ตอนที่203 สู่หุบเขาเปลวไฟ (1)
“คุณหนูเซียอย่าได้กังวลไป นายท่านของข้าหาใช่คนไร้คุณธรรมโสโครก ไม่มีทางทำเรื่องสกปรกให้อาจารย์หยุนซีต้องอับอายแน่นอน อย่างมากที่สุดก็แค่ขู่ให้นางกลัว”
โม่ซวนมิได้ติดตามสองคนนนั้นเข้าเรือนพักไปด้วย และเขาสังเกตเห็นเซียถงตั้งแต่แรกแล้ว พอเห็นสายตาที่เปี่ยมล้นแววกังวลคู่นั้นของเซียถงที่เหม่อมองทั้งสองเดินออกไป เขาก็คลี่ยิ้มบางกล่าวอธิบายให้ฟังเพื่อไขความกังวล
เซียถงหันมองมาทางเขา แลเห็นอีกฝ่ายจับจ้องตนด้วยแววตาเป็นมิตรหวังดี ก็เพียงพยักหน้าตอบเบาๆ และหันหลังเดินจากไป ระยะทางจากที่นี่ไปยังหุบเขาเปลวไฟ ต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็ม ดังนั้นสิ่งที่นางต้องเตรียมต่อไปนี้คือ ม้าเร็วสองตัว
หลังจากกลับห้องพักไปเรียกอิ๋งเอ๋อร์แล้ว ทั้งสองก็เดินทางไปยังถนนคนเดินสายพลุกพล่านพร้อมกับเงินจำนวนหนึ่ง และสรรหาม้าตีเร็วชั้นเยี่ยมมาสักสองตัว ในช่วงบ่ายค่อยควบม้ากลับมายังสถานศึกษาเซิงหลิง มุ่งหน้าไปหาท่านคณบดีเคราขาวเพื่อขอยื่นลาพักร้อนสักสองสามวัน
“งานประลองสี่จักรวรรดิใกล้เข้ามาเต็มทนแล้ว เกรงว่านี่หาใช่ช่วงเวลาเหมาะสมเท่าไหร่นักที่จะลาหยุด?” 0
ท่านคณบดีเคราขาวเหล่สายตามองเซียถงอยู่ปราดหนึ่ง พลางยกมือลูบเครายาวของตน
“ท่านคณบดี ศิษย์คนนี้มีเรื่องเร่งด่วนต้องรีบไปจัดการดูแล หลังจากกลับมาจะไม่มีขาดเรียนอีกแน่นอน”
เซียถงมองหน้าอีกฝ่ายตาเขม็ง จับจ้องพร้อมสายตาสุดแสนจะอ้อนวอน
ท่านคณบดีเคราขาวเงียบนิ่งครุ่นคิดกับตนเองอยู่สักครู่ ทันใดนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองนางและเอ่ยถามขึ้นว่า
“แล้วเจ้าจะไปไหนถึงหยุดเรียนตั้งสามวัน?”
“อ่อ ข้ามิได้ออกไปไหนไกลเลย เพียงต้องกลับเข้าบ้านเท่านั้น”
เซียถงกล่าวตอบออกไปราวกับหาใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ภายในใจก็แอบสงสัยเช่นกันว่า ตั้งแต่เมื่อใดกันที่ท่านคณบดีเริ่มหันสนใจว่านางจะไปทำอะไรที่ไหน? เพราะดูจากทีท่าของอีกฝ่ายแล้ว ท่านคณบดีเคราขาวเหมือนจะกังวลเรื่องสถานที่ที่นางกำลังขอลาหยุดเพื่อไปอยู่
“แค่กลับบ้าน ไม่จำเป็นต้องขอลาหยุดตั้งสามวันมิใช่รึ?”
ท่านคณบดีเคราขาวยิงคำถามออกไปประโยคหนึ่ง สายตาพลันหรี่แคบจับจ้องเซียถงไม่คลายอ่อน
ไฉนวันนี้ท่านคณบดีถึงดูยุ่มยามกับนางเหลือเกิน? ดูแล้ว…ไม่แปลกเกินไปหน่อยรึ? เมื่อคิดได้ดังนั้น ร่องรอยความสงสัยก็เผยสะท้อนออกจากดวงตาของนาง อาจอีกฝ่ายเป็นกังวลเรื่องความปลอดภัยของนางก่อนเข้าร่วมงานประลองสี่จักรวรรดิจริงๆ นี่ยิ่งบอกไม่ได้เลยว่าไปทำอะไรที่ไหน การเดินทางขึ้นหุบเขาเปลวไฟเพื่อเสาะหาเพลิงพิภพเก้าดุษณี เอาเข้าจริง นี่อันตรายราวกับเอาชีวิตไปเสี่ยงตายก็มิปาน คิดได้ดังนั้นเซียถงจึงโกหกไปว่า
“หลายวันมานี้ สุขภาพของท่านแม่ทรุดลงมาก ข้าจำเป็นต้องขอลาหยุดสักสามวันเพื่อเฝ้าไข้ดูแลท่าน”
“โอ้? ที่แท้จริงแม่ของเจ้ากำลังป่วยหนัก? ในฐานะลูกเจ้านับว่าทำถูกต้องแล้ว ควรกตัญญูกับผู้ให้กำเนิด เอาล่ะ เจ้าไปดูแลแม่ของตนเถอะ”
ท่านคณบดีเคราขาวพยักหน้าตอบ แววความฉงนสงสัยภายในดวงตาของเขาจางอ่อนลงทันควัน และกลับมาสู่สภาวะปกติที่ดูเป็นมิตรดังเดิม
เซียถงพยักหน้าและขอตัวลาออกไปทันที คล้อยหลังปิดประตูห้องเสร็จสรรพ นางก็ปั้นหน้าปั้นตางุนงงอยู่เล็กน้อย วันนี้เหมือนกับว่าท่านคณบดีเคราขาวจะดูผิดแปลกไปจากอยู่หนึ่งส่วน พอบอกว่าจะลาหยุดไปสามวันก็ดูกระตือรือร้นถามถึงเหตุผลขึ้นทันที หรือไม่แน่ว่า นางอาจจะคิดมากเกินเหตุไปเท่านั้น คงเป็นเพียงความกังวลในฐานะอาจารย์ท่านหนึ่ง
แม้กำลังจะครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ภายในหัว แต่คู่เท้าของเซียถงยังคงไม่หยุดเดินจวบจนมาถึงหน้าเรือนพักของหยุนซี ขณะกำลังจะยกมือเคาะประตู ทันใดนั้นประตูไม้ไผ่เบื้องหน้าพลันอ้าออก แลเห็นหยุนซียืนอยู่ฝั่งตรงข้ามของประตูคล้ายกำลังรอการมาถึงของนางอยู่แล้ว อีกฝ่ายเอ่ยถามขึ้นว่า
“จะออกเดินทางเลยหรือไม่?”
เซียถงมิได้ปริปากกล่าวอะไร แต่ทันทันใดหางตาก็เหลือบไปเห็นชายหนุ่มอีกคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังหยุนซี ชั่วความคิดแรกคือรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย คล้อยพินิจลรูปลักษณ์อย่างละเอียดอีกครา ชายหนุ่มคนนี้หน้าตาค่อนข้างธรรมดาทั่วไป แต่งกายในชุดคลุมสีดำยาว ลมหายใจเสถียรมั่นคง มองแค่แวบเดียวก็ตระหนักทราบได้ทันที เขาผู้นี้คือ ยอดฝีมือผู่แกร่งกล้าคนหนึ่ง
“โอ้ เกือบลืมแนะนำให้รู้จัก เขาเป็นคนที่ติดหนี้ข้าอยู่ ชื่อว่าเซียวซาน ข้าเรียกอีกฝ่ายมาเพื่อให้มาช่วยเหลืออีกแรง”
เสาะพบสายตาของเซียถงที่จ้องเขม็งไปยังชายหนุ่มที่อยู่ด้านหลังด้วยความระแวดระวัง หยุนซีเพิ่งนึกขึ้นได้จึงรีบแนะนำตัวให้ฟัง
เซียวซาน?
เซียถงเหลือบสายตามองชายหนุ่มด้านหลังหยุนซีคนนั้น คำถามมากมายโฉบแล่นเข้ามาในหัวของนางทันที เขาเป็นใครมาจากไหน? มีความน่าเชื่อถือแค่ไหนกัน? แล้วหยุนซีคิดยังไงถึงไปเอาคนที่นางไม่รู้จักมาร่วมเดินทางด้วย?
เพราะท้ายที่สุดนี้ เพลิงพิภพเก้าดุษณี เป็นไฟวิเศษที่เหล่านักหลอมโอสถนับไม่ถ้วนถวิลหาชั่วชีวิต และถึงแม่ว่าหยุนซีจะไม่มีคุณสมบัติจะเป็นนักหลอมโอสถ แต่นางก็เป็นนักปรุงพิษคนหนึ่งที่มีฝีมือฉกาจ หากได้รับเพลิงพิภพเก้าดุษณีไป ฝีมือในการปรุงยาและยาพิษคงเพิ่มขึ้นหลายเท่าทวีแน่นอน บางที…หลังจากที่เสาะพบเพลิงพิภพเก้าดุษณีมา หยุนซีอาจหักหลังและสังหารนางทิ้งเพื่อแย่งมาเป็นของตน? เพราะมิอาจทราบได้เลยว่า ด้วยพรสวรรค์ในการปรุงยาของหยุนซี หากผนวกรวมกับเพลิงพิภพเก้าดุษณีแล้ว นางจะสามารถหลอมกลั่นโอสถที่ต้องการได้หรือไม่?
แววความสงสัยที่ถูกเร้นซ่อนอยู่ในดวงตาคู่นั้นของเซียถงกลับไม่สามารถหนีพ้นสายตาอันเฉียบแหลมของหยุนซี แต่ตัวนางเองก็มิได้โกรธหรือคิดมากอันใด เพียงกล่าวอธิบายให้เซียถงคลายกังวลเพียงว่า
“ยิ่งคนมากขึ้นก็ยิ่งปลอดภัย หากอยู่ภายใต้สถานการณ์อันตราย โอกาสรอดชีวิตก็จะยิ่งสูงขึ้น”
เซียถงยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน แต่สายตาคู่นั้นจับจ้องเซียวซานเขม็งไม่คลายอ่อน ซึ่งทางด้านเซียวซานเองก็เงยหน้าขึ้นสบสายตากับนางเช่นกัน สิ่งแรกที่เซียถงสัมผัสได้ก็คือ ถึงแม้หน้าตาของชายคนนี้จะดูค่อนข้างธรรมดาสามัญ ทว่าลึกลงไปในแววตาของเขากลับเร้นประกายซ่อนคมอันตรายแฝงไว้อยู่ ทั้งยังลึกล้ำเหลือกำหนดประดุจห้วงมหาสมุทรไร้ก้นบึ้งเกินจะหยั่งรู้ได้
เห็นว่าเริ่มสายแล้ว เซียถงสลัดความคิดอื่นใดออกจากในหัว ขณะเดียวกับเซียวซานก็ถอนสายตาคู่นั้นออกมาจากนางเช่นกัน และเดินตรงผ่านหน้านางออกนอกประตูออกไป ตามมาด้วยหยุนซีที่เดินติดตามออกมา ปล่อยให้เซียถงยืนงงอยู่ตรงนั้น
“เซียถง รีบไปเถอะ”
หยุนซียังคงยืนนิ่งอย่างว่างเปล่าหน้าประตู หยุนซีที่เห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยปากเรียก ชั่วขณะหนึ่ง เห็นว่าหยุนซีลอบขยิบตาให้ เซียถงเห็นดังนั้นก็คล้ายจะเข้าใจถึงอะไรบางอย่างได้ และค่อยเดินตามหลังออกไป ทั้งสามเดินทางออกจากสถานศึกษาเซิงหลิงอย่างเงียบงันไม่พูดไม่จากันใดๆ
พอถึงหน้าประตูใหญ่ของสถานศึกษาเซิงหลิง เซียถงก็ชี้นิ้วไปยังม้าเร็วทั้งสองตนที่ผูกติดอยู่กับต้นไม้ข้างทาง หันไปกล่าวกับหยุนซีว่า
“ตอนนี้พวกเรามีม้าแค่สองตัว แต่เรามากันสามคน…”
แต่ยังไม่ทันกล่าวจบด้วยซ้ำ หยุนซีกระโดดขึ้นบนหลังม้าตัวหนึ่งที่อยู่ใกล้สุดทันที คว้าบังเหียนบังคับม้าให้เชิดหน้าเตรียมพร้อมออกเดินทาง แล้วหันมากล่าวกับเซียถงว่า
“ไม่รู้ล่ะ แต่ข้าชอบขี่ม้าคนเดียว”
จากนั้น หยุนซีก็ใช้เท้าสะกิดลำตัวม้าเบาๆ และออกวิ่งนำหน้าไปก่อนทันที
เซียถงถึงกับชะงักค้าง ยืนปั้นหน้าตะลึงมองม้าขาวตัวนั้นที่ถูกหยุนซีคุมบังเหียนวิ่งออกไปแล้ว เดิมทีนางตั้งใจว่าจะขี่ม้าขาวตัวนี้ตามลำพัง ส่วนม้าอีกตัวให้หยุนซีกับเซียวซานนั่งด้วยกัน ทว่าใครจะไปคิด สถานการณ์ตอนนี้กลับพลิกผัน หยุนซีจู่ๆ เป็นบ้าอะไรขึ้นมา? ถึงอยากให้นางขี่ม้าด้วยกันกับเซียวซาน?
แผนที่วางไว้เปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่จะอย่างไรก็ไม่มีผลกระทบกับการเดินทางเท่าไหร่นัก เพียงแต่….
เซียถงเหลือบสายตาเบี่ยงไปหาเซียวซานที่อยู่เคียงข้าง สีหน้าการแสดงออกของนางในขณะนี้ดูอึดอัดใจมิใช่น้อย
เซียวซานที่ยืนอยู่เคียงข้างเหลือบหน้ามามองนางเช่นกัน แต่สีหน้าการแสดงออกกลับเรียบนิ่งปราศจากระลอกคลื่นอารมณ์ผวนใดๆ เพียงทราบดีอยู่ในใจว่า เซียถงไม่ต้องการขึ้นขี่ม้าตัวเดียวกับตนแน่นอน จึงหันหน้ากลับไปจับจ้องม้าขาวอีกตัวที่เหลือ พลางยืนรอเงียบๆ โดยไม่ปริปากกล่าวอันใดทั้งสิ้น สุดแล้วแต่เซียถงจะตัดสินใจเองเลย
“ม้าตัวนี้ของเจ้า ข้าจะไปซื้อใหม่มาอีกตัวแล้วกัน ฝากบอกท่านอาจารย์หยุนซีด้วยว่า ให้รอข้าอยู่ตรงหน้าประตูเมืองก่อน”
เซียถงหันมากล่าสวกับเซียวซานจบ ก็ยกเท้าเตรียมเดินเข้าเมืองไปซื้อม้าใหม่ทันที
“ไม่เป็นไร ข้าเตรียมมาเองแล้ว”
กล่าวจบ เซียถงก็ยกมือผิวปาก ส่งเสียงแหลมดังเป่าออกมา
คล้อยหลังเสียงเป่าแผดดัง ทันใดนั้นก็ปรากฏม้าสีแดงโลหิตตัวหนึ่งควบทะยานออกมาจากผืนป่าข้างเคียงบริเวณกำแพงสถานศึกษา ม้าตัวนี้ร่างสูงกำยำ ขาทั้งสี่ขาล่ำบึก ขนยาวสลวยสีแดงดั่งโลหิต ดวงตากลมโตใสสว่างคึกคะนอง
ม้าสีแดงโลหิตควบไปหยุดลงตรงหน้าเซียวซาน ยกศีรษะยาวของมันเข้าถูไถเอาใจเจ้าของอย่างมีความสุข ส่วนอีกฝ่ายเองก็ยกมือลูบไล้ด้วยทีท่าอ่อนโยน จะเห็นได้ชัดว่า สายสัมพันธ์ระหว่างม้ากับคนคู่นี้ค่อนข้างแน่นแฟ้น