ตอนที่383 พิธีหมั้นหมายลุล่วง
ตอนที่383 พิธีหมั้นหมายลุล่วง
“องค์รัชทายาทและองค์หญิงเพียงหวังดี ต้องการให้ชาวเมืองเฟิงหลี่แห่งนี้ได้ยลโฉมข้าคนนี้ว่างดงามเพียงใด เช่นนั้น ข้าเองก็ขอน้อมรับความหวังดีนี้เอาไว้”
เซียถงนั่งตระหง่านอยู่บนอาชา
“ดี! องค์หญิงผู้นี้เองก็อยากเห็นเช่นกัน! หญิงอัปลักษณ์อันดับหนึ่งแห่งตงหลี่ จะกลายมาเป็นสตรีรูปงามอันดับหนึ่งแห่งทวีปเทียนหลางได้เยี่ยงไร! แน่จริงก็จงเปิด!”
ไป๋หลี่อวี๋อิงลั่นวาจาสบถคำโตด้วยความรังเกียจสุดหัวใจ ปรารถนาเหลือเกินว่า นังเซียถงจะยอมถอดผ้าคลุมออกมาจริงๆ! จะได้ให้ทุกคนในจักรวรรดิตงหลี่ทราบโดยทั่วกันไปเลยว่า โฉมหน้าของมันอัปลักษณ์น่าขยะแขยงเพียงใด!
ฝูงชนทั้งหลายต่างเดือดดาลโกลาหลในทันใด ทุกคนต่างเบิกตากว้าง ยืดเหยียดคอค่อยเฝ้าดูภาพฉากตรงหน้าใจจะขาด เพราะพวกเขาเองก็กังขาสงสัยเหลือเกินว่า ทำไมอีกสามจักรวรรดิที่เหลือถึงบอกกันเป็นเสียงเดียวว่า เซียถงคือสตรีรูปงามอันดับหนึ่งแห่งทวีปเทียนหลาง ซึ่งข่าวนี้ก็เพิ่งถูกแพร่พระจายมาถึงหลังจากที่จบงานประลองสี่จักรวรรดิ
เซียถงสบมองไป๋หลี่อวี๋อิงไม่มีคลายอ่อน พร้อมกับค่อยๆ เอื้อมมือจับมุมผ้าคลุมใบหน้าตนเองอย่างแช่มช้า
ผ้าคลุมใบหน้าม่านบางสีขาวโปรยปรายลงมา ประดุจเกล็ดหิมะพิสุทธิ์ร่วงโรย…
แววความเยาะเย้ยสบประมาททั่วใบหน้าของไป๋หลี่อวี๋อิง พลันอันตรธายหายวับไปทันที ทว่าถูกแทนที่ด้วยแววความตื่นตะลึงสุดขีด นางเบิกตากว้างจ้องเขม็งไปที่หญิงสาวบนหลังอาชา ภายในดวงตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อและประหลาดใจราวกับฝันไป
แล้วจุดด่างดำบนใบหน้าล่ะ?
ไหนล่ะ…หน้าตาอัปลักษณ์สุดแสน?
ไป๋หลี่เย่เองก็ตกตะลึงงันไม่ต่าง ถึงขนาดยกมือซ้ายขึ้นขยี้ตาอย่างแรงอยู่หลายที ชั่วแวบแรกหลงคิดไปว่า สายตาของตนเองต้องมีปัญหาแน่นอน แต่พอวางมือลง ภาพฉากตรงหน้าก็ยังปรากฏเป็น อิสตรีรูปงามถล่มเมืองบนหลังอาชาดังเดิมไม่แปรเปลี่ยน นี่…นี่หรือคือหญิงอัปลักษณ์ที่เคยแอบชอบเขาตลอดมา?
ตั้งแต่เมื่อใดกัน? ตั้งแต่เมื่อใดกันที่หญิงอัปลักษณ์นางนั้น…เจิดจรัสกลายเป็นเทพธิดานางฟ้าเฉกเช่นนี้?
ผิวพรรณทั่วใบหน้าที่เคยมีจุดด่างดำปกคลุม ยามนี้กลับเปล่งประกายสีขาวผ่องประดุจหิมะ ทอแสงระยิบระยับภายใต้แสงไฟจากโคมทั่วเมือง
ปรากฏว่าใบหน้าของนางตอนที่ลบเลือนจุดด่างดำทิ้งหมดแล้ว จะ…จะสวยงามปานนี้…
นอกเหนือจากความตกตะลึงแล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ไป๋หลี่เย่ ทั้งรู้สึกเจ็บใจและเสียดายไม่รู้จบ จนถึงขั้นแอบเกลียดตัวเองไปชั่วขณะหนึ่งว่า ทำไมเขาถึงได้โง่เง่า ปฏิเสธงานอภิเษกสมรสกับเซียถงไปตั้งแต่ตอนแรก?!
บรรดาฝูงชนทั้งหลายที่อยู่ในเมืองเฟิงหลี่ในขณะนี้ ต่างตะลึงงันขากรรไกรแทบร่วงกระแทกพื้น ตกใจจนพูดไม่ออกเลยสักคนเดียว
โฉมหน้าของหญิงสาวตรงหน้า นี่แหละคือนิยามของคำว่า ความงดงามที่แท้จริง! และยังเป็นความงดงามที่…ที่ไม่สามารถสรรหาคำบรรยายใดๆ มาพรรณนาถึงได้!
หญิงสาวบนหลังอาชาเชิดหน้าขึ้นอย่างหยิ่งผยอง เสมือนกับมีดวงดาราเจิดจรัสนับพันหมื่นบนท้องนภาราตรี ถูกรวบรวมอยู่บนแผ่นผืนใบหน้านี้ ผิวพรรณเนื้อละเอียดลออผ่องใส ราวกับความบริสุทธิ์แห่งมณีดาราเฉิดฉายโดดเด่น ความลงตัวที่สมบูรณ์แบบและงดงาม สามารถทำให้ใครสักคนโอดครวญร้องไห้ทั้งน้ำตาออกมาได้ทันที
“โอ้สวรรค์! ปรมากฎว่า ท่านราชาหมาป่าสวรรค์ได้ครองคู่กับสตรีที่งดงามที่สุดแห่งทวีปเทียนหลาง!”
คล้อยหลังความเงียบสงัดที่ปกคลุมทั่วผืนพิภพพ้นผ่านไป กลุ่มฝูงชนทั่วสารทิศต่างระเบิดความโกลาหลขึ้นอีกครั้ง
“พอจุดด่างดำบนใบหน้าคุณหนูเซียหายไป ยามนี้จึงได้เผยความงดงามที่แท้จริงออกมา นางสวยมาก!”
“แสดงว่าที่ผ่านมานั้น คุณหนูเซียจงใจปกปิดโฉมหน้าที่แท้จริงมาโดยตลอด ควรจะการใช้สีดำแต่งแต้มลงไปกระมัง? และในเมื่อบัดนี้ นางได้พบกับคู่ครองที่เหมาะสม จึงถึงเวลาที่ต้องเปิดเผยความลับที่เก็บซ่อนไว้ตลอดมา อืม…เป็นเรื่องสมควรแล้ว เป็นเรื่องสมควรแล้ว”
เผชิญพบกับการเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงของเซียถงในคราวนี้ ได้สร้างแรงกระเพื่อมครั้งรุนแรงให้แก่มวลชนทั้งหลาย และก่อให้เกิดเป็นเรื่องราวความเป็นมาของเซียถงในรูปแบบต่างๆ ที่บอกเล่าต่อกันมา รับประกันได้เลยว่า เรื่องราวเหล่านี้จะถูกแพร่กระจายออกไปทั่วทั้งจักรวรรดิตงหลี่ในอีกไม่ช้า
ได้ยินบทสนทนาเจือแจวหลายหลากจากบนนรดาฝูงชนโดยรอบ เซียถงเชิดคางสูงชำเลืองมองไป๋หลี่อวี๋อิงด้วยหางตา พร้อมแววส่อเสียดดูแคลนอย่างชัดเจน นางหาได้สนใจเรื่องปิดบังใบหน้าของตัวเองอีกต่อไปแล้ว เหตุผลที่นางตัดสินใจถอดผ้าคลุมหน้าออกก็เพื่อรักษาใบหน้าของไป๋หลี่หานเอาไว้ ไม่อยากให้เขากลายมาเป็นขี้ปากมวลชนจนเสื่อมเสียชื่อเสียง แน่นอน นางไม่เคยสนใจอยู่แล้วว่า คนอื่นจะมีความคิดเห็นอย่างไร ก็แค่ต้องการให้คนอื่นได้รู้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่ราชาหมาป่าสวรรค์ผู้นี้เนรมิตขึ้นมา ทั้งเรื่องสินสอดทองหมั้น และพิธีที่ถูกจัดขึ้นอย่างอลังการ ทั้งหมดล้วนแต่คุ้มค่า และหาใช่การตัดสินใจที่ผิดพลาดแต่อย่างใด
แล้วที่สำคัญที่สุด ก็เป็นไป๋หลี่อวี๋อิงเองมิใช่รึ? ที่อยากให้นางถอดผ้าคลุมหน้าออกมาต่อหน้าสาธารณชน?
“เซียถง! ไอ้สารเลว! จุดดำบนใบหน้าของเจ้ามันหายไปไหนแล้ว? เจ้า…เจ้าสวมหน้ากากหนังมนุษย์เพื่อตบตาทุกคนใช่หรือไม่?!”
ไป๋หลี่อวี๋อิงตะคอกเสียงดังลั่น สีหน้าแววตาดูไม่อยากจะเชื่อเลยแม้แต่น้อย
เซียถงใช้เรียวนิ้วยาวยกขึ้นปาดแก้มตัวเองอย่างแรงทีหนึ่ง และยิ้มกล่าวว่า
“ข้าก็แค่ปาดเช็ดจุดดำปลอมๆ ที่แต่งแต้มออกไปเท่านั้น องค์หญิง ตอนนี้จะเรียกว่า หญิงอัปลักษณ์ ไม่ได้แล้ว จะว่าไป…ลองให้ชาวเมืองเฟิงหลี่ตัดสินไปเลยดีกว่า ระหว่างข้ากับท่าน ใครกันที่อัปลักษณ์? ว่าไงทุกคน!?”
“องค์หญิงเป็นรองอย่างชัดเจน!”
ทันทีที่สุ้มเสียงเซียถงเบาลง ก็มีเสียงประสานจากฝูงชนทั่วสารทิศตะโกนขานตอบออกมาอย่างพร้อมเพรียง
ไป๋หลี่อวี๋อิงยิงประกายตาสุดอาฆาต พุ่งใส่ทิศทางที่มีสุ้มเสียงดังขึ้นมาในบัดดล แต่น่าเสียดายที่สุ้มเสียงเหล่านี้กลับเปล่งดังออกมาจากทั่วสารทิศ และด้วยความแน่นเบียดเสียดในฝูงชน จึงทำให้นางเห็นแต่เพียงคลื่นศีรษะของมวลชนสีดำขลับ จึงยากเกินกว่าจะสามารถระบุได้ว่า ใครบ้างที่ป็นคนเอ่ยกล่าวออกมาบ้าง เพลิงโทสะที่เดือดดาลสุมทรวงอยู่ในใจมิอาจระบายออกมา นางทำได้เพียงใช้สองมือจิกมุมกระโปรงแพรพรรณจนยับยู่ยี่ ทั้งกำทั้งบิดจนแทบฉีกเป็นชิ้นๆ
“ปรากฏว่า ความงดงามขององค์หญิงกลับเป็นรอง หญิงอัปลักษณ์อันดับหนึ่งแห่งตงหลี่อย่างข้าไปเสียแล้ว”
เซียถงแสยะยิ้มที่มิใช่รอยยิ้มออกมา
ทว่านี่กลับหาได้ทำให้ผู้คนตื่นกลัวเลยสักนิด เนื่องด้วยตัวนางที่นั่งตระหง่านอยู่บนหลังอาชาแกร่งภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมา กลับยิ่งเสริมบารมีให้นางดูสูงส่งและน่าเคารพนับถือยิ่งขึ้นไปอีก
ไป๋หลี่อวี๋อิงทั้งรู้สึกโกรธและเกลียดชังเซียถงสุดหัวใจยิ่งกว่าเดิม พอลองเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นว่าเย่หลีเทียน ชายหนุ่มที่นางแอบชอบมาโดยตลอด กำลังมุ่งสายตาจับจ้องเซียถงด้วยสีหน้าตื่นตูมประหลาดใจ ภาพฉากนี้เสมือนเสี้ยนหนามตำจิตใจ นางกระทืบเท้าสุดแรงด้วยความโกรธจัด ยกสองมือขึ้นปิดหน้าและร้องไห้วิ่งหนีออกไปทั้งอย่างนั้น
เป็นความจริงที่ไป๋หลี่อวี๋อิงไม่สามารถยอมรับได้เลยสักนิด รูปโฉมของเซียถงทั้งสวยและงดงามกว่าของนางไม่รู้กี่สิบเท่า ทั้งที่ตลอดชีวิต นางทุ่มเทให้กับการบำรุงผิวและรักษาใบหน้าให้คงความงดงามไว้อยู่ตลอด แต่ถึงแบบนั้น ก็ยังต้องพ่ายให้แก่ใบหน้าของเซียถงที่วันๆ เอาแต่สัประยุทธ์ต่อสู้นับครั้งไม่ถ้วนแบบไม่เห็นฝุ่น! ในเหตุการณ์ครั้งนี้ นางเสียหน้าชนิดไม่เหลือดี!
ได้ยินคำชื่นชมสรรเสริญรอบตัว เซียถงรู้สึกพึงพอใจอยู่หนึ่งส่วน ใจหนึ่งก็สงสัยเช่นกันว่า ไป๋หลี่หานจะมีปฏิกิริยาอะไรบ้างหรือไม่ ที่ตนตัดสินใจเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงแก่สาธารณชน
ไป๋หลี่หานยืนนิ่งอยู่ด้านข้างอาชา หาได้มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ ซึ่งทางด้านเซียถงเองก็มิสามารถจับความตื่นตระหนกตกใจผ่านสีหน้าท่าทางของอีกฝ่ายได้เลยเช่นกัน จะมีก็เพียงตอนที่เขาหันหน้ามามองนาง ประกายตาอีกฝ่ายดูระยิบระยับน่าอัศจรรย์ราวกับดาวฤกษ์สองจุดที่เจิดจรัส
ชายหญิงมองหน้าสบสายตากันและกัน รัตติกาลค่ำคืนนี้ดูแพรวพราวสว่างไสวกว่าราตรีไหนๆ เมื่อมองให้ลึกลงไป เซียถงสังเกตเห็นบางอย่างที่เหมือนกับอยู่ในนัยน์ตาของนางเช่นกัน นั่นคือ ร่องรอยความเย็นชา หยิ่งทะนงและงดงาม
เสมือนกาลเวลาหยุดนิ่งไปชั่วขณะหนึ่ง โคมไฟสีแดงนับไม่ถ้วนที่ทอดยาวจนสุดเส้นสายตาเริ่มติดบ้างดับบ้างสลับกันไป ประดุจห้วงอวกาศฟากฟ้าแห่งนี้มีเพียงเราสอง
“ไปกันเถอะ ข้าจะส่งเจ้ากลับจวนเอง”
พริบตาต่อมา ไป๋หลี่หานกระโดดขึ้นคว้าบังเหียนประทับลงบนหลังอาชาตนนั้น ไม่รอฟังคำยินยอมจากปากเซียถง รีบเอื้อมสองมือโอบรอบเอวของนาง และสะกิดท้องอาชาควบออกไป
เหล่าฝูงชนทั้งหลายต่างกระตือรือร้นปรบมือให้
อาชาแกร่งสีแดงเร่งฝีเท้าควบทะยานเหิน ปราดพุ่งออกไปราวกับดาวตก ชักนำคลื่นลมกระโชกปะทะใบหน้าของผู้คนจากสองข้างทาง ทั้งโคมไฟที่ยอดยาวไกลลิบจนสั่นไหว
อาชาแกร่งสีแดงลาจากออกไปไกลโพ้นภายใต้นัยน์ตาสีดำจัดประหนึ่งหุบเหวลึกไร้สิ้นสุด เย่หลีเทียนถึงกับเอนตัวพิงราวระเบียง ใบหน้ามืดทมิฬน่าสยดสยองเกินบรรยาย
“กลับกลายเป็นว่า นางคืออิสตรีงามในบ่อน้ำตกแห่งนั้น!”
เขากัดฟันกรอดเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด ก่นเสียงเย็นขึ้นคำหนึ่งกับตัวเอง นิ้วทั้งห้าบีบกำแน่น จอกสุราใบใหม่ที่เพิ่งเปลี่ยนแตกละเอียดคามือเป็นผุยผง ร่วงกราวไหลออกมาตามซอกนิ้ว