ตอนที่225 ต้อนรับสู่จักรวรรดิซีฉิน (1)
ตอนที่225 ต้อนรับสู่จักรวรรดิซีฉิน (1)
ขณะที่เซียถงกำลังจะเบือนหน้าหันกลับไปนอน จู่ๆ เย่หลียเทียนก็ยิ้มและเอ่ยขึ้นว่า
“หากแม่นางเซียไม่มีจุดด่างดำเหล่านี้บนใบหน้า เจ้าจะต้องเป็นสตรีรูปงามประดุจเทพธิดาเป็นแน่”
ทันทีที่ได้ยินแบบนั้น เซียถงถึงกับใจหายวาบลงไปยังตาตุ่ม หรือเย่หลีเทียนจะจำนางในอีกตัวตนหนึ่งได้แล้ว? เหม่อมองใบหน้าอันหล่อเหลาประดับยิ้มแช่มอยู่เคียงข้าง แต่ถึงจะจดจำรูปร่างหน้าตาของนางได้แล้ว มันจะมีประโยชน์อันใด? นางกล่าวตอบน้ำเสียงเย็นชืดกลับไปว่า
“ท่านอัครมหาเสนาบดีเย่ กำลังดูหมิ่นข้าอยู่กระมัง?”
“ข้าเพียงพูดความจริงเท่านั้น หาได้เจตนาดูหมิ่นเจ้าแต่อย่างใด ที่พูดให้ฟังเป็นเพราะ เสื้อผ้าหน้าผมของแม่นางเซีย รวมไปถึงผิวพรรณอันขาวผ่องราวกับหยก ทุกอย่างดูเข้ากันได้ดีจนใกล้เคียงคำว่าสมบูรณ์แบบ จึงลองสมมุติดูว่า หากแม่นางเซียไม่มีจุดด่างดำเหล่านี้บนใบหน้า เจ้าจะกลายเป็นสตรีรูปงามหาที่ใดเปรียบไม่ในทันที จะว่าไปแล้ว เจ้าลองเสาะหาหนทางลบเลือนจุดด่างดำพวกนี้แล้วรึยัง?”
เย่หลีเทียนเอ่ยกล่าว ทว่าสายตาของเขายังคงจับจ้องเซียถงเขม็งแน่นหนา
เมื่อได้ยินเย่หลีเทียนเอ่ยกล่าวออกมาเช่นนั้น ฝ่าบาทก็ลืมตาตื่นขึ้น แลมองเซียถงเจือสีหน้าสงสัย ก่อนจะค้นพบว่า ไม่เพียงแค่ผิวพรรณของสาวน้อยนางนี้จะละเอียดลออขาวผ่อง แต่ดวงตาของนางที่ถูกซ่อนเร้นอยู่ภายใต้ผ้าแพรคลุมหน้าสีขาวก็ยังใสบริสุทธิ์งดงามยิ่งแล้ว
เห็นเป็นเช่นนั้น ฝ่าบาทก็อดพยักหน้าเห็นดีเห็นงามด้วยมิได้
“ดูท่าจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ”
ไป๋หลี่หานเหลือบมองไปทางเซียถงอยู่หนึ่งปราด ภายใต้หน้ากากสีดำ ประกายตาของเขาสาดส่องสว่างไสว มุมปากยกยิ้มกระตุกขึ้นเล็กน้อย
สายตาทั้งสามคู่ต่างเพ่งพินิจมองมาทางเซียถงในคราวเดียว นางเองก็มีปฏิกิริยาตอบโต้เช่นกัน เอ่ยปากล่าวขึ้นด้วยท่าทีเฉยเมยว่า
“เซียถงคนนี้ตระหนักดีว่า ตนเองอัปลักษณ์เพียงใด และหวังว่าจะไม่มีใครมาเป็นเดือดเป็นร้อนแทนข้า!”
“ดูเหมือนว่าแม่นยางเซียจะไม่ค่อยชอบตัวข้าเสียเท่าไหร่”
เย่หลีเทียนเอนแผ่นหลังพักพิง ระบายยิ้มอ่อนปนเศร้าหมองเล็กน้อยพร้อมเปล่งเสียงกล่าวออกมา ราวกับว่าเขาต้องการที่จะเป็นเพื่อนกับเซียถงจริงๆ
“ท่านอัครมหาเสนาบดีเย่คิดมากเกินไปแล้ว เซียถงเป็นคนไม่ชอบพูดก็เท่าไหร่ เวลาปฏิบัติกับใครผู้ใดมักจะออกแข็งกระด้างไปบ้าง”
เซียถงกล่าว
“เซียถง เจ้าลองถอดผ้าคลุมหน้าออก แล้วให้อัครมหาเสนาบดีเย่วินิจฉัยดูหน่อย เขาค่อนข้างเชี่ยวชาญด้านสมุนไพรและตัวยา บางทีอาจจะหาทางลบเลือนจุดด่างดำพวกนี้ออกไปได้”
ฝ่าบาทหันมามองบริเวณผ้าคลุมใบหน้าของเซียถง พร้อมเอ่ยปากเสนอความช่วยเหลือ
“เรียนฝ่าบาท ใบหน้าของหม่อมฉันอัปลักษณ์เหลือเกิน ละอายเกินกว่าจะเปิดเผยให้เห็นต่อหน้า คงเป็นการดีกว่าหากปิดมันไว้เช่นนี้”
เซียถงโค้งศีรษะเล็กน้อยเชิงขอโทษ ยิ่งเย่หลีเทียนมุ่งเป้ามาที่ใบหน้าของนางมากเท่าไหร่ นางยิ่งต้องระวังอย่าให้อีกฝ่ายได้แตะต้องใบหน้ามากขึ้นเท่านั้น
“ไม่เห็นจะเป็นอันใด”
ขณะเอ่ยกล่าว แลเห็นเซียถงส่ายหน้าอานต่อเนื่อง ฝ่าบาทก็ได้แต่ถอนหายใจกล่าวทิ้งท้ายเพียงว่า
“เอาเถอะ หากไม่อยากเอาออกก็ตามใจ”
ได้ฟังดังนั้น เซียถงพยักหน้าตอบกลับทันที เหลือบหางตามองเย่หลีเทียนไปทีหนึ่ง แล้วค่อยเอนแผ่นหลังพักพิงกับผนังเกี้ยว โดยที่ใบหน้ายังคงถูกผ้าแพรสีขาวบางปิดคลุมเอาไว้อยู่
“จะว่าไปแล้ว เซียถง เจ้าเองก็เคารพท่านฒ่าประหลาดดั่งอาจารย์ ไยเจ้าไม่ถามถึงวิธีลบเลือนจุดด่างดำบนใบหน้ากับเขาดูล่ะ?”
เสมือนกับว่าฝ่าบาทยังคงไม่ยอมแพ้ นึกถึงเรื่องเฒ่าประหลาดที่เป็นถึงเซียนโอสถขึ้นได้ จึงเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง
“รูปลักษณ์ภายนอกกลับเป็นเพียงผิวหนังแผ่นหนึ่ง หม่อมฉันแทบมิได้ให้ความสำคัญกับเรื่องพวกนี้เลย จึงมิเคยเอ่ยถามกับท่านเฆ่าประหลาด”
เซียถงกล่าวตอบ
“ข้ารู้สึกแปลกใจจริงๆ ในฐานะหญิงสาวนางหนึ่ง แม่นางเซียกลับไม่สนใจเรื่องความสวยความงามเลย?”
เย่หลีเทียนเอ่ยถามนางออกไป
ได้ฟังคำถามชวนฉงนใจข้อนี้จากปากเย่หลีเทียน ทั้งไป๋หลี่หานกับฝ่าบาทต่างเคลื่อนสายตาจับจ้องไปทางเซียถงโดยพร้อมเพรียง พวกเขาเองต่างก็อยากรู้อยากเห็นมิใช่น้อย เคยมีหญิงสาวนางใดบ้างที่ไม่สนใจเรื่องความสวยความงามเลยแม้แต่น้อย?
“เซียถงคนนี้หาได้สนใจหรือแม้แต่ปรารถนาต้องการรูปโฉมที่งดงามสักนิดไม่ และพวกท่านก็ไม่ต้องเป็นกังวลแทน”
ทีแรกเซียถงไม่คิดที่จะตอบคำถามข้อนี้อยู่แล้ว แต่เมื่อเห็นว่า ฝ่าบาทเองก็ให้ความสนใจเช่นกัน ทั้งยังจ้องมองสายตาฉงนคล้ายกำลังรอฟังคำตอบจากปากของนาง สุดท้ายจึงไม่มีทางเลือก เอ่ยตอบน้ำเสียงไม่เค็มไม่จืดออกไป
แม้นี่จะฟังดูเป็นคำตอบที่ไร้แก่นสารไม่มีอะไร แต่หากนำมาคิดวิเคราะห์ให้ดีแล้ว มันก็ยังหมายความได้อีกอย่างเช่นกัน นั่นคือ นางไม่ได้ขอให้ใครมาช่วย และไม่ควรพยายามช่วยคนอื่นทั้งที่เจ้าตัวไม่ได้ขอให้เหนื่อยเปล่า
เย่หลีเทียนฉลาดพอที่จะตระหนักได้ว่า เซียถงกำลังหมายความถึงอะไร สีหน้าแววตาของเขาหม่นทมิฬลงหนึ่งส่วน ปิดปากเงียบงันไม่พูดไม่จาใดๆ อีก ขณะเอนกายพิงผนังเกี้ยวและหลับตาพักผ่อนลง
ฝ่าบาทชำเลืงอมองทีท่าของเย่หลีเทียนอยู่เล็กน้อย เมื่อเห็นอีกฝ่ายมิได้ติดใจสาวความอันใดต่อ เขาเองเอนกายหลับตาลงเช่นกัน จะเหลือก็แค่ไป๋หลี่หานที่ยังจับจ้องเซียถงตาเขม็งไม่มีเสื่อมคลาย ประกายตาสองขั้วปะทะชนกลางอากาศประดุจคมกระบี่สองเล่มฟันฟาด
เซียถงเลิกคิ้วมองหน้าอีกไม่ไม่มีลดละเช่นกัน ขณะเดียวกับแววตาของนางก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีเย็นเยียบ นี่เจ้าคิดจะเล่นจ้องหน้ากันกระมัง? ในเมื่อท้าทาย ข้าเองย่อมตกลง
สองคู่สายตาประสานชนปะทะดังชี่ๆ ต่างฝ่ายต่างไม่มีใครยอมใคร คนหนึ่งจ้องตาใส่ อีกฝ่ายก็แค่จ้องตากลับ สายตาคู่สวยของเซียถง และสายตาคู่เฉียบคมของไป๋หลี่หาน ยังคงสบปะทะโดยยังไม่มีใครกระพริบตาเลยแม้สักครั้ง ทางด้านเซียถงเริ่มรู้สึกเจ็บบริเวณดวงตามากขึ้นเรื่อยๆ แต่กระนั้นก็ไม่อยากยอมแพ้ชายคนนี้ ก็จึงได้แต่กัดฟันอดทนต่อไป
การที่ฝืนจ้องหน้ากันและกันโดยไม่กระพริบตา นับเป็นการฝึกความอดทนรู้แบบหนึ่ง ซึ่งในเวลานี้เซียถงมาถึงขีดจำกัดแล้ว ขณะที่จ้องหน้ากันอยู่นั้นเอง จู่ๆ เซียถงก็น้ำตาไหลออก ทำเอาไป๋หลี่หานอดหัวเราะออกมาเบาๆ มิได้
เห็นทีท่าดื้อรั้นของเซียถงแบบนี้ ไป๋หลี่หานก็ลอบยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับตัวเอง ดวงตาเป็นประกายสุขใจ ก่อนที่จะชิงหลับตา พิงกายเอนติดผนังเกี้ยวและหลับไป
เซียถงพ่นลมหายใจเย็นชืดออกมาทีหนึ่ง กะพริบตาปริบรัวเนื่องจากอาการตาแห้ง และพิงผนังเกี้ยวหลับไปอีกคน
จักรวรรดิตงหลี่และจักรวรรดิซีฉินค่อนข้างอยู่ไกลกันก็จริง แต่เนื่องจาก ตลอดการเดินทางเป็นไปได้ด้วยความราบรื่น จึงใช้เวลาเพียงสองวัน ขบวนเสด็จกองนี้ก็มาถึงจักรวรรดิซีฉินได้อย่างสวัสดิภาพในช่วงดึกคืนนั้น เหล่าผู้พิทักษ์ทั้งหลายและขุนนางบางคนของขบวนเสด็จมิได้เดินทางไปต่อหลังจากนี้ จะมีก็เพียงองครักษ์ประจำกายของฝ่าบาท ซึ่งเป็นยอดฝีมือขอบเขตราชันย์ม่วงประมาณห้าถึงหกคน และคนที่มีส่วนร่วมในงานประลองเท่านั้นที่ต้องเดินทางเข้าสู่เมืองซีเยว่ต่อไป
เมืองซีเยว่ เป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิซีฉิน มืชื่อเสียงลือเลื่องในด้านความมั่นคั่งและความอุดมสมบูรณ์ที่สุดในทวีปเทียนหลาง และทันทีที่เหยียบย่าง ก้าวเท้าเข้ามาในเมืองซีเยว่ สีหน้าของฝ่าบาทพลันมืดทมิฬลงทันที
ตึกราอาคารสูงและร้านค้าต่างๆ มากมายล้วนถูกบริหารจัดการอย่างเป็นระเบียบทั้งสองข้างทาง ถนนทั้งเส้นถูกปูด้วยหินหยกสีขาวคุณภาพสูง สามารถรองรับน้ำหนักของรถม้าได้พร้อมกันสูงสุดถึงห้าถึงหกคันรถ ห่างออกไปประมาณห้าฉื่อมีต้นไม้สูงใหญ่ยาวเป็นระนาบสุดลูกหูลูกตา เคียงคู่ไปกับเส้นทางสีเหลืองสำหรับคนเดินเท้าโดยเฉพาะ
ผู้คนที่สัญจรไปมาตามท้องถนนล้วนดูมีความสุขและมีชีวิตชีวาอย่างยิ่ง หากจะถามว่า ความมั่งคั่งและความอุดมสมบูรณ์ของเมืองซีเยว่แห่งนี้วัดจากอะไร เกรงว่าแค่มองด้วยตาเปล่าก็สามารถมองเห็นได้แล้ว!
พินิจจากสีหน้าประชาชนและแผนผังการจัดสรรเมืองแห่งนี้ เซียถงพอจะสันนิษฐานกับตนเองได้ทันทีว่า จักรพรรดิแห่งซีฉินควรจะต้องเป็นผู้ปกครองที่ทรงธรรม ไม่เห็นแก่ตัวหรือความโลภของตนเอง มิเช่นนั้นแล้ว จักรวรรดิซีฉินคงจะเจริญรุ่งเรืองและทรงอำนาจปานนี้ไม่ได้เป็นแน่