ตอนที่273 รอดจากภัยอันตราย (1)
ตอนที่273 รอดจากภัยอันตราย (1)
ลากคมกระบี่เสียดพื้นก่อเกิดเป็นสะเก็ตไฟวูบวาบ ยกขึ้นสกัดกั้นกระบี่เล่มยาวของคู่ต่อสู้เบื้องหน้า และทันใดนั้นเอง ไป๋หลี่หานก็กระโดดขึ้นฟากฟ้าสูง หาได้สนใจอาการเบ็ดเจ็บที่ได้รับอันใดไม่ เพ่งเล็งไปยังบริเวณหัวไหล่ของชายหนึ่งในนั้น ฟันผ่าจู่โจมด้วยความเร็วประดุจสายฟ้า เสียงโลหะปะทะชนดังสนั่นราวกับอสนีบาตร้องคำรน บรรดาทั้งหลายต่างตะลึงงัน
กางนิ้วทั้งห้าฉีกกว้าง ไป๋หลี่หานคว้าคอของอีกฝ่ายแทบบีบเค้นหวังเอาให้ตายไปข้าง ส่วนมืออีกข้างก็ยกกระบี่เล่มเงินสว่างไสวขึ้นจ่อ แต่ในเวลานั้น พิษในกายของเขาพลันกำเริบรุนแรงขึ้นอีกครั้ง ส่งผลให้เจ้าตัวหมดเรี่ยวแรงในพริบตา เปิดโอกาสให้ชายคนนั้นโจมตีสวนกลับไป หลอมผนึกลมปราณไว้บนฝ่ามือข้างหนึ่ง ชักนำพลังทั้งหมดซัดออกไปสุดแรง ทำเอาร่างกายอันอ่อนยวบของไป๋หลี่หานถูกตบกระเด็นกระเด็น กระแทกเข้ากับโขดหินผาก้อนหนึ่ง
หนึ่งฝ่ามือโจมตีเมื่อครู่รุนแรงมาก ไป๋หลี่หานที่โดนเข้าอย่างจังถึงกับกระอักเลือดสดออกมาคำโตครั้งแล้วครั้งเล่า
เซียถงกัดฟันฝืนอาการบาดเจ็บของตน กระโดดติดตามไปหาไป๋หลี่หานที่กำลังย่ำแย่ ชายอีกคนฉวยฉกโอกาสที่นางหันหลังให้ เหวี่ยงกระบี่ฟันใส่เข้ากลางแผ่นหลังของนางโดยตรง คมโลหะกรีดลึกเข้าเนื้อหนังเป็นทางยาว กระแสความเจ็บปวดสุดพรรณนาทั้งหลายแผ่นซ่านไปทั่วทั้งแผ่นหลัง ถึงกระนั้นนางก็ยังกัดฟันกรอด เอื้อมมือไปคว้าเสื้อไป๋หลี่หาน เร่งความเร็วสุดขั้วเพื่อวิ่งหนีลงเขาไปตามสัญชาตญาณ
ตกภูเขาสาหัสยังดีกว่าถูกฆ่าตรงนี้ เซียถงพยายามยึดครองสติที่เหลืออยู่ ก้าวเท้าออกวิ่งไต่ลงหุบเขาชันสูง มือข้างหนึ่งหิ้วร่างของไป๋หลี่หานติดสอย ยิ่งผ่านไปนานเข้า ปฏิกิริยาการตอบสนองของนางเริ่มเลือนราง ห้วงความคิดทั้งหมดถูกย้อมกลายเป็นสีขาวโพลน แต่ถึงกระนั้นเอง มือทั้งสองข้างที่ทั้งยังกระบี่ทัณฑ์ฟ้าและไป๋หลี่หานยังคงกระชับแน่นหนา เสมือนร่างกายของนางถูกสั่งการมาจากจิตใต้สำนึกชั้นลึกที่สุด
“นายท่าน! อย่าเพิ่งเป็นลมตอนนี้! ห้ามเด็ดขาด!!”
เสี่ยวฮั่วส่งเสียงร้องลั่นกึกก้องไปทั่วห้วงควาดคิดของนาง พยายามปลุกนางขึ้นจากภวังค์นิทราหลับใหล และที่นางกำลังจะเป็นลมหมดสติไปเช่นนี้ เนื่องจากความสาหัสของบาดแผลที่รุนแรงเกินจะรับไหว
“จิ๊ดจิ๊ด”
ทันใดนั้นเอง เจ้าจี๋จี๋ที่หายตัวไปเสียนานก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง มันกระโดดเกาะบนไหล่ของนางพร้อมแลบลิ้นสีอมชมพู และเริ่มเลียแก้มของนางดังแพลบๆ
“เซียถง! เจ้าไหวหรือไม่?!”
สุ้มเสียงที่คุ้นเคยดังก้องผ่านเข้ามาในหูของนาง ทันใดนั้นโฉมหน้าอันหล่อเหลาของหลัวซีก็ปรากฏขึ้นสู่สายตา
เซียถงพยายามมุ่งจิตเปิดเปลือกตาให้ลืมขึ้นมอง สิ่งแรกที่เห็นคือแววความกังวลที่อยู่ในดวงตาคู่หล่อเหลาตรงหน้า เขาคนนี้อุ้มร่างของนางขึ้นในอ้อมแขนอย่างว่องไว และหยิบโอสถดเม็ดหนึ่งป้อนเข้าปากโดยตรง จากนั้นกล่าวประชดประชันขึ้นคำหนึ่งว่า
“เผชิญหน้ากับยอดปรมาจารย์ถึงสองคน นี่เจ้ายังกล้ายืนเสนอหน้าอยู่ได้เยี่ยงไร? หากรู้ตัวว่าสู้ไม่ไหวก็ควรหนีไปซะ มิใช่นำชีวิตไปทิ้ง!”
เซียถงได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มเก้อส่งมอบไปทีหนึ่ง พยายามจะพยุงตัวลุกขึ้นยืน ก็แลเห็นไป๋หลี่หานที่นอนแน่นิ่งอยู่เคียงข้าง แผ่นอกกลายเป็นสีเลือดแดงฉาน มือข้างหนึ่งของนางก็ยังกำคอเสื้อของอีกฝ่ายไม่ปล่อย
หลิวซูรีบจำแลงกายกลับเป็นร่างมนุษย์ หยิบโอสถขึ้นมาเม็ดหนึ่งและเดินไปป้อนให้กับไป๋หลี่หาน มันหันมากล่าวกับเซียถงว่า
“ตอนนี้พิษในกายของเขากำเริบหนักมาก โอสถที่ข้าพกมาเกรงว่าระงับพิษดังกล่าวได้เพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น”
เซียถงพยักหน้าตอบและหันศีรษะมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้านข้าง แต่สิ่งที่พบเห็น กลับเป็นภาพฉากที่ชายสองคนนั้นกำลังถูกชายชราผู้หนึ่งลงมือจัดการได้อย่างไม่ยากเย็น รัศมีแรงกดดันที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างของชายชราคนนั้น ช่างทรงพลังเกินจินตนาการ ประกายแสงสีเงินที่คุมเคลือบบนกายาดูสดใสสว่างแพรวพราวอย่างยิ่ง เพียงหนึ่งกระบวนโจมตีของชายชราคนนี้เท่านั้น ก็ทำเอาชายทั้งสองได้รับบาดเจ็บสาหัส นอนแน่นิ่งสภาพกึ่งเป็นกึ่งตายอยู่บนพื้นแบบนั้น และเพียงไม่กี่อึดใจต่อมา ร่างของพวกเขาก็แน่นิ่งไป ปราศจากการเคลื่อนไหวใดๆ อีกเลย
ชายชราเหวี่ยงกระบี่หนึ่งคมประหาร ตัดศีรษะรวดเดียวถึงสองหัวหลุดกระเด็นออกจากบ่า จากนั้นค่อยเดินมาหาเซียถง
ชายชราผู้นี้สวมเสื้อคลุมยาวสีเทา ใบหน้าดูอ่อนกว่าวัยมาก ทรงตาคมกริบประดุจอินทรี กวาดสายตาชำเลืองมองเซียถงอยู่สองสามครา ก่อนจะยิ้มกล่าวขึ้นว่า
“ทั้งที่เป็นแค่สาวน้อยตัวเล็กๆ แต่กลับมีพลังชีวิตที่น่าทึ่ง สภาพร่างกายยังแกร่งทนเป็นพิเศษ หากเป็นคนอื่นที่ต้องพบเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ เกรงว่ามิอาจทนพิษบาดแผลและตายไปนานแล้ว!”
“ขะ-ขอบ…ขอบพระคุณท่านอาวุโสที่ช่วยชีวิต เซียถงคนนี้…จักต้องถอนแทนบุญคุณแน่นอนหากมีโอกาส!”
เซียถงยกมือขึ้นลูบศีรษะเจ้าจี๋จี๋อย่างแผ่วเบา จากนั้นก็พยายามโค้งศีรษะคำนับชายชราที่อยู่ตรงหน้า
ประสิทธิภาพโอสถของหลัวซีค่อนข้างดีเยี่ยมเลยทีเดียว หลังจากกลืนเข้าไปได้ไม่นาน กระแสความเจ็บปวดที่กำเริบสืบสานทั่วร่างก็ทุเลาลงหลายส่วน
“หุหุ หากเจ้าต้องการตอบแทนบุญคุณข้าจริงๆ เช่นนั้นก็จงมอบเพลิงพิภพเก้าดุษณีส่วนที่มีอยู่ให้แก่ข้า!”
ชายชรากดสายตาจับจ้องเซียถงที่นอนหมดสภาพอยู่บนพื้น โบกแขนเสื้อคลุมยาวของตนสะบัดไปทีหนึ่งและกล่าวออกมา
ได้ยินเช่นนั้น เซียถงถึงกับตะลึงงัน ทอดสายตามองชายชราผู้นั้นด้วยความประหลาดใจยิ่งยวด นี่เขารู้ได้เยี่ยงไรว่า ภายในร่างกายของนางมีเพลิงพิภพเก้าดุณณีอยู่?
“อาศัยเพียงพลังขอบเขตเสาหลักฟ้า เข้ารับกระบี่ของจักรพรรดิครามฟ้าครึ่งขั้นถึงสองคน มีหรือที่เจ้าจะไม่ตาย? ถึงแม้ความแข็งแกร่งของทั้งคู่จะถูกลดทอนต่ำลงเพียงใด แต่ร่างกายของเจ้าก็ไม่น่าทนรับได้ไหวอยู่ดี ดังนั้นจึงมีแค่เหตุผลเดียวเท่านั้นที่เจ้ายังไม่สิ้นใจตาย เพราะภายในกายของเจ้ามีเพลิงพิภพเก้าดุษณีสถิตอยู่!”
มองผ่านอ่านความสงสัยของเซียถงได้อย่างเฉียบขาดแม่นยำ ชายชรากล่าวแถลงไขให้ฟังโดยไวพรางหัวเราะขำขัน
“เจ้ามีเพลิงพิภพเก้าดุษณีอยู่ในครอบครองด้วยงั้นรึ?”
หลัวซีเอ่ยถามทันที สีหน้าท่าทางดูแปลกใจอย่างมาก
“แสดงว่าเพลิงพิภพเก้าดุษณีอีกเก้าส่วนที่เหลืออยู่ในมือท่าน?”
เซียถงพยักหน้ายอมรับแต่โดยดี ในเมื่อนางไม่สามารถเก็บซ่อนความลับใดๆ จากสายตาชายชราผู้นี้ได้ เช่นนั้นจึงเลือกที่จะไม่เก็บซ่อนใดๆ อีกต่อไป และเข้าเรื่องเอ่ยถามถึงสิ่งที่นางต้องการจะรู้ทันที
“ถูกต้องแล้ว เมื่อใดที่เพลิงพิภพเก้าดุษณีหลอมรวมกลายเป็นหนึ่งอีกครั้ง เมื่อนั้นพลังที่แท้จริงของไฟวิเศษชนิดนี้ก็จะตื่นขึ้น!”
ชายชราชำเลืองมองเซียถงอยู่แวบหนึ่ง สายตาคู่นั้นเป็นประกายเฉิดฉายทุกขณะเวลา
เซียถงได้ฟังดังนั้นยิ่งรู้สึกไม่สบายใจเข้าไปใหญ่ ดวงตาที่เป็นประกายระยิบระยับร้อนแรงปานนั้น ทำให้นางวิตกกังวลยิ่งยวดนัก ลอบขยับศีรษะเบี่ยงสายตาหลบชายชรา นางเอ่ยเสียงแผ่วขึ้นว่า
“เพลิงพิภพเก้าดุษณีอีกหนึ่งส่วนที่ท่านอาวุโสต้องการ ข้าผนึกมันเข้ากับร่างกายนี้โดยสมบูรณ์แล้ว เกรงว่ามิอาจส่งมอบให้ท่านได้!”
“สาวน้อย ตราบใดที่เจ้าตายไป เพลิงพิภพเก้าดุษณีที่สถิตอยู่ในนั้นจะไร้เจ้าของทันที และแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้น มันก็จะกลายมาเป็นของข้า”
ชายชราผู้นั้นกดสายตาต่ำจับจ้องเซียถงไม่คลายอ่อน ขณะเอ่ยกล่าวสีหน้าการแสดงออกของเขาก็ค่อยๆ มืดทมิฬลง บังเกิดกระแสลมปราณสายหนึ่งเข้าระดมรวมตัวอยู่บนฝ่ามือเหี่ยวย่น แขนเสื้อคลุมยาวโบกกระพือโป่งออกตามแรงลม
“ท่านปู่! ท่านคิดจะทำอะไร!?”
หลัวซีรู้สึกได้ทันควันว่ามีบางสิ่งผิดปกติ ดังนั้นจึงรีบวิ่งเข้าขวาง ยืดเหยียดแขนทั้งสองข้างกางขึ้นต่อหน้า ส่งสายตาจับจ้องชายชราอย่างไม่พอใจนัก
“ฮ่าฮ่า ข้าแค่ล้อเล่นเท่านั้น แกล้งสาวน้อยสักทีมิเห็นจะเป็นไร! เจ้าหลานข้า มีหรือที่ท่านผู้คนนี้จะกล้าลงไม้ลงมือกับนาง? อันที่จริง ข้าเองชักจะเริ่มชอบนางซะแล้ว! กล้าหาญไม่กลัวเกรงสิ่งใด! ถูกใจยิ่งนัก!”
ชายชราสะบัดแขนเสื้อพับเก็บดังเดิม รวนหัวเราะออกมาอย่างสนุกสนาน หาได้มีทีท่าตึงเครียดแบบก่อนหน้าหลงเหลืออยู่เลย
เซียถงที่พยุงตัวขึ้นมาอยู่ในท่านั่ง เหม่อมองอีกฝ่ายอยู่ด้านหลังหลัวซีอย่างเงียบๆ ถึงแม้ว่า ชายชราคนนี้กำลังยิ้มแย้ม แต่แววตาที่แสนบ้าคลั่งร้อนแรงยังคงมิได้ละห่างจากไปนางเลย ณ เวลานี้ นางชักจะกังวลเสียแล้วว่า จะมีปัญหาอื่นใดหรือไม่เกิดขึ้นในอนาคต?
“ท่านปู่ ห้ามทำร้ายนางเพื่อแย่งชิงเพลิงพิภพเก้าดุษณีมาเด็ดขาด และหากท่านกล้าแตะต้องนาง หลานคนนี้เองก็ไม่ไว้หน้าท่านเช่นกัน!”
หลัวซีกล่าวย้ำเสียงหนักแน่น ทั้งสีหน้าแววตาของเขาดูจริงจังเคร่งขรึมยิ่ง เพราะเขาทราบดีว่า ท่านปู่ของเขาถวิลหาเพลิงพิภพเก้าดุษณีนี้มากเพียงใด ย้อนกลับไปในตอนนั้น หลังจากที่ท่านปู่ได้รับเพลิงพิภพเก้าดุษณีกลับมา ไม่นานก็ค้นพบว่า สิ่งที่ได้มาเป็นเพียงพลังที่ยังไม่สมบูรณ์ ดังนั้นเขาจึงรีบเดินทางกลับไปยังถ้ำบนหุบเขาเปลวไฟอีกครั้ง แต่กลับไม่พบมังกรบรรพกาลตนนั้นเสียแล้ว ส่วนเพลิงพิภพเก้าดุษณีส่วนที่เหลือก็ถูกขโมยไป ด้วยความโกรธแค้นที่คับคลั่งอยู่ภายในใจ เขาถึงขนาดลงทุนอยู่เฝ้าอยู่ในค่ำถึงสามวันสามคืนเต็ม กระทั่งในความฝัน เขาก็ยังโหยหาจินตนาการถึงเพลิงพิภพเก้าดุษณีที่สมบูรณ์แบบ
และเมื่อตอนนี้ท่านปู่ของเขาได้ทราบแล้วว่า เพลิงพิภพเก้าดุษณีในส่วนที่เหลืออยู่กับเซียถง แล้วมีหรือที่เขาจะปล่อยไปโดยง่าย? เพราะรู้เช่นนั้น หลัวซีจึงชิงเอ่ยปากเตือนก่อนทันที
“ข้าทราบ ท่านปู่คนนี้ไม่มีวันลงมือกับผู้มีบุญคุณต่อตัวเจ้าแน่นอน”
ชายยรายกฝ่ามือขนาดหนาใหญ่ขึ้นลูบศีรษะของหลัวซี ยางรัดผมสีดำที่รวบมัดหางม้าอย่างเป็นระเบียบของเขาขาดวิ่น เผยให้เห็นผมยาวสลวยอ่อนนุ่มสยายลงมาประบ่าของชายหนุ่ม