ตอนที่213 เล็มปลายผม
ไม่นานนัก อิ๋งเอ๋อร์ก็เคาะประตูเข้ามา นำสมุนไพรกองหนึ่งมาวางไว้ให้ กล่าวว่า
“คุณหนู นี่เป็นสมุนไพรทั้งหมดที่ต้องการเจ้าค่ะ”
เซียถงมองย้อนกลับไปหาอิ๋งเอ๋อร์พยักหน้าให้เล็กน้อย และชี้มาที่โต๊ะกล่าวว่า
“เข้ามาวางไว้บนนี้เลย”
อิ๋งเอ๋อร์พยักหน้าพร้อมหอบสมุทรไพรกองนั้นเข้ามาจัดเรียงไว้บนโต๊ะ ดวงตากลมโตน่ารักของนางกลิ้งกลองไปมาเล็กน้อย พลางเหลือบไปเห็นหลิววูที่กำลังนอนหมดสติอยู่บนเตียง นางเดินย่องเข้าไปหาพร้อมสีหน้าสงสัย คุกเข่าลงอยู่ข้างเตียงที่หลิวซูนอนอยู่ และหันมาเอ่ยถามกับเซียถงด้วยความประหลาดใจว่า
“คุณหนู เขาเป็นใครงั้นรึ? ไยต้องไว้ผมยาว? แถมยังมีสีเงินอีกด้วย? ช่างแปลกตายิ่งนัก”
กล่าวจบ นางก็เอื้อมมือสีขาวเนียนแตะสัมผัสบนเส้นผมสีเงินของหลิวซูเจือแววฉงนใจสงสัย เส้นผมยาวสลวยสีเงินประกายเหล่านี้นุ่มนิ่มละเอียดลออราวกับสายไหม ทุกการสัมผัสของนางล้วนกอปรไปด้วยความระมัดระวัง ทั้งใบหน้าของเด็กหนุ่มคนนี้ยังดูน่ารักมากกระทั่งตอนหลับตา เส้นผมก็ยังนุ่มสลวยอยากสัมผัสต่อไปเรื่อยๆ พอคิดได้แบบนั้น ก็มีรอยยิ้มน้อยๆ เผยปรากฏขึ้นบนมุมปากของอิ๋งเอ๋อร์ ใบหน้าสวยประดับประดาความสุขฉาบคลุมเอาไว้ โดยที่นางเองก็ไม่ทันรู้ตัว
“อิ๋งเอ๋อร์ ช่วยเอากรรไกรไปเล็มปลายผมที่ติดไหม้ของมันที”
เซียถงไล่หยิบสมุทรไพรแต่ละชนิดที่เรียงรายบนโต๊ะขึ้นวิเคราะห์ พลางส่งเสียงกล่าวไปทางอิ๋งเอ๋อร์
“เอ๊ะ? คุณหนู เส้นผมของหนุ่มน้อยคนนี้งดงามจะตาย ไยต้องไปเล็มด้วย?”
อิ๋ง
เอ๋อร์เอ่ยทักท้วงขึ้นคำหนึ่งด้วยความเสียอกเสียดาย
น่าเสียดายเกินไปกระมังที่ต้องตัดเล็มเส้นผมที่งดงามปานนี้
“เวลาเกิดผมเสียจำเป็นจะต้องเล็มตัดปลายทิ้ง มิฉะนั้นอาจจะทำให้ผมที่เหลือบนหัวเสียไปด้วย”
เซียถงเงยศีรษะถอนสายตาออกจากสมุนไพรเหล่านั้นในมือ และที่สำคัญเลย หากเปลี่ยนเป็นนางเล็ดผมของหลิวซู เกรงว่ามันจะต้องตื่นมาโวยวายแน่นอน แต่หากเป็นสาวสวยแปลกหน้าอย่างอิ๋งเอ๋อร์ ตัวมันเองไม่น่าจะกล้าขึ้นเสียงใส่แน่นอน!
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
อิ๋งเอ๋อร์พยักหน้ารับรู้ พอเหลือบสายตาสังเกตไปมองช่วงปลายผมของหลิวซูก็ค้นพบว่า มันมีลักษณะหยิกงอ ทั้งยังเป็นสีน้ำตาลราวกับถูกไฟเผาจนไหม้ ซึ่งหากปล่อยเอาไว้อาจจะเป็นปัญหาต่อไปในอนาคตจริงๆ ดังนั้น นางจึงลุกขึ้นไปหยิบกรรไกรมา และรวบปลายผมที่ไหม้เล็ดตัดทิ้งทันที
“ผมข้า! ใครตัดผมข้า! ใครมันกล้าตัดผมของข้า!?”
เสียงตัดดังฉับแม้จะเบาหูเกินได้ยิน แต่ทว่าสำหรับหลิวซูแล้ว เสมือนคมมีดบาดขั้วหัวใจ ดังสนั่นกึกก้อง ถึงขั้นสะดุ้งลุกขึ้นพรวดตื่นขึ้นมาทันควัน พอเห็นว่าปลายเส้นผมจำนวนหนึ่งถูกตัดทิ้งไป มันก็ร้องโวยวายขึ้นทันที
เรียวมือขาวนวลประดุจหิมะชูผมสีเงินหนึ่งกำมือขึ้นต่อหน้าหลิวซู ทันทีที่มันเหลือบไปเห็นว่า คนที่ตัดไม่ใช่เซียถง สีหน้าการแสดงออกของมันก็เปลี่ยนไปราวกับหลังตีนเป็นหน้ามือ กล่าวเสียงอ้อดอ่อนปนเศร้าว่า
“คนสวย เจ้าตัดผมข้าทำไม?”
ไอ้เด็กแก่แดด! เซียถงถึงกับร้องอุทานลั่นกับตนเองในในใจ เมื่อเห็นความสองมาตรฐานเช่นนี้ของหลิวซู
อิ๋งเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นมองเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างกล้าๆ กลัวๆ แต่ทันใดนั้นนางก็เห็นน้ำตาสองสายไหลรินแอบแก้มของอีกฝ่าย ใบหน้าหล่อเหลาและน่ารักของเด็กหนุ่มคนนี้อาบชโลมไปด้วยน้ำตา
“ไฉนเจ้าต้องตัดผมข้าด้วย?”
หลิวซูเอ่ยถามอีกคราด้วยความเจ็บปวดระทมใจยิ่งนัก เหม่อมองผมกำมือหนึ่งที่ถูกตัดออกเบื้องหน้า มันยิ่งเศร้าใจจนน้ำตาร่วงหนัก ทำเอาอิ๋งเอ๋อร์รู้สึกผิดเข้าไปใหญ่
“หนุ่มน้อย…คุณหนูสั่งให้ข้าตัดมัน”
เผชิญหน้ากับเด็กหนุ่มที่น่ารักเกินหักห้ามร้องไห้ต่อหน้าต่อ อิ๋งเอ๋อร์รู้สึกผิดจนเผลอใจทรยศเซียถงโดยไม่รู้ตัว โยนภาระส่งมอบไปให้เซียถงในทันที
หลิวซูหันขวับจับจ้องเซียถงตาเขม็ง คำรามลั่นทั้งน้ำตาว่า
“เจ้าตัดผมข้าทำไม!?”
“หากปล่อยไว้จะทำให้เส้นผมทั่วทั้งหัวของเจ้าเสียหายได้ ก็เลยจำเป็นต้องตัดส่วนที่เสียทิ้งไปก่อน ข้านี่แหละที่เป็นคนสั่งให้อิ๋งเอ๋อร์ตัดผมของเจ้าเอง”
เห็นหลิวซูเริ่มร้องห่มร้องไห้หนักขึ้น เซียถงก็รู้สึกเห็นใจอยู่กรายๆ แต่หากไม่ทำเช่นนี้ เกรงว่าจะได้เสียใจไปชั่วชีวิตแน่นอน
ทั้งนี้เซียถงยังออกมารับหน้าเองว่า ตนเป็นคนสั่งให้อิ๋งเอ๋อร์ตัดผมของมันเอง เพราะไม่อยากให้ผิดใจกันหลังจากนี้
ทันทีที่สิ้นเสียงอธิบาย หลิวซูก็หันหน้ามามองผมสีเงินกระจุกหนึ่งที่ถูกตัดทิ้งในกำมืออิ๋งเอ๋อร์ มันถึงกับตาเหลือกและเป็นลมหมดสติไปอีกครา
อิ๋งเอ๋อร์สะดุ้งโหย่งตกใจ รีบวิ่งไปดึงแขนเสื้อเซียถงกระตุกอยู่หลายทีด้วยความตระหนกตกใจ เอ่ยถามน้ำเสียงเป็นกังวลยิ่งว่า
“คุณหนู! เขาจะเป็นอะไรไปหรือไม่!?”
“ไม่หรอก อย่างมันไม่มีทางตายง่ายๆ แน่นอน แค่หมดสติไปเก็เท่านั้น วานเจ้าพามันออกไปนอนพักข้างนอกที”
เซียถงเหลือบสายตามองหลิวซูที่สลบไสลอยู่ปราดหนึ่ง ก่อนจะหันมากล่าวกับอิ๋งเอ๋อร์
พอได้ยินว่า หลิวซูยังไม่ตายปลอดภัยดี นางก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่งด้วยความโล่งอก ยกนิ้วขึ้นเชยสัมผัสเรียวแก้มสีขาวละเอียดลออของหลิวซูเล็กน้อย ดวงตากลมโตกะพริบปริบ จ้องมองอีกฝ่ายในขณะหลับเจือแววสงสัย เพราะนางไม่เคยเห็นใครที่มีดวงตาสีแดงและผมยาวสีเงินประกายเช่นนี้มาก่อน
เซียถงมิได้สนใจอันใดมากนัก เพียงบอกให้อิ๋งเอ๋อร์อุ้มร่างอีกฝ่ายออกไปพัก ส่วนนางจะเริ่มกระบวนการหลอมกลั่นโอสถต่อแล้ว เนื่องด้วย การจะหลอมกลั่นโอสถเก้าทองคำที่มีคระดับความยากค่อนข้างสูง จำเป็นต้องใช้สมาธิอย่างมาก
คล้อยหลังปิดห้องแนบสนิท บรรยากาศโดยรอบห้องก็กลับสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง ในเมื่อทุกอย่างเพียบพร้อมดีแล้ว ก็ถึงเวลาที่นางต้องหลอมกลั่นโอสถอย่างจริงจัง
ตกสู่ภวังค์หลอมกลั่นโอสถ วันเวลาย่อมผ่านไปไวเสมอ เมื่อรู้สึกตัวอีกทีก็ผ่านไปตั้งสามวันเต็มแล้ว เซียถงถอนจิตสมาธิออกจากเตาหลอมพลางปาดเหงื่อนบนหน้าผาก เดินออกมาจากห้องพร้อมกับโอสถเก้าทองคำในมือ
ระยะเวลาในการหลอมกลั่นโอสถแต่ละชนิดจะแตกต่างกันไปตามวัตถุดิบสมุนไพรที่ใช้ ยิ่งเป็นสมุนไพรที่มีความซับซ้อนทางด้านสรรพคุณมากเท่าไหร่ นักหลอมโอสถจำเป็นจะต้องใช้เวลาหล่อหลอมมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งสมุนไพรบางชนิด กล่าวกันว่าต้องใช้เวลาหลักหลายสิบวันในการหลอมหลอม จึงไม่แปลกเลยที่โอสถระดับสูงบางประเภทใช้เวลานับหลายปีในการหลอมกลั่นให้สำเร็จ
พอเป็นประตูเลื่อนตรงออกมา ก็เห็นอิ๋งเอ๋อร์ที่กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะดื่มชา โดยมีหลิวซูอยู่ฝั่งตรงข้ามกำลังเล่าเรื่องอะไรสักอย่างให้อีกฝ่ายฟังอย่างตื่นอกตื่นเต้น
พอเซียถงย่องฝีเท้าลอบเข้าไปใกล้หลิวซู ก็ได้ยินมันพูดด้วยความภาคภูมิใจว่า
“แม่สาวน้อย เจ้ารู้หรือไม่ว่า ตอนข้าเผชิญหน้ากับมังกรบรรพกาลที่เฝ้าพิทักษ์เพลิงพิภพเก้าดุษณี มันน่ากลัวเพียงใด? ในเวลานั้น คุณหนูของเจ้าหวาดกลัวจนตัวสั่น วิ่งมาหลบหลังข้าขอร้องให้ข้าปกป้องนาง ทั้งยังน้ำหูน้ำตาไหลจนเปื้อนเสื้อผ้าของข้าเต็มไปหมด ฮ่าฮ่าฮ่า…”
หลิวซูระเบิดหัวเราะออกมาอย่างสนุกสนาน ราวกับว่าเซียถงร้องห่มร้องไห้ไปหลบหลังของมันจริง ๆ
“เจ้านี่มันขี้โม้ชะมัด คุณหนูของข้าไม่มีทางทำเรื่องขี้ขลาดเช่นนั้นแน่นอน กลับเป็นเจ้าเองมากกว่าที่กลัวเพลิงพิภพเก้าดุษณี แล้วร้องห่มร้องไห้ไปหลบหลังคุณหนูแทนกระมัง?”
อิ๋งเอ๋อร์เบะปากคว่ำ ดูจากปฏิกิริยาแล้วนางไม่เชื่อสุดหัวใจ
ที่ผ่านมา คุณหนูของนางจิตใจหาญกล้าเพียงใดมีหรือจะไม่ทราบ อย่าว่าแต่มังกรเลย ต่อให้เป็นเทพเซียนยืนประจักษ์อยู่เบื้องหน้า เกรงว่าคุณหนูของนางยังวิ่งเข้าใส่ด้วยซ้ำ! แล้วคำพูดของเด็กหนุ่มคนนี้จะไปเป็นความจริงได้ยังไง?
“เหอะ เหอะ หากเจ้าไม่เชื่อข้า เช่นนั้นลองไปถามคุณหนูของเจ้าเองได้เลยว่า ข้าพูดจริงหรือเปล่า? ก็มิยากจะพูดนักหรอกว่า แท้จริงแล้ว คุณหนูของเจ้าขี้ขลาดเพียงใด…”
เมื่อเห็นว่าอิ๋งเอ๋อร์ไม่เชื่อคำพูดของมัน หลิวซูจึงเอนตัวพึงเก้าอี้อย่างสบายอารมณ์ ชี้นิ้วไปทางประตูห้องด้านหลังของมันพร้อมพ่นวาจาเย้ยเยาะต่างๆ นานา แต่เมื่อเหลียวหลังหันมองไปตาม ก็พบว่า เซียถงที่เจ้าตัวกำลังนินทากำลังยืนกอดอกพิงกำแพงมองมาทางมันอยู่ รอยยิ้มบนใบหน้าของมันถึงกับแข็งค้างไปในทันใด
อิ๋งเอ๋อร์ที่เห็นเซียถงปรากฏตัวขึ้นก็ถึงกับสะดุ้งเฮือกแทบกระโดดพุ่งพรวดขึ้นจากเก้าอี้ รีบเดินไปหาโดยไวและยิ้มถามขึ้นว่า
“คุณหนู หลอมกลั่นโอสถเสร็จแล้วกระมัง? ในครั้งนี้ท่านใช้เวลานานมาก”