ตอนที่223 ศึกต่อสู้ระหว่างทั้งสาม (1)
ตอนที่223 ศึกต่อสู้ระหว่างทั้งสาม (1)
“ทำหน้าเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรรึ? หรือเจ้าไม่ต้องการนั่งเกี้ยวร่วมกับข้า?”
สายตาคู่นั้นของฝ่าบาทค่อยๆ หรี่แคบลง จ้องเขม็งไปที่ใบหน้าทะลุผ้าคลุมสีขาว
“ฝ่าบาทเข้าใจผิดแล้ว ช่างเป็นเกียรติยิ่งนักที่ได้นั่งเกี้ยวรถม้าร่วมกับฝ่าบาท ทว่าเกิดมาหม่อมฉันยังไม่เคยนั่งเกี้ยวรถม้าเช่นนี้มาก่อนจึงไม่คุ้นชิน และที่สำคัญจะทิ้งม้าที่ขี่อยู่ได้อย่างไร?”
เซียถงก้มศีรษะลงเล็กน้อย หลีกเลี่ยงทุกสายตา ปริปากเอ่ยตอบกลับไป
“เจ้าไม่คุ้นชินหรือไม่ต้องการนั่งร่วมกับข้ากันแน่?”
ฝ่าบาทหรี่สายตาเหลียวแหลม ประดุจอินทรีภูเขาจ้องเหยื่อ มองเซียถงแน่นหนาไม่มีคลายอ่อน ถึงแม้นางจะก้มศีรษะแล้วก็ตาม แต่ก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงรัศมีแรงกดดันที่ข่มเหงเข้าใส่ได้อย่างชัดแจ้ง
ดูเหมือนจะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องขึ้นเกี้ยวรถม้าแล้วจริงๆ
“หม่อมฉันรับบัญชา”
เซียถงเงยหน้าขานตอบฝ่าบาทไปหนึ่งวาจา ในเมื่อตนได้รับเชิญให้ขึ้นนั่ง ก็คงไม่มีทางเลือกอื่นใดแล้วเช่นกัน
นางกระโดดขึ้นจากหลังม้า ปีนเข้าไปในเกี้ยวมังกรสีทองคำที่อยู่เคียงข้าง ส่วนม้าตนดังกล่าวของนางก็มีทหารนายหนึ่งอาสาจูงแทน
พื้นที่เกี้ยวมังกรทองคำนี้ค่อนข้างกว้างใหญ่ และจะนั่งโดยสารกันสามหรือสี่คนกลับหาใช่ปัญหา ด้านหน้าสุดเป็นตำแหน่งของฝ่าบาทที่ทรงประทับ โดยมีไป๋หลี่หานนั่งอยู่เคียงข้าง ส่วนด้านตรงข้ามก็เป็นเย่หลีเทียนที่นั่งชิดติดมุมอยู่เพียงลำพัง เซียถงเหลือบสายตามองไปทางตำแหน่งนั่งที่ว่างอยู่ข้างเย่หลีเทียน จากนั้นค่อยเดินไปนั่งลงอย่างเงียบงัน
และทันทีที่นางนั่งลง ก็พลันสัมผัสได้ว่า ทุกสายตาภายในเกี้ยต่างหันขวับจับจ้องมาหานางโดยพร้อมเพรียง สายตาแต่ละคู่ช่างเฉียบคมประดุจอินทรี ทำเอาเซียถงรู้สึกอึดอัดมิใช่น้อยเลย จึงเงยหน้าหันหัวไปทางทิศตะวันออก กล่าวขอบคุณฝ่าบาทขึ้นว่า
“ฝ่าบาท ขอบพระทัยสำหรับน้ำใจนี้เพคะ”
“อืม”
ฝ่าบาทพยักหน้าตอบเล็กน้อย ยิ้มอ่อนจับจ้องไปทางเซียถงและกล่าวถามขึ้นว่า
“เซียถง ระดับพลังลมปราณของเจ้าพัฒนาขึ้นบ้างหรือไม่ในช่วงสามเดือนมานี้?”
“เรียนฝ่าบาท หม่อมฉันไม่มีพัฒนาการใดๆ เลยเจ้าค่ะ”
เซียถงกล่าวตอบไปตามความจริง
“ไม่มีการพัฒนาใดๆ?”
สีหน้าการแสดงออกดูตกตะลึงอย่างชัดแจ้ง ฝ่าบาทรีบเอ่ยถามต่อทันทีว่า
“แล้วตลอดสามเดือน เจ้าได้รู้เรียนอะไรบ้างหรือไม่จากสถานศึกษาเซิงหลิงที่ข้าส่งไป?”
เบื้องต้นฝ่าบาทคาดการณ์เอาไว้ว่า อาศัยพรสวรรค์อันน่าทึ่งของเซียถง ภายในระยะเวลาสามเดือน นางจะต้องมีพัฒนาการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างไม่มากก็น้อย แต่ใครจะไปคิดว่า คำตอบที่ได้จากปากนางคือ ไม่มีพัฒนาการใดๆ ใครได้ยินล้วนต้องประหลาดใจกันทั้งนั้น ซึ่งฝ่าบาทเองก็เช่นกัน ถึงขนาดอดใจเอ่ยถามออกไปมิได้ว่า แล้วตลอดสามเดือนที่ผ่านมาที่เขาส่งไปร่ำเรียนในสถานศึกษาเซิงหลิง สรุปแล้วนางได้อะไรกลับมาบ้าง?
“ข้าได้เรียนรู้คุณสมบัติต่างๆ ของสมุนไพรแต่ละชนิด และการปรุงยาเบื้องต้นจากท่านอาจารย์หยุนซี เรียนรู้ค่ายศึกกลยุทธ์ และรูปแบบวางแผนการรบจากท่านแม่ทัพจางเจิ้งกั๋ว ทั้งนี้ก็ยังได้เรียนรู้วิถีทางสำหรับยกระดับความแข็งแกร่งทางร่างกายกับท่านราชันหมาป่าสวรรค์”
เซียถงเอ่ยอธิบายน้ำเสียงฟังดูใจเย็นยิ่ง
“หากเช่นนั้นแล้ว ไฉนระดับพลังลมปราณของเจ้าถึงไม่พัฒนาขึ้นเลยล่ะ? ที่ผ่านมาเจ้าสามารถยกระดับความแข็งแกร่งได้อย่างก้าวกระโดด แล้วไยตอนนี้กลับไม่มีอะไรดีขึ้นอีกเลย?”
ฝ่าบาทเอ่ยถามสีหน้าวาจาฟังดูไม่อยากเชื่อหูตัวเอง
เซียถงอยู่ในขอบเขตเสาหลักฟ้าชั้นกลางมาเป็นเวลาสามเดือนเต็มแล้ว และหากนางสามารถทะลวงขึ้นสู่ขอบเขตเสาหลักฟ้าชั้นสูงเมื่อใด โอกาสที่จะคว้าอันดับหนึ่งในงานประลองครั้งนี้ก็ยิ่งสูงขึ้น
“เรียนฝ่าบาท หม่อมฉันเองก็มิทราบเช่นกันว่าเกิดอะไรขึ้น แต่หลังจากทะลวงขึ้นสู่ขอบเขตเสาหลักฟ้าชั้นกลางได้สำเร็จ ลำดับต่อจากนี้ช่างยากเข็ญยิ่งนักที่จะพัฒนาต่อ”
เซียถงกล่าวอธิบายออกไปตามความเป็นจริงทุกประการ กระทั่งตัวนางในขณะนี้เองก็ยังค่อนข้างกังวลเช่นกันว่า สุดท้ายแล้วจะทะลวงขึ้นสู่ขอบเขตเสาหลักฟ้าชั้นสูงได้เมื่อใด
“ฝ่าบาท ยิ่งระดับลมปราณลึกล้ำก็ยิ่งยากต่อการพัฒนา นับเป็นเรื่องปกติที่เซียถงจะไม่มีพัฒนาการใดๆ เลยในช่วงสามเดือนมานี้ บางคนใช้เวลานับสิบปีหรือนานกว่านั้นกว่าจะทะลวงขึ้นจากขอบเขตเสาหลักฟ้าสู่ขอบเขตราชันย์ม่วงได้”
ไป๋หลี่หานกล่าวอธิบายแทรกขึ้น
“มันก็จริงอย่างที่ว่า เพียงเห็นเซียถงสามารถทะลวงขึ้นสู่ขอบเขตเสาหลักฟ้าได้ภายในเวลาครึ่งเดือน ก็เลยตั้งความหวังไว้สูงเกินไป ถึงจะเป็นอัจฉริยะในรอบร้อยปีก็ตาม แต่ดูเหมือนว่าระยะเวลาก็ยังเป็นปัจจัยสำคัญอยู่จริงๆ เอาล่ะ มันไม่สำคัญหรอกว่า ในงานประลองครั้งนี้เจ้าจะชนะหรือแพ้ ขอเพียงทำให้เต็มที่ก็พอ”
ถึงจะเอ่ยกล่าวออกมาเช่นนี้ แต่จะสังเกตเห็นร่องรอยของความผิดหวังส่องสะท้อนออกมาจากแววตาของฝ่าบาทชัดเจน
อย่างน้อยที่สุด เขาก็คิดว่า เซียถงควรจะทะลวงขึ้นเป็นขอบเขตเสาหลักฟ้าชั้นสูงได้ในระยะสามเดือนที่ผ่านมา แต่กลับไม่คิดไม่ฝันเลยสักนิด ที่ระดับพลังลมปราณของนางยังคงหยุดอยู่กับที่ ฝ่าบาทเองก็ไม่มีอะไรจะพูดต่อแล้วเช่นกัน
จักรวรรดิซีฉินมีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องศาสตร์การหลอมกลั่นโอสถ ดังนั้น อาศัยความสามารถของโอสถเหล่านั้น จึงทำให้รุ่นเยาวชนหนุ่มสาวของที่นั่น ล้วนแต่สามารถทะลวงขึ้นกลายเป็นขอบเขตเสาหลักฟ้าชั้นสูงได้ก่อนอายุยี่สิบปี โดยข้างต้น ฝ่าบาทวางแผนเอาไว้แล้วว่า เมื่อใดที่เซียถงทะลวงขึ้นสู่ขอบเขตาฟ้าชั้นสูงได้ ผนวกกับวรยุทธต่อสู้ที่มีอยู่ในครอบครอง โอกาสชนะของนางน่าจะสูงขึ้นไม่น้อย แต่พอได้ยินว่า ระดับความแข็งแกร่งของนางกลับไม่มีอะไรพัฒนาขึ้นเลย สีหน้าฝ่าบาทในยามนี้ก็เปี่ยมล้นไปด้วยแววความผิดหวัง
คราวนี้ เซียถงสังเกตเห็นแววความผิดหวังที่เผยแสดงผ่านสีหน้าของฝ่าบาทอย่างชัดเจน
แต่ถึงจะรู้ว่าอีกฝ่ายรู้สึกผิดหวังในตนเองมากขนาดไหน เซียถงแทบจะไม่ได้สนใจเลย เพราะถึงแม้ระดับความแข็งแกร่งของนางจะไม่พัฒนาขึ้นก็จริง แต่อย่าลืมไปเสียว่า นางในปัจจุบันบรรลุวรยุทธ์ต่อสู้ชั้นนิลแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น พัฒนาการบนเส้นทางแห่งการหลอมกลั่นโอสถก็ยังพัฒนาขึ้นผิดหูผิดตา จะอย่างไรแล้ว เรื่องพวกนี้นางมิได้ปริปากบอกฝ่าบาทให้รับทราบเลยสักคำ
ด้านนอกเกี้ยวมังกรทองคำ ฉิงหยุนกับหลีเหว่ยสีหน้าทมิฬหมองหม่นเปี่ยมล้นแววความโกรธเกลียดสุดหัวใจ บทสนทนาระหว่างฝ่าบาทกับเซียถง แน่นอนว่าทั้งสองย่อมได้ยินอย่างชัดแจ้ง ทั้งยังได้ทราบอีกว่า ในงานประลองครั้งนี้ ฝ่าบาทได้ทุ่มเทให้กับเซียถงมากเพียงใด ถึงขั้นฝากฝังความคาดหวังทั้งหมดไว้กับนาง โดยที่ละทิ้งพวกเขาทั้งสองไปอย่างสิ้นเชิง ยิ่งคิดมาถึงจุดนี้ ทั้งฉิงหยุนกับหลีเหว่ยยิ่งอดรู้สึกเกลียดชังเซียถงเข้าไส้ไปมิได้ จะอย่างไร พวกเขาเคยเป็นถึงอันดับสี่ร่วมในงานประลองสี่จักรวรรดิในครั้งล่าสุด แล้วไฉนตอนนี้กลับถูกมองข้าม ราวกับกลายมาเป็นหมาหัวเน่าไปแล้ว!
นึกได้ดังนั้น สีหน้าของทั้งสองพลันมืดทมิฬลงถึงขีดสุด!
บรรยากาศภายในเกี้ยวมังกรทองคำพลันเงียบสงัดลงชั่วขณะ ฝ่าบาทเคลื่อนสายตาหันไปมองไป๋หลี่หาน และเอ่ยถามขึ้นประโยคหนึ่งว่า
“จะว่าไป ระดับลมปราณของเจ้าอยู่ในระดับชั้นใดแล้ว? ข้าเองก็มิได้พบพานเจ้ามาเสียนาน น่าจะอยู่เหนือขอบเขตราชันย์ม่วงไปแล้วกระมัง?”
ไป๋หลี่หานส่ายหน้าเล็กน้อย เอ่ยตอบกลับไปว่า
“ข้าคนนี้กลับไร้ซึ่งความสามารถ พัฒนาการของข้ากลับหยุดนิ่งอยู่เพียงขอบเขตราชันย์ม่วงชั้นกลางเท่านั้น”
“ขอบเขตราชันย์ม่วงชั้นกลาง?”
ฝ่าบาทมุ่งสายตาเข้าสบปะทะกับไป๋หลี่หานโดยตรง ผ่านช่องหน้ากากสีดำไม่มีแผ่วอ่อน เสมือนกับว่ากำลังถ้ำสำรวจตรวจสอบ ระลอกคลื่นอารมณ์ที่เร้นซ่อนอยู่ภายในแววตาของอีกฝ่ายอีกทีหนึ่ง
ไป๋หลี่หานเองก็ก็สบสายตามองฝ่าบาท ท่าทีสงบนิ่งไร้แววตระหนกใดๆ ชั่วอึดใจที่ทั้งสองมองหน้ากันและกันราวกับเวลาถูกหยุดไว้ชั่วขณะ ต่างฝ่ายต่างแผ่ซ่านรัศมีแรงกดดันที่มองไม่เห็นออกมาปะทะชนจนสาดกระจายไปทั่ว เซียถงถึงกับเสียวสันหลังวาบเล็กน้อย
อุณหภูมิภายในเกี้ยวมังกรทองคำลดฮวบต่ำลงจนน่าประหลาดใจ ไอเย็นบนอากาศโดยรอบเริ่มควบแน่นจับเป็นน้ำแข็งชั้นบาง
“แค่ราชันย์ม่วงชั้นกลางจริงๆ งั้นรึ? แล้วไฉนข้าถึงได้ยินมาว่า ความแข็งแกร่งของเจ้าทะลวงขึ้นขอบเขตจักรพรรดิครามฟ้าแล้ว?”
ประกายตาสุดอันตรายเปล่งแสงเจิดจ้า ฝ่าบาทจ้องไป๋หลี่หานเขม็ง เปล่งเสียงเย็นเยียบเอ่ยถาม
“ข้าคนนี้มีพลังอยู่แค่ขอบเขตาราชันย์ม่วงชั้นกลางจริงๆ เกรงว่าฝ่าบาทคงถูกพวกขวัญอ่อนเป่าหูเข้าให้แล้ว”
น้ำเสียงของไป๋หลี่หานยังคงเรียบนิ่งปกติดี ระหว่างบทสนทนา ยังเหลือบสายตาเคลื่อนเข้าใส่ทางเย่หลีเทียนที่กำลั่งนั่งเงียบอยู่ตรงมุม
“ท่านราชันย์หมาป่าสวรรค์มองข้าด้วยเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”
แลเห็นไป๋หลี่หานมองมาทางตน เย่หลีเทียนซึ่งนิ่งเงียบมาเป็นเวลานาน ก็เคลื่อนหางตาปรายมองตอบโต้ไปทีหนึ่ง หากสังเกตให้จงดี จบค้นพบพลังลมปราณสีทมิฬจางอ่อน กำลังโคจรหมุนติ๋วอยู่ในดวงตาคู่นั้น