ตอนที่329 รักต้องห้ามของชุนหลาน (1)
ตอนที่329 รักต้องห้ามของชุนหลาน (1)
หลัวซีมีสีหน้าเฉยเมยไม่แยแสฟ้าดินใดๆ ตัวเขาเคยพบเห็นอิสตรีรูปงามมาแล้วนับไม่ถ้วน แต่ไม่มีนางใดสักคนที่ทำให้ตนต้องประหลาดใจเท่ากับเซียถง! อันที่จริงแล้ว ชุนหลานที่ยืนอยู่เคียงข้างขณะนี้ก็งดงามไม่แพ้กันเลย แต่สิ่งที่ขาดไปก็คือ ความหยิ่งผยองเยือกเย็นจับขั้วกระดูกดำดั่งเช่นเซียถงมี!
สิ่งที่ทำให้ความงดงามที่เซียถงครอบครองยิ่งดูล้ำค่าน่าเชยชมมากขึ้นไปอีก ก็คืออุปลักษณ์นิสัยที่สุดแสนจะเย็นชา ไร้มนุษยสัมพันธ์ของนาง สิ่งนี้เปรียบเสมือนรูปปั้นน้ำแข็งแกะสลักที่ใสบริสุทธิ์ที่สุดจากหุบเขาสรวงสวรรค์
แรกพบที่เขาได้เจอกับนาง ความเย่อหยิ่งและเย็นชาเกินจะไขว่คว้าที่นางพึงมีนี้ ก็ได้ชักนำหัวใจดวงนี้ของเขาไปสู่ห้วงแห่งความรุ่มหลงชั่วนิรันดร์เสียแล้ว กระทั่งตอนนี้ เขายังไม่รู้ตัวเองเลยว่า ตั้งแต่เมื่อใดที่ในหัวสมองของตนคิดแต่เรื่องที่ว่า จะทำอย่างไรถึงสามารถเกลี้ยกล่อมให้เซียถงยอมแต่งงานด้วย?
ทั้งที่ก่อนหน้านี้ เขาได้ให้สัญญากับเซียถงเอาไว้ว่า จะพยายามเกลี้ยกล่อมผู้อาวุโสอินทรีโลหิตให้ยกเลิกงานแต่งนี้ แต่ไม่ทันไร เจ้าตัวกลับกำลังคิดแผนให้เซียถงยอมแต่งงานกับตนเสียเอง
“นายน้อย ดูเหมือนว่าคุณหนูเซียมีทีท่าไม่ค่อยอยากจะแต่งงานกับท่านเสีเท่าไหร่ เช่นนี้แล้วท่านยังต้องการแต่งงานกับนางให้ได้รึเจ้าค่ะ?”
ริมฝีปากอวบอิ่มสีแดงฉ่ำขบจิกเบาๆ เป็นอีกครั้งที่ชุนหลานทักกล่าว แต่หลัวซีก็ยังนิ่งเงียบไม่ตอบ
เซี่ยเห่อที่ยืนอยู่ด้านข้าง ส่งสายตากะพริบปริบ แววความเหลือเชื่อนเผยแสดงผ่านใบหน้าของนาง ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่า คนที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำตามคำสั่งของผู้อาวุโสและนายน้อยโดยปราศจากคำถามใดๆ อย่างชุนหลาน จู่ๆ วันนี้จะบังเกิดข้อสงสัยตั้งคำถามบางอย่างออกมาเช่นนี้ต่อหน้านายน้อยโดยตรง ซึ่งเป็นอะไรที่น่าแปลกมาก!
“ไยหรือนางจะไม่ต้องการ?”
ผ่านไปชั่วครู่หนึ่ง หลัวซีหันกลับมาเอ่ยถาม จับจ้องชุนหลานด้วยความสงสัยงุนงง รูปโฉมของเขาก็หล่อเหลา ในด้านความแข็งแกร่งก็ไม่เลวเลย ส่วนในด้านภูมิหลังก็เป็นถึงหนึ่งในทายาทสี่ตระกูลใหญ่ที่ซ่อนเร้น มีบรรดาอิสตรีรูปงามจำนวนนับไม่ถ้วนต่อแถวเรียงรายเข้าหาไม่เว้นวัน เช่นนั้นแล้ว ยังมีเหตุผลใดอีกที่เซียถงไม่ต้องการแต่งงานกับเขา?
“เอ่อ…บ่าวเองก็มิทราบเจ้าค่ะ
ชุนหลานเอ่ยตอบเสียงแผ่วลังเล ไม่แน่ใจเช่นกันว่าทำไมตนถึงรู้สึกไปแบบนั้น
“เหอะ…”
หลัวซีถอดถอนสายตากลับเข้ามาอย่างผิดหวัง และเดินเข้าประตูห้องที่ขังเซียถงอยู่
ทุกท่วงท่าการเดินของหลัวซีต่อหน้าเซียถงช่างฉายสง่าราศี ระบายยิ้มหวานอันเป็นเอกลักษณ์ส่วนตัวของเขา เอ่ยน้ำเสียงแสนเป็นมิตรกับนางขึ้นว่า
“เจ้าเรียกข้างั้นรึ?”
รอยยิ้มประดับงามบนใบหน้าแสนหล่อเหลาของเขา เสมือนทำให้บุปผานับไม่ถ้วนเบ่งบานเพรียงพร้อม แต่ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับเซียถงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ราวกับสวนบุปผาเหล่านั้นถูกแช่แข็งในพริบตา สีหน้าการแสดงออกของนางยังคงเย็นยะเยือกไร้ใจ หาได้แยแสสนใจรอยยิ้มที่อีกฝ่ายมอบให้เลยแม้สักนิด
“เครื่องประดับที่ข้านำมาให้เลือกมีถูกใจบ้างหรือไม่? หากยังไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ เดี๋ยวข้าจะรีบสั่งให้คนนำมาให้เลือกเพิ่มเลย”
เหมือนกับว่าความไม่พอใจที่ก่อเกิดขึ้นภายในใจเมื่อวาน หลัวซีได้หลงลืมไปโดยหมดสิ้นแล้ว เหลือแค่เพียงชายคนหนึ่งที่กำลังมีความสุขกับงานแต่งงานที่กำลังจะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ กล่าวจบ เขาก็นั่งลงข้างเตียง ช่วยเลือกเครื่องประดับ หยิบสร้อยเพชรเส้นหนึ่งออกมาพินิจมอง พลางยิ้มแย้มเอ่ยถาม
“หลัวซี นี่เจ้าลืมสิ่งที่พวกเราตกลงกันไปแล้วรึ?”
เซียถงสาดประกายตาเฉียบคมประดุจเหยี่ยวยิงเข้าใส่อีกฝ่ายทันที พยายามมองผ่านอ่านความคิดของหลัวซีในขณะนี้ว่าตั้งใจจะทำอะไรกันแน่
เมื่อได้ยินเช่นนั้น มือข้างนั้นของหลัวซีที่กำลังถือสร้อยเพชรเส้นหนึ่งก็พลันหยุดชะงักค้างแข็ง ค่อยๆ เคลื่อนศีรษะสบเข้ากับสายตาอันแสนเยียบเย็นของเซียถง เสมือนดวงตาคู่นี้มีมนต์คาถาอะไรบางอย่าง เพียงสบมองก็สามารถแช่แข็งหัวใจดวงนี้ของเขาได้ในพริบตา ถึงกระนั้น เขาก็ยังฝืนยิ้มและกล่าวว่า
“เจ้า…เจ้าอยากแต่งงานกับข้าหรือไม่?”
“หลัวซี เจ้าลืมสิ่งที่เราตกลงกันแล้วจริงๆ”
สีหน้าการแสดงออกของเซียถงยิ่งทวีความเย็นชา อุณหภูมิรอบห้องตกวูบหนาวเหน็บเกินบรรยาย
“ข้าไม่ได้ลืม แต่…แต่ข้าเพียงไม่อยากเห็นเจ้าต้องโดนท่านปู่ฆ่าทิ้งเสียเท่านั้น ตอนนี้เพลิงพิภพเก้าดุษณีทั้งหมดอยู่ในกายเจ้าแล้ว หากเจ้าคิดหนีงานแต่งงานของเราไปจริงๆ มีหวังเจ้าโดนท่านปู่ตามล่าจนวันตาย!”
หลัวซีค่อยๆ สืบเท้าเดินเข้าไปใกล้เซียถง ทันทีทันใด เขาก็ยกมือทั้งสองข้างขึ้นตบไหล่ของเซียถงเบาๆ ดวงตาคู่ใสบริสุทธิ์ของชายหนุ่มลุกโชนเป็นประกาย กล่าวด้วยทีท่าจริงจังขึ้นว่า
“แต่งงานกับข้าเถอะ หากยอมแต่งงานกับข้า ขอสัญญาเลยว่า ทั้งชีวิตหลังจากนี้ข้าจะทำให้เจ้ามีแต่ความสุข จะเป็นสามีที่ดีต่อเจ้าจวบจนวันสุดท้ายของชีวิต!”
ประกายแสงที่ลุกโชนในดวงตาของหลัวซี ทำเอาเซียถงรู้สึกปวดเศียรมิใช่น้อย นางรีบสะบัดมืออีกฝ่ายที่จับไหล่ของตนทิ้งไป มุ่นคิ้วขมวดถักหนาอย่างไม่ค่อยพอใจนัก เผชิญเข้ากับสีหน้าแววตาอันแสนจริงใจของเขาประหนึ่งแสงอรุณทอสะท้อนส่องผ่านอัญมณีเม็ดงาม สิ่งนี้มันมากเพียงพอแล้วที่จะหลอมละลายธารน้ำแข็งทั่วปฐพีได้
“หลัวซี ข้าจะไม่ยอมแต่งงานกับเจ้าเด็ดขาด ถึงแม้ต้องยอมตายก็ตาม”
เซียถงกล่าวเน้นวาจาทุกพยางค์คำอย่างแช่มช้าชัดเจน พยายามเบี่ยงหน้าหนีสายตาแผดเผาของอีกฝ่ายที่จับจ้องเข้ามา
“เพราะเหตุใดกัน?”
หลัวซีขมวดคิ้วถามออกไป สีหน้าการแสดงออกในยามนี้ดูฉงนใจงุนงงยิ่งแล้ว เขาไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมเซียถงถึงไม่อยากแต่งงานกับเขาขนาดนั้น? ก็เห็นอยู่ว่า การยอมแต่งงานกับเขามันสามารถช่วยบรรเทาปัญหาในอนาคตได้ตั้งมากมาย และยิ่งไปกว่านั้น ได้แต่งงานกับเขาก็หาใช่เรื่องขี้ลิ่วขี้เหร่แม้สักนิด ในทางตรงข้าม มีบรรดาสาวงามตั้งมากมายที่ปรารถนาจะแต่งงานกับเขา แล้วไฉนเซียถงกลับไม่เต็มใจเสียนี่?
“เพราะข้าไม่ได้ชอบเจ้า และไม่คิดที่จะอยู่กับเจ้าไปชั่วชีวิตด้วย”
เซียถงเอ่ยปากสะกดคำต่อคำ หวังให้อีกฝ่ายได้ยินชัดเจนที่สุด ถึงแม้นี่จะเป็นวาจาคำกล่าวที่ดูโหดเหี้ยมไร้หัวใจเพียงใด แต่ยาแรงเช่นนี้ก็ช่วยปลุกคนให้ตื่นมาจากความฝันได้ดีที่สุดเช่นกัน
นางไม่ได้ชอบหลัวซี แถมยังไม่คิดจะศรัทธาเรื่องความรักอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นนางหรือจะไปแต่งงานกับอีกฝ่ายได้ยังไง? เมื่อกล่าวมาถึงจุดนี้ ภาพฉากในชาติก่อนหน้าตอนที่นางตายก็ผุดขึ้นมาอีกครั้งในหัว นางถูกชายผู้เป็นที่รักอย่างสุดซึ้งทรยศจนตัวตาย โดนมาขนาดนี้แล้ว ยังจะให้นางเชื่อใจใครได้อีก?
กระแสความเจ็บปวดแผ่ซ่านออกมาจากส่วนลึกสุดในใจ กระจายไปทั่วร่างกายของเซียถง เพียงชั่วพริบตาต่อมา เสมือนโลกใบนี้ที่นางได้เห็นก็ถูกฉาบคลุมด้วยความเศร้าโศกสีเทา นางพอแล้วกับเรื่องความรัก นางพอแล้วกับความรู้สึกเหนื่อยล้าเหล่านี้ ดวงตาคู่สวยค่อยๆ ปิดลงอย่างแช่มช้า บรรยากาศความเย็นชาค่อยๆ สลายตัวหายไป น้ำเสียงหลังจากนี้อ่อนโยนขึ้นหลายส่วนมิได้แข็งกระด้างดั่งเมื่อครู่อีกแล้ว นางเอ่ยขึ้นคำหนึ่งด้วยความเห็นใจขึ้นว่า
“หลัวซี ขอร้องเถอะ อย่าปล่อยให้เรื่องมันไปไกลกว่านี้เลย ตามที่เคยตกลงกันไว้ เจ้าปล่อยข้าไปแต่โดยดี และพวกเรายังคงเป็นสหายกันดังเดิม อย่าให้ข้าต้องเห็นเจ้าเป็นศัตรูคนหนึ่งเลย”
คำกล่าวประโยคนี้ของเซียถงทำให้หลัวซีหน้าถอดสีซีดเซียวลงไม่น้อย วาจาที่เปล่งออกมาแต่ละคำจากปากของนาง เปรียบดั่งคมมีดนับไม่ถ้วนที่กระหน่ำทิ่มแทงใส่หัวใจของเขา ชั่วอึดใจแรก เขารู้สึกโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างยิ่ง แทบจะเปล่งเสียงคำรามสวนในทันใด แต่ทุกอย่างพลันชะงักเปลี่ยนไปในทันทีที่ได้เห็นสีหน้าอันเศร้าโศกสุดแสนของเซียถง และนั่นทำให้เขาเงียบไปชั่วขณะใหญ่
หลัวซีคาดหวังที่จะหมัดมือชกกันเสียดื้อๆ สบถข่มขู่สักสองสามคำและจากออกไปอย่างสง่างดงาม หวังเพื่อสลัดความอับอายและความโกรธจากที่โดนปฏิเสธ แต่ตัวเขาในเวลานี้กลับไม่สามารถแม้แต่จะขยับเท้าได้เสียด้วยซ้ำ
เมื่อเงยศีรษะขึ้นมอง สิ่งเดียวที่เขาพบพานกลับเป็นสีหน้าอันแสนเศร้าโศกและขมขื่นเกินพรรณนาของเซียถง และยิ่งตัวเขาจ้องมองนานเท่าไหร่ ก็ยิ่งราวกับถูกความโศกเศร้าขมขื่นเหล่านั้นกลืนกินจนถลำลึกมากขึ้นเท่านั้น ขนตายาวระหงเรียงสวยทั้งสองข้างปิดสนิทนิ่งสงัด แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด หลัวซีกลับรู้สึกดั่งว่า มันกำลังมีน้ำตาที่มองไม่เห็นรินไหลออกมา นางในเวลานี้ช่างดูอ้างว้างและโดดเดี่ยวเกินจะเข้าใจได้เสียเหลือเกิน
ความอับอายและความโกรธก่อนหน้าทั้งหมดที่หลัวซีได้รู้สึก พลันอันตรธานหายสิ้นในพริบตา ท่าทางการแสดงออกของเขากลับมาอ่อนโยนลงอีกครั้ง สิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามาคงเป็น แววความสงสารที่มีต่อนางฉายสะท้อนผ่านดวงตาออกมา ยิ่งได้เห็นเซียถงในอีกด้านนี้ที่เศร้าเสียใจ กลับทำให้ตัวเขามีความต้องการที่จะแต่งงานกับนางมากขึ้นไปอีก
สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายความเศร้าซึมทที่คลุกฟุ้งไปทั่วห้อง ไม่นานหลังจากนั้น เซียถงก็ลืมตาขึ้นมาอีกครา และทันทีที่ตาคู่นั้นลืมเบิกกว้างเต็มที่ ร่องรอยความเศร้าโศกหดหู่ทั้งหายบนใบหน้าก็ถูกกวาดล้างหายไปโดยสิ้น ชั่วขณะต่อมา มันถูกแทนที่ด้วยไอเย็นยะเยือกจับขั้วกระดูก นางกล่าวกับหลัวซีขึ้นว่า
“ข้าไม่ต้องการเป็นศัตรูหรือกระทั่งทำร้ายตัวเจ้า ปล่อยข้าไปบัดเดี๋ยวนี้ มิฉะนั้นเจ้าจะต้องเสียใจ”