมุนตัวจากออกไปทันที
“แม่นาง โปรดเผยแสดงโฉมหน้าที่แท้จริงออกมาได้หรือไม่? คนเราเพิ่งพบเจอกันครั้งแรก ทั้งยังไม่เห็นหน้าเห็นตา เช่นนั้นแล้วเราจะเชื่อใจกันได้อย่างไร?”
เห็นว่าร่างชุดดำกำลังเดินจากออกไป เฉียนอวิ๋งจึงรีบเปล่งเสียงขันขานไล่หลังออกไปทันที เพราะเขาเองก็ไม่ค่อยแน่ใจนักว่า สตรีนางนี้เป็นคนเดียวกับสตรีงามในคืนนั้นหรือไม่?
“จะเชื่อหรือไม่ก็เรื่องของเจ้า หากไม่เชื่อก็ไม่ต้องนำมา แต่ก็อย่าหวังว่าจะได้เห็นข้าอีก”
ร่างชุดดำไม่แม้แต่หยุดฝีเท้า เพียงเปล่งเสียงเย็นชากล่าวตอบออกไปอย่างไม่แยแสนัก เพียงพริบตาต่อมา อีกฝ่ายก็แปรสภาพกลายเป็นเงาพิสดารสายหนึ่งและอันตรธานหายวับจากไป
“องค์รัชทายาท?”
ซือโม่เอ่ยถามขึ้นคำหนึ่งพร้อมหันมามองหน้าเฉียนอวิ๋ง มือข้างหนึ่งวางบนด้ามกระบี่เตรียมพร้อม ขอเพียงองค์รัชทายาทของเขาออกปากสั่งการ เขาก็จะพุ่งออกไปสกัดร่างชุดดำปริศนาคนนั้นทันที
เฉียนอวิ๋งส่ายหัว และตะโกนตอบออกไปว่า
“พรุ่งนี้ข้าจะรอเจ้าตอนเช้า!”
“องค์รัชทายาท ข้าเกรงว่าเรื่องนี้มีอะไรไม่ชอบมาพากล กว่าที่พวกเราจะรวบรวมสมุนไพรเหลานี้มาได้ค่อนข้างลำบากยิ่ง แล้วจะยอมมอบให้กับคนที่ไม่รู้จักหน้าค่าตากันเช่นนี้จริงๆ รึ?”
ซือโม่หันหน้ามองเฉียนอวิ๋งด้วยความสงสัย และยังเอ่ยถามย้ำออกไปอีกคำหนึ่ง
“พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน ส่วนตอนนี้พวกเรากลับเข้าวังหลวงก่อนเป็นดีกว่า ภายในนั้นคงกำลังโกลาหลอยู่เป็นแน่ และหากเราไม่สามารถชี้แจงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้กระจ่างชัดแจ้งพอ เกรงว่าพวกเราเองก็อาจถูกตั้งข้อหาสมรู้ร่วมคิดกับมือสังหารอย่างเลี่ยงมิได้”
เฉียนอวิ๋งโบกมือปัดเชิงว่าอย่าเพิ่งไปใส่ใจ สิ้นเสียงกลาวจบก็กระโดดขึ้นหลังคาและวิ่งไต่ไปตามเส้นทางกลับเข้าวังหลวง
สถานที่สักแห่งหนหนึ่งที่ค่อนข้างห่างไกลจากบริเวณตัวเมือง เซียถงถอดหน้ากากออกและวิ่งกลับไปยังสถานศึกษาเซิงหลิงโดยไว
“นายท่าน แล้วไฉนท่านถึงไม่ถามพวกเขาล่ะว่า ต้องการโอสถกี่เม็ด และระดับชั้นใด? หากเป็นโอสถที่มีระดับชั้นสูงเกินความสามารถท่านในตอนนี้จะทำอย่างไร?”
เสี่ยวฮั่วเอ่ยปากบ่นขึ้นคำหนึ่งภายในห้วงความคิดของเซียถง
“ข้ามีปัญญาหลอมกลั่นโอสถทุกชนิดที่ไป๋หลี่อวี๋อิงหลอมกลั่นได้”
เซียถงยักไหล่ตอบอย่างไม่แยแส
“แต่นางเป็นราชาโอสถชั้นกลาง ส่วนท่านยังเป็นเพียงราชาโอสถชั้นต้นเท่านั้น นี่เป็นขีดจำกัดที่ไม่สามารถข้ามผ่านกันได้ต่อให้จะแข็งแกร่งเพียงใด”
เอ่อ…ข้าลืมนึกถึงจุดนี้ไปได้อย่างไร?
ตอนที่นางเห็นไป๋หลี่อวี๋อิงใช้เรื่องหลอมกลั่นโอสถเพื่อบังคับให้เฉียนอวิ๋งคุกเข่าขอขมา ซึ่งเฉียนอวิ๋งก็ยอมทำจริงเนื่องด้วยต้องการรักษาอาการป่วยของน้องชาย เซียถงก็อดใจทนดูต่อไปมิได้ และลงมือเคลื่อนไหวทันทีโดยมิทันไตร่ตรองให้ดีเสียก่อน และเพราะเจตนาดีของเฉียนอวิ๋งที่ต้องการช่วยชีวิตน้องชายในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง นางจึงตั้งมั่นที่จะช่วยเขาเต็มที่
“พรุ่งนี้ค่อยว่ากันอีกที ไม่แน่ว่าโอสถที่พวกเขาต้องการอาจจะเป็นสิ่งที่ราชาโอสถชั้นต้นสามารถหลอมกลั่นได้?”
เซียถงกล่าวออกไปเช่นนั้นก็จริง แต่ภายในใจก็แอบกังวลเช่นกัน หากกลายมาเป็นโอสถที่มีเพียงระดับราชาโอสถชั้นกลาง
ขึ้นไปเท่านั้นที่สามารถหลอมกลั่นได้ นางจะทำอย่างไร?
ขณะที่กำลังเดินกลับเข้าสถานศึกษาเซิงหลิง เซียถงก็เพิ่งจำได้ว่ามีนัดหมายกับอาหานในป่าสน แต่ดูจากเวลาแล้ว ต่อให้รีบไปตอนนี้ก็น่าจะไปสาย ใจหนึ่งก็พลางสงสัยว่า ถ้าไปถึงที่นั่นแล้วอาหานยังรอนางอยู่หรือไม่?
คิดได้แบบนั้น นางก็หันหลังวิ่งตรงไปยังป่าสน ตรงเข้าบึงซึ่งเป็นจุดนัดพบปะ ซึ่งในเวลานี้จันทร์เจ้าเริ่มเอียงไปทางทิศตะวันตกแล้ว สรรพสิ่งโดยรอบถูกซุกซ่อนอยู่ในเงามืดของคืนรัตติกาล แต่จากระยะไกล เซียถงก็ลอบสังเกตเห็นเงาร่างสูงโปร่งคนหนึ่งที่คุ้นเคย กำลังยืนรออย่างเงียบงันหน้าชั้นหมอกหนาสีขาว