ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง – ตอนที่ 398 การหลบหนี

ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง

ตอนที่398 การหลบหนี

ตอนที่398 การหลบหนี

“ถึงตัวข้าจะไม่อยู่ แต่ทั้งกำลังคนใต้บัญชาของข้าและฝ่าบาทยังต้องเร่งดำเนินการตามหาข้าทั่วทุกหนแห่ง นอกจากนี้ก็ยังมีไป๋หลี่หานที่กำลังสืบเสาะเรื่องที่เจ้าหายตัวไปอีก ตาแก่เคราขาวนั่นไม่มีเวลาว่างมาสนใจพวกเราแล้ว”

เย่หลีเทียนเหล่มองสร้อยข้อมือเส้นนั้นในอ้อมอกที่กอดไว้ตลอด

เซียถงหันข้างชำเลืองมองอีกฝ่าย รอฟังประโยคคำกล่าวต่อไป

“สภาพของข้าตอนนี้ดีขึ้นกว่าก่อนหน้ามากแล้ว ไม่น่าจะมีปัญญาอะไรให้เจ้าต้องกังวลแล้ว เช่นนั้นพักผ่อนเอาแรงก่อนเถอะ รอจนกว่าปรมาจารย์เสวี่ยนจะเข้ามาส่งอาหารอีกครา ถึงตอนนั้นข้าจะช่วยเจ้าหนีออกไปเอง”

ตาเย่หลีเทียนเป็นประกายแกร่งกล้าขึ้นหลายส่วน

เซียถงแอบขอบคุณตัวเองที่ตัดสินใจช่วยชีวิตของชายคนนี้ตั้งแต่แรก เพราะนี่เป็นทางเลือกที่ถูกต้องแล้ว และการที่นางพลาดท่าเผลอปล่อยให้เย่หลีเทียนดูดเลือดตนเองไปได้ จนส่งผลให้ร่างกายของเขาฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว นี่ก็เป็นโชคดีในโชคร้ายเช่นกัน นางครุ่นคิดกับตนเอง คล้อยหลังหนีออกจากที่นี่ไปได้ จำเป็นต้องขีดเส้นตีระยะห่างกับชายคนนี้ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เพราะวรยุทธ์นอกรีตที่เขาฝึกปรือ มันน่ากลัวเกินควบคุมไปมาก

ในชั่วพริบตาต่อมา เส้นสีดำคล้ายรากฝอยที่ไล่ลามไต่ขึ้นบนแขนของเซียถงก็เริ่มจางลงอย่างน่าประหลาด พิษในกายเริ่มอ่อนฤทธิ์ลงหนึ่งส่วน ทีแรกที่สังเกตเห็นดังนั้น นางรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย แต่สักครู่ต่อมาถึงได้ทราบ โดนเย่หลีเทียนดูดเลือดก็หาใช่สิ่งเลวร้ายเสมอไป พิษปริมาณหนึ่งอาจถูกอีกฝ่ายช่วยกำจัดไปในตัวระหว่างนั้น

ภายใต้คำแนะนำของเย่หลีเทียน นางค่อยๆ หลับตาลงเอนศีรษะแนบพิงกำแพงเพื่อพักผ่อน

ในวันนี้ ปรมาจารย์เสวี่ยกลับไม่ได้เดินทางมาส่งอาหาร ทั้งเซียถงและเย่หลีเทียนต่างไม่พูดจาสนทนาใดๆ ต่อกัน อาศัยช่วงเวลาที่มี คงรักษาพลังความแข็งแกร่งในร่างกายเอาไว้ให้ได้มากที่สุด

วันต่อมา กำแพงโลหะได้เปิดขึ้นอีกครั้ง พร้อมด้วยปรมาจารย์เสวี่ยที่เดินเข้ามากับถาดอาหารในมือ ซึ่งทันทีที่เขามาถึง ก็ชำเลืองสายตามองไปยังเย่หลีเทียนที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น และเอ่ยถามเซียถงขึ้นว่า

“เกิดอะไรขึ้นกับเขา?”

เซียถงหยิบถาดอาหารในส่วนของตนออกมาจากถาดอย่างเฉยเมย เอ่ยตอบเพียงว่า

“ข้าไม่รู้ เห็นนอนสลบไสลแบบนี้อยู่วันกว่าแล้ว ไม่มีทีท่าขยับเขยื้อนใดๆ เลย บางทีอาจสิ้นใจตายไปแล้วกระมัง”

ได้ยินดังนั้น ปรมาจารย์จึงโน้มตัวเข้ามาใกล้เย่หลีเทียน แลเห็นเลือดสีดำปนแดงที่แห้งกราดอาบชโลมทั่วแขนของอีกฝ่าย จึงรีบหันมาถามเซียถงต่อว่า

“ไฉนแขนของเขาถึงกลายมาเป็นเช่นนี้?”

“โดนมีดสั้นของข้าแทงเอง มันพยายามจะดูดเลือดข้า จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องป้องกันตัวเองเช่นนี้ เพราะหากปล่อยไป คนที่ตายอาจกลายเป็นตัวข้าแทน”

เซียถงหยิบตะเกียบตักอาหารเข้าปากอย่างใจเย็น ระหว่างกินอยู่นั้น นางลอบชำเลืองมองปรมาจารย์เสวี่ยนบางจังหวะ

ปรมาจารย์เสวี่ยได้ยินคำให้การของเซียถงก็พลันขมวดคิ้ว นั่งหย่องย่อตัวเข้าชิดแนบกับบริเวณปลายจมูกของเย่หลีเทียน เพื่อดักฟังเสียงลมหายใจ ขณะเดียวกันก็ใช้มือที่ว่างคว้าข้อมืออีกฝ่ายตรวจชีพจร จังหวะการเต้นของหัวใจฟังดูผิดประหลาดเล็กน้อย ทำเอาเจ้าตัวอดขมวดคิ้วสงสัย จิตใจอดสับสนงุนงงมิได้

แต่ทันใดนั้นเอง เปลือกตาสองข้างของเย่หลีเทียนก็เปิดออก ฉายปรากฏนัยน์ตาสีแดงก่ำประดุจปีศาจทอประกายเย็นเยียบ ปรมาจารย์เสวี่ยนสะดุ้งโหย่งตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยิ่งยวด เปิดปากส่งเสียงกรีดร้องด้วยความตื่นตระหนก ชั่วพริบตา ปรารถนาที่จะทะยานหนีอีกระยะออกห่าง ทว่าทุกอย่างกลับสายเกินไปแล้ว

คมเข็มสีเขียวฉาบพิษจำนวนหนึ่งถูกยิงออกมาจากบริเวณแผ่นอกของเขา เย่หลีเทียนลุกขึ้นยืนมองดูอีกฝ่ายทรุดร่างนอนแผ่อยู่แทบเท้า

“นี่เจ้า…”

ปรมาจารย์เสวี่ยชี้นิ้วใส่ทางเย่หลีเทียน พยายามจะอ้าปากกล่าวอะไรบางอย่าง ทว่ากลับมีเลือดสดกระอักคำโตเต็มปาก

“ยาพิษที่ฉาบคลุมบนเข็มมรกตของข้า สามารถละลายลำคอของเจ้าเป็นเนื้อเปื่อยได้”

เย่หลีเทียนแสยะยิ้มเย็นเยียบย่างสามขุมตรงเข้าใกล้ ปรมาจารย์เสวี่ยไม่ยอมแพ้ เร่งระดมพลังลมปราณทั้งหมดที่มีดีดร่างผงาดขึ้นมา ชักคมกระบี่ขึ้นจากฝักคาดเอว เข้าทิ่มแทงเข้าใส่อีกฝ่ายโดยตรง

เย่หลีเทียนก่นเสียงสบถเย้ยเยาะคำหนึ่ง เบี่ยงร่างเลี่ยงหลบได้อย่างง่ายดาย ใช้นิ้วทั้งห้าแปะทาบอยู่ข้างใบหน้าของปรมาจารย์เสวี่ย ออกแรงผลักเล็กน้องเพื่อจับแหกคอ จากนั้นเจ้าตัวก็กดศีรษะ ฝังคมเขี้ยวสอดเสียบลงบนเส้นเลือดใหญ่บนคอของอีกฝ่ายโดยตรง

เสียงขบกัดดัง ‘กึก’ ยิ่งปรมาจารย์เสวี่ยพยายมดีดดิ้นเท่าไหร่ เย่หลีเทียนก็ยิ่งออกแรงกดพันธนาไว้แน่นขึ้นเท่านั้น

ภาพฉากสุดสยดสยองบังเกิดต่อหน้า ธารเลือดสีแดงสดสาดกระเซ็นไปทั่ว เย่หลีเทียนสูบเลือดจากคอของปรมาจารย์เสวี่ยอย่างกระหายและดุร้าย!

‘วูบ’ รูม่านตาดำของปรมาจารย์เสวี่ยขยายกว้างฉีกออกในทันใด กระบี่ในมือร่วงตกสู่พื้น ปากของเขาอ้ากว้างเปิดออก สรีระร่างกายเริ่มบิดเบี้ยวผิดประหลาดจนเสียรูป สีหน้าการแสดงออกดูเหยเก แสดงให้เห็นว่า เขากำลังเจ็บปวดทรมานปานใด เย่หลีเทียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ พ่นลมเย็นระบายออกมา ราวกับกำลังพักช่วงระหว่างดูดกินเลือดได้ครึ่งทาง จากนั้นก็เริ่มสูบดื่มด่ำอีกครั้งอย่างบ้าคลั่ง

ขณะที่เย่หลีเทียนกำลังสูบเลือดสูบเนื้ออยู่นั่นเอง ใบหน้าของปรมาจารย์เสวี่ยค่อยๆ ตีบผอมแห้งเหี่ยวลง จนเปลี่ยนกลายเป็นสีดำเฉาราวกิ่งไม้แห้งกรอบ นิ้วมือนิ้วเท้าเกร็งตัวรุนแรงและหงิกงอตามลำดับ เพียงไม่กี่อึดใจต่อมา เลือดโลหิตที่เคยไหลเวียนทั่วร่างของเขาก็ถูกสูบออกไปจนเกลี้ยง เหลือเพียงซากศพเหี่ยวเฉาร่างหนึ่งเท่านั้น ตรงกันข้ามไปเย่หลีเทียนที่ใบหน้าดูมีชีวิตชีวาขึ้นผิดหูผิดตา หนำซ้ำยังดูทรงพลังแข็งแกร่งยิ่งกว่าปกติทั่วไปอีกด้วย

สีหน้าการแสดงออกของเซียถงดูสงบนิ่งดั่งผิวน้ำไร้ระลอก ทว่าภายในใจกลับสั่นระรัวหวาดผวา ภาพฉากตอนที่เย่หลีเทียนฝังคมเคี้ยวลงบนคอของปรมาจารย์เสวี่ยว่าน่ากลัวแล้ว แต่ที่น่ากลัวกว่าก็คือ ตอนที่ได้เห็นเย่หลีเทียนสูบเลือดในตัวอีกฝ่ายจนเกลี้ยงในเสี้ยวพริบตา สามารถฆ่าปรมาจารย์เสวี่ยได้ในไม่กี่อึดใจ เป็นสิ่งที่น่าสยดสยองเกินบรรยาย ยิ่งไปกว่านั้น พอได้เห็นสภาพศพของปรมาจารย์เสวี่ยแล้ว นางกลับรู้สึกสั่นสะท้านลึกถึงขั้วหัวใจโดยไร้เหตุผล

เย่หลีเทียนถอนคมเคี้ยวออกมา หยิบผ้าผืนหนึ่งออกจากใต้แขนเสื้อ เช็ดหน้าเช็ดตา กระทั่งเรียวนิ้วทั้งหน้าจนสะอาดขาวผ่องดุจหิมะ ชำเลืองสายตามองไปทางเซียถง

“อย่างที่เจ้าคิดนั่นแหละ ข้าดูดเลือดอีกฝ่ายจนเกลี้ยงเลย”

พูดจบก็สบสายตามองหน้าอีกฝ่ายเป็นประกาย

เซียถงไม่รู้จะพูดอะไรไปชั่วขณะ ทำได้เพียงเค้นเสียงไอแห้งออกไปเบาๆ สักที ความในใจรู้สึกกังขามิใช่น้อย เพราะอันที่จริง เย่หลีเทียนไม่จำเป็นจะต้องทำถึงขนาดนี้เลย อาศัยเพียงพิษที่ฉาบเคลือบบนตัวเข็มมรกตของเขา มันก็เพียงพอแล้วที่จะสังหารปรมาจารย์เสวี่ยให้ตาย

“เจ้ากลัวหรือไม่?”

เย่หลีเทียนสบตานางไม่คลายอ่อน เอ่ยถามขึ้นคำหนึ่งพร้อมแววแสงสลัวจางอ่อนในดวงตา

“ไปกันเถอะ”

เซียถงรู้สึกขนลุกซู่วยันหนังศีรษะ ทำได้เพียงหันหลังเดินไปทางกำแพงโลหะที่เปิดค้างอยู่ ส่วนทางด้านเย่หลีเทียนก็นั่งย่องลงกับพื้น ใช้สองมือค้นตัวปรมาจารย์เสวี่ย แต่กลับไม่พบสิ่งใดเลย จึงค่อยยกเท้าเดินติดตามนางออกไป

จากผนังโลหะเดินเท้าไปได้สักพัก จะค้นพบทางเดินไปต่อที่ทำมาจากหินสีครามฟ้า ขนาดประมาณหนึ่งคนเข้าไป

ทั้งสองเดินตรงเป็นแถวตอนเรียงหนึ่งตามกันเข้าไป ต่างคนต่างไม่ส่งเสียงพูดจาใดๆ จะมีก็แต่สุ้มเสียงฝีเท้าดังก้องระหว่างทาง

“เซียถง ข้ากินเลือดมนุษย์ แล้วเจ้าคิดว่า ตัวข้ามันน่ากลัวน่าขยะแขยงหรือไม่?”

จู่ๆ เย่หลีเทียนก็เอ่ยถามขึ้นมา หลังจากเดินตามหลังนางได้สักพักหนึ่ง

ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง

ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง

Status: Ongoing
อดีตนักฆ่าสาวอันดับหนึ่ง ผู้มีใจคอโหดเหี้ยมอำมหิต ได้ทะลุมิติอยู่ในร่างสาวน้อยโฉมหน้าอัปลักษณ์ ที่ทุกคนต่างสาปส่งและรังแกสารพัด!เธอคือนักฆ่ามือวางอันดับหนึ่งแห่งยุค2018 แต่กลับถูกคนที่รักและไว้ใจที่สุดซ้อนแผนและสังหารเธอทิ้งในระหว่างภารกิจหนึ่ง ส่งผลให้วิญญาณของเธอทะลุมิติไปยังโลกอื่น! ซึ่งนางคนนี้เป็นคุณหนูสายตรงแห่งจวนเสนาบดี ใบหน้าช่างอัปลักษณ์น่าเกลียด ทว่ากลับมีพรสวรรค์ในด้านการบ่มเพาะพลังที่น่าทึ่ง!ในท้ายที่สุดนางได้เสียชีวิตลงเพื่อช่วยชีวิตชายที่นางรักสุดหัวใจ และนั่นเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่วิญญาณนักฆ่าสาวสลับเข้าร่าง เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ความงดงามดั่งบุปผาซ่อนพิษซึ่งเป็นจุดเด่นของเธอได้หายไป! โลกทั้งใบที่เคยรู้จักกลับไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว! ใบหน้าอัปลักษณ์? จุดตันเถียนถูกทำลายจนกลายมาเป็นสตรีพิการบ่มเพาะพลังไม่ได้? เจ้าของร่างเก่าถูกสังหารทิ้งโดยไม่มีผู้ใดไยดี? แต่ไม่เป็นไร ทั้งทักษะการฆ่าและจิตใจของเธออันไร้เมตตายังคงอยู่ เรื่องทั้งหมดเป็นแผนการของแม่เลี้ยงกับบุตรสาวของฮูหยินรอง? ได้! ได้เลย! ทุกคนไม่ว่าใครหน้าไหนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับแผนการนี้ จะไม่มีผู้ใดสามารถหนีรอดไปได้แน่แท้! ควบคุมหมื่นอสูร หลอมกลั่นโอสถ ตียุทธ์ภัณฑ์สร้างสิ่งประดิษฐ์ แม้แต่สวรรค์ยังต้องก้มกราบข้า!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท